อวี้จิ่นถือถ้วยชาด้วยใบหน้านิ่งเฉยพลางกล่าวนิ่งเนิบ “ผู้บังคับบัญชาหันมิต้องเกรงใจข้า เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นขอบคุณหรอก”
หันหรานเผยสีหน้าเย็นชา พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอ๋องกำลังล้ำเส้นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ทางที่ดีท่านอ๋องมิควรเข้ามายุ่งงานของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนะพ่ะย่ะค่ะ หากเรื่องไปถึงพระกรรณของฝ่าบาท คนแซ่หันคงไม่เป็นไร แต่ท่านอ๋องเนี่ยซิ…”
อวี้จิ่นกะพริบตาปริบๆ พลางหุบยิ้ม “ผู้บัญชาการหันหมายความว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อย่างนั้นรึ”
หันหรานหัวเราะเสียงเย็น
ในเมื่อเรื่องนี้ผ่านเข้าหูเขาแล้ว เขาก็ต้องยุ่งสิ เพราะมิฉะนั้นหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ฝ่าบาทคงได้ถ่มน้ำลายแตกเป็นดาวกระจายใส่หน้าเขาแน่ๆ อีกอย่างหยกขาวทับกระดาษคงได้ถึงคราวเปลี่ยนใหม่แน่นอน
ได้ยินว่าเงินสำหรับสั่งทำหยกขาวนี้มาจากท้องพระคลังส่วนพระองค์ของฝ่าบาทเลยทีเดียว
คิดเตลิดไปไกลแล้ว โดยสรุปคือ เขาต้องจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้เยี่ยนอ๋องเข้ามาแทรกแซงและจูงจมูกเขา
องครักษ์จิ่นหลินคือองครักษ์จิ่นหลินของฝ่าบาท มิใช่องครักษ์จิ่นหลินของเยี่ยนอ๋อง
ขนาดอดีตไท่จื่อยังไม่กล้าทำเช่นนี้ ดูจากทรงแล้วเยี่ยนอ๋องนี่เพี้ยนขนาดหนัก…
หันหราถอนหายใจก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “คนแซ่หันจะจัดการเช่นไร มิจำเป็นต้องลำบากท่านอ๋องให้ช่วยคิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หากเขาพูดจาประนีประนอม ยอมคล้อยตามความเพี้ยนพิลึกของเยี่ยนอ๋อง มีหวังคราวหน้าคงเหิมเกริมกว่านี้เป็นแน่
หันหรานคิดตกดังนั้นจึงเอ่ยเตือน “ท่านอ๋องเข้ามาแทรกแซงถึงขั้นนี้มิกลัวหรือว่าคนแซ่หันจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลฝ่าบาท”
“ผู้บัญชาการหันจะฟ้องเสด็จพ่องั้นรึ” อวิ่จิ่นทำหน้าตกใจ
หันหรานเบ้ปากด้วยความขุ่นเคือง
นี่เรียกว่าการฟ้องที่ไหนกัน เขาเป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาก็ต้องแจ้งฝ่าบาททั้งนั้น
เหตุไฉนเยี่ยนอ๋องถึงได้เรียกการปฏิบัติตามหน้าที่ว่าเป็นการฟ้องเล่า…
หันหรานหน้าเครียดขรึมพลางเอ่ยเน้น “คนแซ่หันเพียงปฏิบัติตามหน้าที่ ฉะนั้นคำกล่าวของท่านอ๋องจึงน่าขันยิ่งนัก!”
