จิ่งหมิงฮ่องเต้ฉงนสงสัยก่อนจะหันไปถามพานไห่ “ข้าเรียกเขาเข้ามารึ”
“ฝ่าบาทมิได้เรียก แต่ผู้บัญชาการหันมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่ก้มหน้าตอบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้นวดบริเวณหว่างคิ้วพลางถอนหายใจ “ให้เขาเข้ามา”
สภาพเขาในตอนนี้เหมือนกระต่ายตื่นตูม แค่หันหรานมาขอเข้าเฝ้า หัวของเขาก็คิดไปไกล
หันหรานมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน ฉะนั้นแล้วเขามีเรื่องตั้งร้อยแปดพันเก้าที่จะเข้ามารายงาน ฉะนั้นเรื่องในวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นกิจประจำวัน
ไม่นานเกินรอ หันหรานก็เดินเข้ามา “ถวายบังคมฝ่าบาท”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เขาพลางถาม “มีธุระอะไรงั้นรึ”
หันหรานค้อมตัวพลางตอบ “วันนี้คนของกระหม่อมไปตรวจสอบที่วัดฝูเต๋อและพบความผิดปกติบางอย่าง กระหม่อมเห็นว่าควรนำมากราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินคำว่า ‘วัดฝูเต๋อ’ เขาก็หวนคิดถึงตำหนักฉือหนิงขึ้นมาทันที
วันนี้ฉังหมัวมัวที่ตำหนักฉือหนิงก็เดินทางไปที่วัดฝูเต๋อ อีกทั้งข่าวที่ฉังหมัวมัวนำกลับมารายงานยังทำให้เสด็จแม่เป็นลมหมดสติไป
“ว่ามา!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กำหยกขาวทับกระดาษขึ้นมาและชี้ตรงไปที่หันหราน
หันหรานพรั่นพรึงจนตัวสั่น แววตาไม่พอใจชำเลืองไปที่พานไห่แวบหนึ่ง
นี่ก็เริ่มจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว เหตุใดถึงไม่วางพัดสักอันไว้บนโต๊ะทรงงานของฝ่าบาท ปล่อยให้ฝ่าบาทใช้ที่ทับกระดาษอยู่นั่น
หลังจากรวบรวมสติได้ หันหรานจึงกล่าวต่อ “ในขณะที่สตรีสองนางกำลังสนทนาเรื่องส่วนตัวของเหล่าผู้สูงศักดิ์ มีสตรีอีกนางหนึ่งแอบมาได้ยินเข้า สตรีนางนั้นจึงมอบทองก้อนเป็นของตอบแทนแลกกับข่าวเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง คนของกระหม่อมบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้พอดี และรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงสะกดรอยตามสตรีทั้งสามไป ผลปรากฏว่าคนที่มอบทองก้อนคือสตรีจากวังหลวง…”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ย่ำแย่เข้าขั้น หันหรานจึงเว้นวรรค
“ว่าต่อสิ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มมีลางสังหรณ์ สีหน้าเริ่มหม่นลงทุกชั่วขณะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้รู้สึกประหลาดใจที่องครักษ์จิ่นหลินไปโผล่อยู่ที่วัดฝูเต๋อ
เนื่องจากวัดฝูเต๋อเป็นอารามหลวง ฉะนั้นจึงอยู่ในการดูแลขององครักษ์จิ่นหลินอยู่แล้ว การสอดส่องตรวจตราเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติไม่ต่างอะไรจากสถานที่รวมตัวของพวกเหล่าขุนนาง เพราะหากเกิดเหตุการณ์สำคัญก็จะมีคนนำเรื่อมารายงานจิ่งหมิงฮ่องเต้
และแน่นอนว่า เมื่อข่าวนี้มาถึงหูของหันหรานผู้เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน เขาก็ต้องนำไปรายงานจิ่งหมิงฮ่องเต้ นี่คือสิ่งที่เขาคำนวณเอาไว้ก่อนแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าขุนนางและข้าราชการทุกหมู่เหล่าจึงไม่กล้าทำให้หันหรานรู้สึกขัดเคือง
เพราะถ้าหากเขารู้สึกไม่พอใจผู้ใด เขาอาจนำความผิดเล็กๆ ไปกราบทูลฝ่าบาท และเมื่อถูกฟ้องหลายครั้งเข้า คนผู้นั้นอาจกลายเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เป็นได้
“และจากการซักถามสตรีอีกสองนางพบว่า พวกนางได้รับคำสั่งจากผู้เป็นสามีให้นำเรื่ององค์หญิงใหญ่หรงหยางไปพูดเพื่อให้หมัวมัวแห่งวังหลวงฟังพ่ะย่ะค่ะ…”
เสียงจิ่งหมิงฮ่องเต้ใช้หยกขาวทับกระดาษกระแทกลงบนโต๊ะดังสนั่นหวั่นไหว
ทุกสิ่งในห้องหยุดค้างกลางอากาศ
“สตรีสองคนนั้นเป็นใคร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยใบหน้าเครียดเขม็ง
“คนหนึ่งคือภรรยาของจ้าวถีจวี๋จากกรมขุนนาง ส่วนอีกคนคือภรรยาของจางจู่ปู้ในหงหลูซื่อ พ่ะย่ะ…”
ไม่ทันรอให้หันหรานพูดจบ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ถามอย่างเดือดดาล “สามีพวกนางอยู่ที่ไหน”
“คนของกระหม่อมพาจ้าวถีจวี๋และจางจู่ปู้กลับไปที่ศาลาว่าการเพื่อสอบปากคำแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วได้เรื่องอะไรไหม”
แววตาของหันหรานขับประกายเล็กน้อยแต่มิได้ตอบในทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “มีอะไรทำให้เจ้าไม่กล้าพูดงั้นหรือ ขนาดไทเฮาเขายังกล้าทำ ข้าจะดูซิว่าคนๆ นั้นเป็นใคร!”
