หัวใจของฉีอ๋องประหนึ่งถูกแช่แข็งจนเขาลืมตอบสนองไปชั่วขณะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองโอรสด้วยใบหน้าบูดบึ้งพลางลูบหยกขาวสำหรับทับกระดาษ
ฉีอ๋องเคอโถว[1]อีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น “เสด็จพ่อ ลูกอยากไปน้อมทักหมู่เฟยและกราบทูลเสด็จแม่เรื่องหลี่ซื่อพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาฉีอ๋องคือลูกสะใภ้ของเสียนเฟย เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ การแจ้งให้นางทราบก็มิใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้นางทราบ แต่เนื่องจากเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกโจมตีอย่างหนัก และไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเก็บไว้เพียงลำพัง จึงเห็นว่าควรแก่การระบายออกมา
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะปฏิเสธคำขอของฉีอ๋อง “รอให้เจ้าจัดการเรื่องหลี่ซื่อให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเข้ามาน้อมทักเสด็จแม่ของเจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้สุขภาพของนางยังไม่ใคร่จะดี ถึงเวลานั้นเจ้าจะพูดอะไรก็ระมัดระวังด้วย”
“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉีอ๋องกลับออกไป
ในห้องทรงพระอักษรนอกจากจิ่งหมิงฮ่องเต้และพานไห่แล้ว ยังเหลือหันหรานซึ่งเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินด้วยอีกคน
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองหันหรานเงียบงัน เขาคร้านจะเอ่ยสิ่งใดให้มากความจึงเพียงส่งสัญญาณให้ทั้งคู่ออกไปทำหน้าที่ของตนเอง
ไม่นานพานไห่และหันหรานก็ออกไปจากห้อง เมื่ออยู่คนเดียว จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกหยกขาวทับกระดาษขึ้นมาก่อนจะวางลงที่เก่า เขายกขึ้นมา และวางลงอีก ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา แต่เพราะไม่อาจระงับโทสะ สุดท้ายหยกขาวที่เพิ่งถูกนำมาวางได้เพียงไม่นานก็ลอยลิ่วลงพื้น
ที่ทับกระดาษแตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตาก่อนที่ความโกรธเกรี้ยวของจิ่งหมิงฮ่องเต้จะค่อยๆ ทุเลาลง สีหน้าขององค์จักรพรรดิยังคงคล้ำหม่น
เขามิใช่คนโง่ เหตุการณ์นี้ยืนยันได้ว่าเจ้าสี่หมายจะกำจัดหลี่ซื่อ
คำที่หลี่ซื่อบอกว่าเจ้าสี่จะสังหารภรรยาและแต่งงานใหม่คงจะเป็นความจริง
แม้พระชายาฉีอ๋องจะมีความผิดติดตัว แต่จากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็น ผู้ใดจะดูหมิ่นพระชายาฉีอ๋องก็ได้ แต่การที่ผู้เป็นสามีคิดจะกำจัดนางนั้นเป็นการทำเกินไป
หากเจ้าสี่กล้าลงมือกับภรรยาคู่คิดอย่างเหี้ยมโหด เขาก็อำมหิตเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เดิมทีฉีอ๋องมักจะแสร้งออกว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงทำให้เขารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
เขาไม่จำเป็นต้องสั่งให้หันหรานสืบหาความจริง
เจ้าสี่คือโอรสของเขา การที่เขาแจ้งให้โลกทราบว่าบุตรชายคิดจะฆ่าภรรยาตัวเองจะทำให้เขาได้รับเกียรติอย่างนั้นหรือ ฉะนั้นแล้วการส่งหลี่ซื่อไปที่อารามบรรพชนก็เพื่อจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก เขาสั่งเสี่ยวเล่อจื่อที่เฝ้าประตูว่า “นำที่ทับกระดาษอันใหม่มาเปลี่ยนด้วย”
ข่าวลือที่บอกว่าเขาชอบขว้างที่ทับกระดาษเล่น ช่างเหลวไหล!