อวี้จิ่นหุบยิ้มก่อนที่แววตาจะขับประกายเย็นเยียบ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าผู้บัญชาการหันจงใจจะมีเรื่องกับข้า”
ริมฝีปากของหันหรานสั่นกระตุก เขาเกือบจะสาดน้ำชาใส่คนตรงหน้า
นานๆ ทีจะได้มีเวลาพักผ่อน เขาอุตส่าห์นั่งในห้องส่วนตัวห้องประจำ เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างที่เคยทำเป็นประจำ และละเลียดชาชนิดเดียวกับที่ดื่มประจำ แต่กลายเป็นว่าเยี่ยนอ๋องกลับกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง และมาชี้หน้าว่าเขาหาเรื่องเยี่ยนอ๋องอย่างนั้นรึ
หันหรานวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรงก่อนจะลุกพรวด “เชิญท่านอ๋องดื่มต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ คนแซ่หันมีเรื่องต้องไปจัดการ ไม่อาจนั่งสนทนาเป็นเพื่อนพระองค์ได้”
เมื่อเห็นหันหรานเดินไปจนเกือบจะถึงหน้าประตู อวี้จิ่นก็เอ่ยว่า “ข้าได้ยินข่าวลืออีกเรื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้บัญชาการหัน”
หันหรานชะงักฝีเท้าและหันกลับมา
อวี้จิ่นคลี่ยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ “ผู้บัญชาการหันนั่งก่อนเถิด เราคอยๆ พูดค่อยๆ จากันจะดีกว่า”
หันหรานกลับมานั่งที่เก่า แต่สายตาที่จ้องตรงมาที่อวี้จิ่ยังคงไร้อารมณ์
มีข่าวลือเกี่ยวกับเขาอย่างนั้นรึ เขาก็ต้องฟังซิ ดูซิว่าใครกันที่กล้าเอ่ยถึงผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน
“ว่ากันว่าสาเหตุของการปลดอวี้หลาง อดีตไท่จื่อในครั้งแรกมิใช่เพราะมีคนลอบสังหารอันจวิ้นอ๋อง แต่ว่าเป็นเรื่องข่าวฉาวของพระสนมหยาง…”
หันหราดลุกพรวด ถ้วยชาในมือถูกขว้างลงที่พื้น
เสียงความเคลื่อนไหวนี้ทำให้องครักษ์จิ่นหลินที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกแตกตื่น
“ใต้เท้า…”
ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งของหันหราน องครักษ์ทั้งสองที่เฝ้าประตูก็ไม่กล้าผลักประตูเข้ามาโดยพลการ
หันหรานหันไปกล่าวทางประตูเสียงเย็น “ไม่มีอะไร พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นั่นแหละ”
“ขอรับ” ที่หน้าประตูกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
หันหรานหันกลับมามองอวี้จิ่นด้วยใบหน้าถมึงทึง มือของเขาสั่นระริก
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินผู้องอาจ ผู้ที่ทำให้คนที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเป็นต้องครั่นคร้าม แต่บัดนี้มือของเขากลับสั่นระริก เห็นได้ชัดว่าภายในใจคงหวั่นไหวไม่น้อย
เขาเข้าไปประชิดตัวอวี้จิ่นพลางถาม “ท่านอ๋องไปได้ยินข่าวลือนี้มาจากที่ใด”
นี่มิใช่ข่าวลือ แต่เป็นความปลอดภัยของเขาและครอบครัวต่างหาก!
อวี้จิ่นยิ้มอย่างสงวนท่าที “ข้านึกว่าเป็นเพียงข่าวเล่าอ้างเสียอีก แต่จากปฏิกิริยาของผู้บัญชาการหันแล้ว นี่คงเป็นเรื่องจริงสินะ…”
“ท่านอ๋อง นี่มิใช่เวลาจะมาล้อเล่นนะพ่ะย่ะค่ะ!” หันหรานตบโต๊ะฉาดใหญ่ แววตาจ้องเขม็งไปที่หนุ่มตรงหน้า “ท่านอ๋อง สรุปแล้วพระองค์ได้ยินมาจากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นจรดนิ้วที่ริมฝีปากตัวเอง
หันหรานหรี่ตา มือทั้งสองข้างกำแน่น “ท่านอ๋องทรงหมายความเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นหยิบถ้วยใบใหม่ออกมาวางแล้วจึงรินชาส่งให้หันหราน “ผู้บัญชาการหันอย่าได้รีบร้อนไปเลย ดื่มชาให้อารมณ์เย็นลงหน่อยเถิด”
หันหรานรับถ้วยชานั้นไปก่อนจะกระดกหมดในรวดเดียวในขณะที่สายตาไม่ละไปจากอวี้จิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อคำขู่ดูเหมือนจะได้ผล อวี้จิ่นก็ยิ่งได้ใจ เขาส่งยิ้มเบาสบาย “สรุปแล้ว ผู้บัญชาการหันจะตรวจสอบเรื่องนี้ดีๆ หรือไม่”
หันหรานหลับตา เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว
ที่แท้เยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้เพี้ยน แต่เขาเป็นพวกไม่กลัวอะไรเลยต่างหาก
ว่าแต่เขารู้ความลับขั้นสุดยอดนี้ได้อย่างไร
หันหรานขมวดคิ้วมุ่น “นี่ท่านอ๋องกำลังใช้เรื่องนี้มาขู่กระหม่อมงั้นหรือ”
อวี้จิ่นผุดยิ้ม น้ำเสียงมิได้สื่ออารมณ์ใด “ผู้บัญชาการหันใคร่จะคิดเช่นนั้นก็ย่อมได้ เพียงแต่ข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านเท่านั้น ในเมื่อเรื่องวันนี้ส่งผลต่อข้าโดยตรง หากผู้บัญชาการหันไม่ยินดีจะช่วย ข้าก็จะได้ไม่ต้องลำบากใช่หรือไม่”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของอวี้จิ่นกลับเย็นลง เขาทำทีปัดฝุ่นตามตัว พลางย้อนถาม “ข้าคือคนที่ต้องลำบากหรือเปล่านะ”
หันหรานโกรธขึ้งอยากจะกลอกตาให้รู้แล้วรู้รอด “ท่านอ๋องไม่อยากลำบากก็เลยมาขู่กระหม่อม?”