“จ้าวถีจวี๋รับสารภาพว่าคนที่สั่งให้เขาทำคือหลี่ตัวไหล รองเสนาบดีฝ่ายขวากรมขุนนาง ส่วนจางจู่ปั๋วรับสารภาพว่าคนที่ยุให้เขาทำเช่นนั้นคือผู้บัญชาการเฉินเส้าชิงพ่ะย่ะค่ะ”
หันหรานเงยหน้ามองปฏิกิริยาของจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทเฮา อีกทั้งการจะสอบปากคำหลี่ซื่อหลางและเฉินเส้าชิงคงไม่ง่ายเท่าจ้าวถีจวี๋และจางจู่ปู้ เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงรีบมากราบทูลฝ่าบาทก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ซื่อหลางและเฉินเส้าชิง…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใคร่ครวญชื่อของสองคนนี้เงียบงัน เค้นสมองหาว่าใครคือคนที่บงการสองคนนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงศักดิ์และเหล่าขุนนางช่างซับซ้อน เพราะบางคนก็มีศักดิ์เป็นญาติกัน ฉะนั้นแล้วการจะสืบหาเบาะแสคงต้องใช้เวลานานทีเดียว แต่ถึงกระนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มีวิธีของตัวเอง
การที่อีกฝ่ายกล้าลงมือไทเฮาแสดงว่าต้องมีเป้าประสงค์บางอย่าง
คนที่จะได้รับผลกระทบถ้าไทเฮาเป็นลมไปเมื่อได้ยินเรื่องหรงหยางคือใครกัน
เหมือนว่าไม่จำเป็นต้องใช้เวลาคิดนาน เพราะจู่ๆ ก็มีชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นในหัว เยี่ยนอ๋อง
เขาจะคิดไม่ออกได้อย่างไรในเมื่อเขาเพิ่งเรียกเจ้าเจ็ดเข้ามาเอ็ดชุดใหญ่ไฟกะพริบเช่นนั้น หนำซ้ำยังสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าวังมาขวางหูขวางตาไทเฮาอีก
เมื่อโอรสคนหนึ่งถูกเมิน เหล่าขุนนางเหล่านั้นจะคิดเช่นไร
จากที่เห็น เรื่องนี้เป็นไปได้มากจากเก้าในสิบว่า คนผู้นั้นหมายจะใช้ไทเฮามาเล่นงานเจ้าเจ็ด
เจ้าเจ็ดเป็นโอรส เหล่าขุนนางทั่วไปคงไม่กล้าทำให้โอรสของฮ่องเต้รู้สึกระคายเคือง ฉะนั้นแล้วเป้าหมายของอีกฝ่ายคงเดาได้ไม่ยาก เป็นไปได้สูงว่าน่าจะเป็นตำแหน่งรัชทายาท
มีเพียงไม่กี่คนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งรัชทายาท…ว่าแต่เป็นเจ้าสี่ เจ้าห้า หรือว่าเจ้าหก
เมื่อเริ่มจับจุดได้ การย้อนกลับไปหาเรื่องความสัมพันธ์ของหลี่ซื่อหลางและเฉินเส้าชิงก็ไม่สับสนหลงทิศอีกแล้ว
หลี่ซื่อหลางเป็นพี่ชายของพระชายาฉีอ๋อง
พระชายาฉีอ๋องเป็นสะใภ้จากตระกูลหลี่ แม้เรื่องฉาวที่นางก่อจะซ่อนเร้นจากสายตาคนนอกได้ แต่ถึงอย่างไรคนตระกูลหลี่ย่อมต้องการทราบความจริง