พานไห่ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่จวนฉีอ๋องหวนนึกถึงฉีอ๋องแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
ดูแล้ว ฝ่าบาทคงไม่ซักไซ้ความจริงจากเหตุการณ์วันนี้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่าฉีอ๋องได้กลายเป็นลูกชังเป็นที่เรียบร้อย
ตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้ ฉีอ๋องคงชวดเสียแล้ว
ตั้งแต่เกิดเรื่องเซียงอ๋อง องค์ชายที่มีโอกาสจะได้นั่งอยู่บนตำแหน่งรัชทายาทก็เหลือแค่ฉีอ๋อง หลู่อ๋อง สู่อ๋องและเยี่ยนอ๋อง
ในสายตาของคนอื่นๆ คงเห็นว่าฉีอ๋องมีโอกาสมากที่สุด แต่ในสายตาผู้ที่อยู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์มากที่สุดกลับไม่พึงใจในตัวฉีอ๋องเท่าใดนัก
ในบรรดาองค์ชายทั้งสี่ ฉีอ๋องมีอายุมากที่สุด อีกทั้งหมู่เฟยผู้ให้กำเนิดยังมาจากตระกูลสูงศักดิ์ เขาจึงดูมีสิทธิ์ได้เข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับประวิงเวลาไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาทเสียที
การทำเช่นนี้กำลังหมายความว่าอย่างไรล่ะ ก็หมายความว่าแม้ฝ่าบาทจะทรงทราบว่าฉีอ๋องคือคนที่เหมาะสมที่สุด แต่พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย!
น่าขันที่คนส่วนใหญ่กลับไม่เข้าใจ
ไม่สำคัญว่าฉีอ๋องเคยมีความคิดจะสังหารพระชายาฉีอ๋องหรือไม่ แต่ที่สำคัญคือฝ่าบาททรงเคยคิดเช่นนี้หรือไม่ต่างหาก
สิ่งที่ปรากฏ ณ ตอนนี้แสดงชัดแล้วว่าฝ่าบาทเองก็ทรงคิดเช่นนี้ พระองค์ถึงไม่สั่งให้สืบหาความจริง
พระชายาฉีอ๋องสร้างความวุ่นวายคราวนี้ ไม่ได้ทำให้ฉีอ๋องมารับไม้ต่อจากเซียงอ๋องเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้ฉีอ๋องถูกฝ่าบาทเกลียดอีกด้วย ช่างอนาถเหลือเกิน
แต่ทว่าเรื่องนี้ก็น่าสนใจตรงที่ว่า จวนอ๋องมีพื้นที่กว้างใหญ่ออกเพียงนั้น อีกทั้งยังมีบ่าวรับใช้และผอจื่อเฝ้าอีกเป็นโขยง แต่กลายเป็นว่าพระชายาฉีอ๋องกลับวิ่งทะเล่อทะล่าออกมาถึงถนนใหญ่จนได้
พานไห่คิดพลางส่ายหัว เขาลงความเห็นในใจว่า นับวันเหล่าองค์ชายสร้างเรื่องใหม่ๆ มาให้ประหลาดใจอยู่เสมอ
“พานกงกง มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่” หันหรานที่เดินออกมาจากวังพร้อมกันเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ
พานไห่ยกมือคารวะ “เชิญผู้บัญชาการหันจัดการธุระของตัวเถิด ข้าไม่รบกวนจะดีกว่า”
“ได้ แต่ถ้ามีเรื่องใดให้ข้าช่วย พานกงกงก็บอกข้าได้ทันที” แม้หันจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เขากลับเดินตามพานไห่ไป
พานไห่ชำเลืองมองอีกฝ่าย
ก็บอกว่าไม่ต้องไง แล้วจะเดินตามเขามาทำไมเล่า
เหมือนหันหรานจะเข้าใจความคิดของพานไห่จึงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนนี้เขตจูเชวี่ยถือเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด”
พานไห่รู้แจ้ง
จวนอ๋องทั้งหมดอยู่ในเขตจูเชวี่ย นอกจากองครักษ์จิ่นหลินแล้ว ได้ยินว่าเจินซื่อเฉิง ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครยังต้องมาลาดตระเวนในพื้นนี้เป็นพิเศษ…
เมื่อมาถึงจวนฉีอ๋องแล้ว พานไห่หันไปกล่าวแก่ฉีอ๋องที่เดินมาถึงพร้อมกันว่า “ท่านอ๋อง เชิญพระชายาออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พานกงกงรอสักครู่”
เมื่อให้พานไห่เข้าไปคอยที่ห้องรับรองแล้ว ฉีอ๋องก็ตรงไปที่เรือนของพระชายาฉีอ๋องทันที
พระชายาฉีอ๋องในขณะนั้นถูกเหล่าสาวรับใช้และผอจื่อจับตาดูอยู่ตลอดเวลาจนนางไม่สามารถขยับตัวไปไหน
เนื่องจากนางไม่คิดจะหนีอีกแล้ว ท่าทีในตอนนี้จึงสงบนิ่ง
เมื่อชีวิตเดินทางไปถึงจุดนั้นแล้วถึงจะตระหนักได้ว่าการมีชีวิตอยู่ประเสริฐเพียงใด
ทั้งอำนาจ ความมั่งคั่ง และเกียรติยศล้วนแล้วแต่ไม่มีความหมายเมื่อเทียบกับการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
เหตุการณ์ในวันนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าชีวิตของนางจะรอดปลอดภัย เมื่อบุรุษหน้าซื่อใจคดผู้นั้นถูกตราหน้าว่ามีจิตคิดสังหารภรรยาตัวเอง คนที่ไม่อยากให้นางตายมากที่สุดตอนนี้คงเป็นเขาเอง
เสียงฝีเท้าดังลอยมา
เปลือกตาพระชายาฉีอ๋องสั่นไหว แต่นางไม่ได้หันกลับไปมอง
แต่ถึงแม้ว่านางมิได้มอง แต่นางรู้ดีว่าคนผู้นั้นคือใคร
ไม่นานก็ตามมาด้วยน้ำเสียงแสนคุ้นเคย “พวกเจ้าออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ” สาวรับใช้และผอจื่อถอยออกไปพร้อมกัน
ฉีอ๋องจดจ้องไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวด้วยแววตาเกลียดชัง “เจ้ามันคนเห็นแก่ตัว การที่เจ้าไปป่าวประกาศให้ข้าต้องอับอาย สร้างประโยชน์ให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ตรงไหน”
พระชายาฉีอ๋องหันขวับพร้อมกับหัวเราะเยาะ “แล้วการที่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ต้องกำพร้าแม่เป็นประโยชน์กับชีวิตนางงั้นหรือ”
ฉีอ๋องผงะนิ่งไป เพราะคิดไม่ถึงว่าพระชายาฉีอ๋องที่เคยอ่อนโยนนุ่มนวลจะเอ่ยวาจาเสียดแทงเพียงนี้
“มารดาที่เสียสติกับบิดาที่มียศเป็นถึงชินอ๋อง เจ้าว่าใครจะเป็นประโยชน์กับชีวิตของนางมากกว่ากัน”
นอกจากบุรุษผู้นี้จะทำให้นางกลายเป็นคนวิกลจริตแล้ว เขายังมากล่อมให้นางไปตายอีกงั้นหรือ
หญิงสาวพยายามระงับโทสะและเอ่ยถามเสียงเรียบ “ย่วนเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่ไหน ข้าอยากพบนาง”
ฉีอ๋องเย้ยหยัน “เจ้าจะไม่ได้เจอย่วนเจี่ยเอ๋อร์อีกแล้ว รีบไปเก็บของ และตามพานกงกงไปที่อารามบรรพชน”
“อารามบรรพชน?”
แววตาฉีอ๋องขับประกายเย็นเยียบ น้ำเสียงที่เปล่งเจือไปด้วยความไม่แยแส “เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องของเจ้า จึงส่งเจ้าไปรักษาตัวที่อารามบรรพชน”
และเนื่องด้วยสาเหตุนี้ เขาถึงทำอะไรสตรีผู้นี้ไม่ได้อีกแล้ว
“เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้าไปอยู่ที่อารามบรรพชนงั้นหรือ” พระชายาฉีอ๋องจดจ้องไปที่ผู้เป็นสามี
ฉีอ๋องที่ถูกจ้องเช่นนั้นไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด “พานกงกงคอยอยู่ด้านนอก เจ้ารีบไปเสีย แล้วจำไว้ว่าเรื่องที่ไม่ควรพูด ก็อย่าพูด แม้เจ้าไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง แต่ก็อย่าลืมคิดถึงย่วนเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้ด้วย”
พระชายาฉีอ๋องไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง นางเงียบงันอยู่นานจนกระทั่งฉีอ๋องต้องออกปากเร่ง
ดูเหมือนพระชายาฉีอ๋องจะฉุกคิดเรื่องหนึ่ง นางเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอ”
“ว่ามา” ฉีอ๋องอดทนอย่างถึงที่สุด
พระชายาฉีอ๋องเอ่ยเน้นทีละคำ “ให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ไปกับข้า”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
สีหน้าของพระชายาฉีอ๋องยังคงสงบเรียบ “ที่อารามบรรพชนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ข้าเกรงว่าจะทนรับความทุกข์ทรมานเช่นนั้นไม่ไหว ข้าจึงต้องการให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ไปกับข้า”
[1] เคอโถวการคุกเข่าถวายบังคมโขกศีรษะต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้