อวี้จิ่นพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ใครใช้ให้มีคนรู้ความลับแค่นี้กันเล่า จากที่ข้าเดา คนที่น่าจะทราบเรื่องนี้คงมีแค่ผู้บัญชาการหัน ใต้เท้าเจิน แล้วก็พานกงกง แค่สามคนสินะ”
หันหรานจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ
ขณะที่เกิดเรื่องใหญ่โตคราวนั้น เยี่ยนอ๋องมิได้อยู่ในเหตุการณ์ แล้วเขาทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
ยิ่งคิด หันหรานก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างลึกลับซับซ้อน
แต่อวี้จิ่นไม่สนใจว่าหันหรานจะคิดกับตนเช่นไร เขายังคงพูดจาข่มขู่ต่อไป “เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่มาของข่าวลือคราวนี้ก็ต้องเป็นสักคนในพวกท่าน”
หันหรานถามอย่างอดทน “แล้วเหตุใดถึงไม่เลือกพานไห่ หรือไม่ก็เจินซื่อเฉิง”
อวี้จิ่นเหลือบมองหันหรานแวบหนึ่งพลางเอ่ยอย่างขำขัน “ก็เพราะข้ามีเรื่องต้องรบกวนผู้บัญชาการหัน มิได้มีเรื่องรบกวนพวกเขาเสียหน่อย”
หันหรานเงียบงันเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา “วิธีการขอความช่วยเหลือของท่านอ๋องนี่ช่างไม่เหมือนใครเอาเสียเลย”
การขอความช่วยเหลือก็ต้องทำตัวให้มันสมกับที่มาขอความช่วยเหลือ มีที่ไหนมาข่มขู่คุกคามอย่างที่เขากำลังโดนอยู่นี้
“เช่นนั้น ข้าต้องรบกวนผู้บัญชาการหันด้วย” เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าหันหรานคงต้องตอบตกลง สีหน้าของเขาก็สดใสขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นมาคารวะอีกฝ่าย
หันหรานกระตุกมุมปาก อยากจะถามว่าการที่เขากล้าข่มขู่เขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกตลบหลังเลยหรือ แต่เมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาดำขลับ หันหรานก็ได้แต่กลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงคอ
เพราะต่อให้เขาจะตลบหลัง อีกฝ่ายก็คงปล่อยข่าวเรื่องอดีตไท่จื่อและหยางเฟยอยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นฝ่าบาทคงสงสัยว่าเขาเป็นคนทำและหายนะก็คงมาเยือนในไม่ช้า
ในปีนั้นเยี่ยนอ๋องไม่ได้ไปที่เขาภูเขาชุ่ยหลัว หากเขาวิ่งแจ้นไปฟ้องฝ่าบาทว่าเยี่ยนอ๋องเป็นคนปล่อยข่าวนี้ เห็นทีฝ่าบาทคงได้ใช้หยกขาวทุบกะโหลกเขาเป็นแน่
ฉะนั้นแล้วภัยคุกคามคราวนี้ เขาคงทำได้เพียงฝืนกลืนมันลงไป
เมื่ออวี้จิ่นเห็นหันหรานออกอาการเศร้าสร้อย เขาจึงเอ่ยคำพูดปลอบใจ “ผู้บัญชาการหันวางใจได้ ข้าเป็นคนรักษาสัจจะ”
หันหรานดึงมุมปาก
เขาต้องรู้สึกว่าเป็นบุญคุณล้นพ้นเลยสินะ
แต่เมื่อเปิดปากพูดกลับกลายเป็น “ท่านอ๋องมิต้องเกรงใจกระหม่อมถึงขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่คู่นี้กำลังสนทนากัน อีกด้านหนึ่งฉังหมัวมัวก็กลับไปถึงตำหนักฉือหนิงเป็นที่เรียบร้อย นางรีบรายงานสิ่งที่ได้ยินมาให้ไทเฮาทราบทันที