เพราะอยู่ดีๆ พระชายาที่ทรงสง่าออกไปถวายธูปเพียงหนเดียวจะกลายเป็นคนวิกลจริตแล้วถูกกักบริเวณได้อย่างไร ตระกูลหลี่จำเป็นต้องส่งคนมาตรวจสอบ แม้ราชสำนักจะไม่กลัวว่าตระกูลหลี่จะรู้สึกขัดเคือง และคนตระกูลหลี่เองก็ไม่กล้ามีปากมีเสียงอยู่แล้ว แต่ในสถาการณ์เช่นนี้การลดความขัดแย้งให้เหลือน้อยที่สุดย่อมดีกว่า
มาถึงตอนนี้ ตระกูลหลี่ทราบเรื่องฉาวของพระชายาฉีอ๋องแล้ว แต่กลับไม่กล้าหืออือเลยสักคำ
แม้พระชายาฉีอ๋องจะไม่ได้เป็นเช่นเดิมอีกแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าตระกูลหลี่ยังคงสนับสนุนฉีอ๋องอย่างเต็มกำลัง
ส่วนเฉินเส้าชิง…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังนึกหาเหตุผลไม่ได้จึงหันไปถามหันหราน “เฉินเส้าชิงสนิทกับท่านอ๋องคนไหน”
หันหรานผงะไปชั่วอึดใจ แววตาของเขาสั่นไหว
“คิดออกก็รีบบอกมา!”
“ฉีอ๋อง” หันหรานก้มหน้าก่อนจะตอบเร็วรี่
จิ่งหมิงฮ่องเต้สะดุ้งเฮือกจนปอยผมสีเงินร่วงลงมาที่หน้าผาก แววตายังคงเขม้นจ้องไปที่หันหราน “ฉีอ๋อง?”
หันหรานแอบวางธูปไว้หน้าฉีอ๋องในความคิดก่อนจะเอ่ยออกมาตามตรง “ที่จวนฉีอ๋องมีนายทหารผู้ช่วยที่อยู่ในแผนกเดียวกับเฉินเส้าชิงพ่ะย่ะค่ะ และเนื่องจากความเกี่ยวข้องนี้ นายทหารผู้ช่วยจึงมักจะไปร่ำสุรากับเฉินเส้าชิงพ่ะย่ะค่ะ…”
หันหรานลงความเห็นในใจอย่างเหนื่อยอ่อน เยี่ยนอ๋องเนี่ยนะไม่เหลือทางรอดให้อีกฝ่ายเลย จากที่เห็น ฉีอ๋องคงจบเห่แล้วคราวนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้หรี่ตา นัยน์ตานั้นมืดมนประหนึ่งพายุใหญ่กำลังก่อตัว
หรือว่าจะเป็นเจ้าสี่
ในเมื่อหลี่ซื่อหลางเกี่ยวข้องกับเจ้าสี่ เฉินเส้าชิงก็มีความสัมพันธ์กับเจ้าสี่ หากไม่ใช่เจ้าสี่แล้วจะเป็นใครไปได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทำเรื่องน่าละอายอย่างการจะเรียกหลี่ซื่อหลางและเฉินเส้าชิงเข้ามาซักถามพร้อมกัน แต่การเรียกโอรสของตัวเองเข้ามาคงไม่เป็นไร
“พานไห่ ไปตามฉีอ๋องมา”
ในจวนฉีอ๋อง ฉีอ๋องรอข่าวความคืบหน้าอยู่ในห้องตำรา เมื่อได้ยินว่าอวี้จิ่นถูกเรียกเข้าวังไปเอ็ด เขาก็หัวเราะเยาะด้วยความชอบใจ
เจ้าเจ็ดอวดดีอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
หลังจากนี้ ชีวิตในแต่ละวันของเขาคงจะยากขึ้น
เขามีขุนนางเป็นพรรคพวกตั้งมากมาย และบัดนี้ก็ถึงคราวที่ขุนนางเหล่านั้นจะออกหน้าแทนแล้ว
ในขณะที่ฉีอ๋องกำลังปีติยินดีและสั่งให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารและสุราชั้นเลิศเอาไว้ก็ได้รับราชโองการจากจิ่งหมิงฮ่องเต้ให้เข้าวัง
วินาทีที่ฉีอ๋องเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร วัตถุสีขาวนวลก็ลอยฉิวมาที่หน้าเขา