โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่มีฝนโปรยลงมาตั้งแต่รุ่งสางในวันแรกของเดือนสี่
ท้องฟ้าสีหม่นกับเม็ดฝนละเอียดเล็กสีขาว รถม้าสีเข้มคันน้อยแล่นผ่านท่ามกลางสายฝนและกลุ่มหมอกขมุกขมัว ฉังหมัวมัวนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในรถม้าคนนั้นโดยมิได้สนใจทิวทัศน์ด้านนอก
สำหรับนางในที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงมีโอกาสที่จะได้เห็นทิวทัศน์นอกพระราชวังน้อยนัก แต่เพราะนางเดินทางผ่านถนนเส้นเดิมมาหลายปีหลายเดือนโดยไม่มีการออกนอกเส้นทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว นานวันเข้า ความตื่นเต้นก็ค่อยๆ จางหายไป
วัดฝูเต๋อตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ต้นเฟิง[1] ขึ้นเรียงรายตลอดสองข้างทาง เมื่อถึงสารทฤดู ใบไม้สีแดงจะลอยล่องเกลื่อนกล่นไปทั่วแห่งหน ถือเป็นช่วงที่บรรยากาศงดงามมากที่สุดของปี
แต่ทว่าสภาพการณ์ในวันนี้ไม่อาจดึงดูดความสนใจของฉังหมัวมัวให้เชยชมได้เลย เมื่อไปถึงก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งออกมาต้อนรับ
แม้จะถวายธูปเสร็จกิจเป็นที่เรียบร้อย แต่ฉังหมัวมัวก็มิได้เร่งร้อนเดินทางกลับวังหลวง นางยังคงเดินเล่นอยู่ในเขตวัดเพื่อสูดกลิ่นแห่งอิสรภาพอันแสนบริสุทธิ์นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเช่นนั้น
นี่คือนิสัยที่ฉังหมัวมัวทำมานาน นางไม่ใคร่ให้เหล่าสามเณรเดินตาม นางจึงเล่นอยู่กับนางในอีกสองคนเท่านั้น
นางเดินเข้าไปจนถึงสวนด้านใน
เสียงคนกำลังสนทนาลอดผ่านมาทางช่องว่างระหว่างพุ่มไม้
ฉังหมัวมัวชะงักฝีเท้าเตรียมจะหันหลังกลับ
นางอาศัยอยู่ในวังหลวงมาช้านานจึงทราบดีว่าความอยากรู้จะชักนำภัยอันใหญ่หลวงมาสู่ตน ฉะนั้นแล้วนางจึงไม่สนจะฟังเรื่องของคนอื่น
แต่ประโยคถัดจากนั้นกลับรั้งตัวนางเอาไว้ หนำซ้ำยังทำให้นางขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม
แม้วัดฝูเต๋อจะเป็นอารามหลวง แต่หากมิใช่เทศกาลพิเศษที่ต้องจัดพิธีในราชวงศ์แล้ว วัดแห่งนี้จะเปิดให้ชาวบ้านเข้ามาแสวงบุญได้ตามอัธยาศัย
“เจ้าได้ยินเรื่องที่ฉีอ๋องจะสังหารพระชายาของตัวเองหรือยัง”
เสียงอีกคนหัวเราะ “เรื่องนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ เหอะๆ คิดไม่ถึงเลยว่าฉีอ๋องจะเป็นคนเช่นนี้…”
คนแรกตอบกลับ “แต่หากจะให้ข้าพูด ข้าว่าความจริงคงมิได้เป็นอย่างที่ตาเห็น เรื่องของคนสูงศักดิ์จริงปลอมยากจะแยก ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเรามีหรือจะเข้าใจ”
อีกคนหัวเราะ “เหล่าผู้สูงศักดิ์ก่อเรื่องน่าอับอาย พวกเราถึงได้มีเรื่องสนุกๆ ให้ดู มิฉะนั้นชีวิตคงน่าเบื่อแย่”
“จริงของเจ้า สองปีมานี้พวกคนชั้นสูงสร้างเรื่องฉาวไม่เว้นวัน ช่วงนี้มีเรื่องของฉีอ๋องและเซียงอ๋อง ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องท่านอ๋องคนอื่นๆ และขนาดองค์หญิงใหญ่ก็ยังเอาชีวิตไม่รอด…”
ฉังหมัวมัวชะงักงันนิ่งอึ้ง
องค์หญิงใหญ่? ที่พูดหมายถึงคนไหน
มีองค์หญิงใหญ่ที่ออกเรือนไปแล้วแต่ยังอยู่ในเมืองหลวงหลายคน แต่ไม่เห็นได้ยินเลยว่าเกิดเรื่องเช่นนี้กับองค์หญิงใหญ่คนใด ในงานเลี้ยงฉลองพระราชสมภพของไทเฮาเมื่อไม่นานมานี้ เหล่าองค์หญิงใหญ่ก็มากันเกือบครบ มีเพียงองค์เดียวที่ไม่มาเพราะไม่สบาย
แต่จากที่ได้ยินสองคนนี้คุยกัน คำอัปมงคลเช่นคำว่าเอาชีวิตไม่รอดฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเจ็บไข้ใช่หรือไม่
ฉังหมัวมัวเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เสียงถอนหายใจดังลอดช่องไม้ “สุดท้ายก็ยังเป็นองค์หญิงใหญ่ ถึงแม้นางจะกลายเป็นสามัญชนแล้ว พวกเรายังเทียบค่ามิได้…”
ฉังหมัวมัวตกตะลึง เท้าของนางพลันก้าวถอยโดยไม่รู้ตัว
องค์หญิงใหญ่ที่ถูกถอดยอดเป็นสามัญชนมีเพียงคนเดียว…
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตายแล้วรึ
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดตำหนักฉือหนิงถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
อาการพรั่นพรึงทำให้ฉังหมัวมัวเผลอขยับตัวเข้าไปใกล้
สีหน้าของนางในสองคนที่เดินตามมาเครียดเขม็งดุจกัน พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หนึ่งในนั้นถอนหายใจ “องค์หญิงใหญ่แต่งงานกับผิดคนเอง ได้ยินว่าราชบุตรเขยชุยเย็นชากับนาง นางต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว หนำซ้ำยังต้องมาตายคามือราชบุตรเขยชุย…”
ฉังหมัวมัวอกสั่น
องค์หญิงใหญ่หรงหยางถูกราชบุตรเขยชุยฆ่าตายอย่างนั้นหรือ
ความหวาดหวั่นทำให้ฉังหมัวมัวหูผึ่ง
แต่แล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อเร็วๆ นี้
เห็นได้ชัดว่าสตรีทั้งสองชื่นชอบข่าวซุบซิบเป็นชีวิตจิตใจ เป็นนิสัยของสตรีที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองหลวง ฉังหมัวมัวจึงไม่ได้ใส่ใจว่านางทั้งสองคือใคร นางสนใจแต่เรื่องขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเท่านั้น
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน นางก็ตกลงใจได้ในที่สุด ฉังหมัวมัวส่งสัญญาณให้นางในอีกสองคนยืนคอยอยู่ที่เก่า ส่วนนางก็เดินตามต้นเสียงนั้นไป
สตรีหลังพุ่มไม้ทั้งสองเป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดา คนที่ดูอายุมากกว่าสวมอาภรณ์สีคราม ส่วนสตรีอีกนางที่อ่อนเยาว์กว่าอยู่ในชุดอาภรณ์สีแดง การแต่งกายของพวกนางเป็นแบบสมัยนิยม แต่ทว่าในสายตาฉังหมัวมัว อาภรณ์เหล่านั้นเป็นชุดที่ทำมาจากวัสดุคุณภาพต่ำ
นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าสตรีทั้งคงสองเป็นภรรยาของข้าราชการชั้นผู้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่รับรู้ข่าวสารได้รวดเร็วที่สุด
หากเป็นชาวบ้านทั่วไป ความแร้นแค้นจะทำให้พวกเขายุ่งเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องเหล่านี้
ฉะนั้นแล้ว การจะรับมือกับหญิงสาวทั้งสองจึงมิใช่เรื่องยาก
การปรากฏตัวของฉังหมัวมัวทำให้พวกนางชะงักนิ่งไปชั่วครู่ สตรีในชุดอาภรณ์สีครามเอ่ยถาม “ท่านคือ…”
ฉังหมัวมัวสวมชุดตามแบบฉบับสตรีทั่วไปเพื่อให้สะดวกแก่การออกมาทำธุระนอกวังหลวง แม้วัสดุเนื้อผ้าอาจไม่ได้ดีเลิศ แต่ถึงกระนั้นก็ปกปิดความประณีตในการตัดเย็บไว้ไม่มิด
สตรีทั้งสองมองออกในทันใด พวกนางรับรู้ได้ว่าคนที่ยืนอยู่ต่อคงจะมีสถานะสูงส่งกว่าพวกนาง ดังนั้นจึงเรียกขานด้วยสรรพนามสุภาพ
ฉังหมัวมัวกวาดสายตามองสตรีทั้งสองด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทราบว่าข้าคือใคร และข้าก็จะไม่ถามถึงชีวิตส่วนตัวของพวกเจ้า ข้าเพียงแต่ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่หรงหยางเท่านั้น”
พวกนางหันมาสบตากันทันใด
ฉังหมัวมัวล้วงทองสองก้อนออกมาแล้วยัดใส่มือสตรีทั้งสอง
น้ำหนักของก้อนทองทำให้สตรีทั้งสองถึงกับตะลึงงันนิ่งอึ้ง
ฉังหมัวมัวคลี่ยิ้มจาง “จะว่าไปแล้ว ใครต่างก็ทราบเรื่ององค์หญิงใหญ่หรงหยาง เรื่องนี้มิใช่ความลับ พวกเจ้าแค่เล่าในสิ่งที่รู้มาก็เท่านั้น แล้วทองนั่นก็จะเป็นของพวกเจ้าทันที พวกเจ้าไม่รู้จักข้า และข้าก็ไม่รู้จักพวกเจ้า ทันทีที่ก้าวออกจากวัดฝูเต๋อก็ถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ตกลงไหม”
เมื่อพวกนางหันมาสบตากันอีกครั้งมีหรือจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ ไม่นานเรื่ององค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ถูกเล่าอย่างละเอียด
ฉังหมัวมัวฟังจบก็พิศจ้องใบหน้าของสตรีทั้งสองอีกครั้งก่อนจะจากไป
เมื่อเสียงฝีเท้าห่างออกไปไกลแล้ว สตรีในชุดอาภรณ์สีแดงก็ลูบก้อนทองที่ยัดอยู่ในอกพลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เงินทองของพวกคนชั้นสูงนี่ได้ง่ายเสียเหลือเกิน”
ทองก้อนเดียวแทบจะเท่าเงินเบี้ยหวัดที่สามีของนางทำงานเกือบครึ่งปี
สตรีในชุดอาภรณ์สีครามมองไปที่อีกฝ่าย “หยุดพูดแล้วรีบไปกันเถิด”
แน่นอนว่าเรื่องราวเมื่อครู่เป็นสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับคนผู้นั้นอยู่แล้ว
เพราะเป็นวันแรกของเดือน แม้จะมีฝนโปรยลงมา แต่เหล่าผู้แสวงบุญกลับมิได้น้อยลงแต่อย่างใด
หญิงสาวทั้งสองพยายามเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่านจึงตั้งใจเดินห่างออกมา แต่เมื่อพวกนางเดินมาถึงบริเวณป่าไผ่ จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดลง กว่าจะได้สติกลับไม่รู้แล้วว่าตนเองอยู่แห่งหนใด
มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าพวกนาง
สตรีทั้งสองแทบกรีดร้องลั่น แต่เพราะปากของพวกนางถูกปิดสนิท จึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
บุรุษหนุ่มเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าคือองครักษ์จิ่นหลิน!”
ดวงตาหญิงสาวทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
องครักษ์จิ่นหลินมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
พวกนางแค่รับก้อนทองมาเพื่อแลกกับข่าวซุบซิบเพียงไม่กี่ประโยค ไม่น่าต้องถึงขนาดนี้!
บุรุษหนุ่มเล่นกริชในมือพลางเอ่ยเสียงเย็น “ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า หากพวกเจ้าส่งเสียงเอะอะหรือดึงดันไม่ยอมพูด พวกเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ใช้ทองก้อนนั้น”
หญิงทั้งสองหวาดผวาจนใบหน้าซีดเผือด
นี่มันทองพาซวยนี่หน่า!
เมื่อสิ่งที่อุดปากพวกนางอยู่ถูกนำออกไป สตรีทั้งสองก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
“บอกมาว่าพวกเจ้าเป็นใคร”
……
หลังจากได้คำตอบแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาของบุรุษหนุ่มทำให้เขามั่นใจได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้โกหก จึงปล่อยพวกนางไป
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง มีบุรุษอีกสองคนแยกย้ายสะกดรอยตามสตรีทั้งสอง
ส่วนบุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ตรงกลับไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง และเข้ามารายงานอวี้จิ่นที่อยู่ในห้องตำราด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านอ๋อง มีความคืบหน้าเกี่ยวกับไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
[1] ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิล