ดูเหมือนไทเฮาจะรับรู้ถึงความสงสัยของจิ่งหมิงฮ่องเต้จึงยิ้มระเรื่อแล้วตรัสว่า “เมื่อครู่บ่าวที่เดินทางกลับเข้ามาเห็นเซียงอ๋องอยู่ตรงประตูทางเข้าตำหนักพอดี จึงได้บอกข้า”
จิ่งหมิงฮ่องจึงได้กระจ่างแจ้ง
บางครั้งคนของตำหนักฉือหนิงออกจากตำหนักเพื่อไปบริจาคเงินค่าน้ำมันตะเกียงที่วัดประจำราชวงศ์แทนไทเฮา วันนี้จึงเป็นจังหวะประจวบเหมาะที่ได้พบกัน
ไทเฮาตรัสอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “หนุ่มสาวยากนักที่จะไม่เคยกระทำความผิด นับประสาอะไรหลังดื่มสุราเมามาย ฮ่องเต้อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเซียงอ๋องเลย” จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องมองริ้วรอยตรงขอบตาของไทเฮา ไม่รู้ว่าจะตรัสอย่างไรดี
จนถึงวันนี้การตายของหรงหยางยังคงปิดบังไทเฮาไว้ หากพูดเรื่องที่เจ้าแปดสังหารชุยหมิงเย่ว์ เกรงว่าคงปิดบังเรื่องการตายของหรงหยางไม่ได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดคำนึง จากนั้นได้ยินเสียงถอนหายใจของไทเฮาตรัสว่า “เมื่อคิดถึงเจ้าเซียงอ๋องนั่น ข้าก็คิดถึงหมิงเย่ว์ยิ่งนัก หากในตอนนั้นหมิงเย่ว์ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ก็คงได้เป็นหลานสะใภ้ของข้าแล้ว บัดนี้คาดว่าเหลนก็คงจะ…”
“พ่ะย่ะค่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มแห้งๆ ฟังแล้วรู้สึกปวดใจ ไทเฮาหยุดการหมุนสายประคำลง สีหน้าโศกเศร้า “ไม่รู้ว่าตอนนี้หรงหยางเป็นอย่างไรบ้าง นางกลายเป็นสามัญชนไปแล้ว บุตรสาวยังได้มาหายตัวไปอีก เกรงว่าคงมีชีวิตที่ไม่ดีหรอกกระมัง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งเพิ่มความประหม่า ไม่ตรัสสิ่งใดสักคำ
ไทเฮาเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ตรัสคำใดจึงหัวเราะออกมา “ข้าไม่ควรทำให้ฮ่องเต้ลำบากใจ องค์ชายกระทำความผิดบทลงโทษเช่นเดียวกับสามัญชน หรงหยางกระทำความผิดได้รับบทลงโทษถือว่าเหมาะสม เพียงแต่นางเป็นคนที่ข้าเลี้ยงดูมา ไม่ได้เจอกันนาน ในใจจึงเกิดความคิดถึง… ”
มือของจิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มมีเหงื่อไหล
เขากตัญญูต่อไทเฮาด้วยใจจริง ไม่กล้าแม้แต่จะคิด หากว่าไทเฮารู้เรื่องการตายของหรงหยางจะตกใจเพียงไร ในช่วงอายุเช่นไทเฮานี้ หากเผชิญกับเรื่องราวที่ตกใจอาจจะล้มป่วยได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งมั่นใจที่จะปิดบังไทเฮาต่อไป “เอาเถิด ข้าอายุมากแล้ว บ่นแค่พอหอมปากหอมคอ ฮ่องเต้ไปทรงงานต่อเถิด”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ “เช่นนั้นลูกขอทูลลา ไว้วันหลังจะมาหาเสด็จแม่อีก”
ไทเฮาค่อยๆ พยักหน้าลง รอจนจิ่งหมิงฮ่องเต้จากไป นางจึงยื่นมือยกถ้วยชาเล็ก เปิดฝาถ้วยเป่าใบชาที่ลอยอยู่ในน้ำอย่างช้าๆ
เทศกาลชิงหมิงยังมาไม่ถึง ตำหนักฉือหนิงได้เปลี่ยนชาใหม่เรียบร้อยแล้ว
ชาหมิงเฉียน เป็นชาที่เก็บก่อนเทศกาลชิงหมิงมีค่าสูงดั่งทอง สิ่งใดที่นำเข้ามาในตำหนักฉือหนิงล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ไทเฮามองยอดอ่อนใบชาที่ตั้งยอดขึ้นอย่างชัดเจนโดยไร้ความรู้สึก นางออกแรงบีบถ้วยชาแน่นขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินทางกลับจากตำหนักฉือหนิงรวดเร็วอย่างกับเหาะ ราวกับว่ามีเสือร้ายกำลังตามมา จังหวะที่กำลังจะเดินถึงห้องทรงพระอักษร ก็ได้ยินเสียงร้องของแมวและสุนัข จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนของข้าหลวงตามมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลงชั่วครู่พร้อมกับขมวดคิ้ว
เดิมทีเขาก็อารมณ์ไม่ดี เพิ่งจะแยกจากมาครู่เดียว เกิดอะไรขึ้นอีกเล่า!
พานไห่พอเห็นสีหน้าอันไม่สู้ดีของจิ่งหมิงฮ่องเต้ จึงรีบเดินไปยังห้องทรงพระอักษร ปากก็ด่ากล่าวว่า “เสี่ยวเล่อจื่อ เจ้ารนหาที่ตายหรือ”
เมื่อถึงประตูทางเข้าก็เห็นบรรยากาศช้างในห้องทรงพระอักษร หัวหน้าขันทีผู้น่าเกรงขามชะงักลงทันที เหลือเพียงการตกตะลึงจนตาค้าง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผลักพานไห่ให้หลบไป ในที่สุดก็เห็นบรรยากาศในห้องได้อย่างชัดเจน เขาเพียงแมวอ้วนตัวหนึ่งกำลังดิ้นในกองหนังสือบนโต๊ะ หนังสือหล่นลงสู่พื้น ในจังหวะนี้เสี่ยวเล่อจื่อตกใจเข้าไปรับหนังสือเหล่านั้นเอาไว้ ห่างไปไม่ไกลมีสุนัขตัวใหญ่สะบัดหางอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ตรัสด้วยความโมโหว่า “นี่พวกเจ้าทำสิ่งใดกัน”
เสี่ยวเล่อจื่อตกตะลึงรีบกอดหนังสือเอาไว้แล้วคำนับจิ่งหมิงฮ่องเต้
พานไห่ถีบเสี่ยวเล่อจื่ออกไป ตะโกนด้วยความโมโหว่า “ฮ่องเต้ถามเจ้าอยู่!”
เสี่ยวเล่อจื่อพูดด้วยใบหน้าซีดเผือดว่า “เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกไปเพียงไม่นาน จี๋เสียงกับแม่ทัพเซี่ยวเทียนก็ทะเลาะกัน ข้าน้อยมิอาจห้ามได้”
“สวะ! ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ผู้มีนิสัยดีสบถออกมาหนึ่งคำ สายตาเขามองเจ้าแมวขาวและมองสุนัขตัวใหญ่ ไม่รู้ว่าจะตำหนิตัวไหนก่อนดี
จี๋เสียงไม่รอให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยปาก มันก็รีบกระโจนเข้ามาคลอเคลียเจ้าของพร้อมกับส่งเสียงร้องเหมียวๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฝืนยิ้ม ความโมโหที่มีต่อเจ้าแมวอ้วนหายไปทันควัน
นึกไม่ถึงว่าจี๋เสียงที่ไม่เคยสนใจไยดีเขากลับเรียกหาเขา!
หลังจากความตื่นเต้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเอ้อร์หนิว เขาขมวดคิ้วแล้วตรัสว่า “พาจี๋เสียงกับเอ้อร์หนิวออกไปก่อน”
หนึ่งแมวหนึ่งสุนัขถูกเชิญออกไป ห้องทรงอักษรที่โกลาหลก็สงบลง
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองเจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิง ชายชราที่เรื่องเล็กน้อยอย่างการดูแลหนวดเครายังทำได้ดียิ่ง เรื่องที่ไม่เข้าตาที่สุดก็คือเรื่องทะเลาะกันระหว่างสุนัขและแมว เมื่อเห็นว่าในที่สุดฮ่องเต้เสด็จกลับมาสักทีจึงรีบคารวะกล่าวว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ คดีการหายตัวไปของแม่นางชุยปิดคดีเรียบร้อยแล้ว หากไม่มีอะไร ข้าน้อยขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้สนใจคำพูดของเจินซื่อเฉิง เขาตรัสถามเสียงขรึม “เจินซื่อเฉิง เจ้าคิดว่าควรลงโทษเซียงอ๋องอย่างไรดี”
เจินซื่อเฉิง “…” เขาเพียงสนใจการไขคดี ไม่อยากมีส่วนร่วมในความขัดแย้งขององค์ชายทั้งหลาย
จี้หยกชิ้นนั้นที่ถูกพบในบ่อ สามารถยืนยันเอกลักษณ์ของโครงกระดูกศพและดึงดูดความสงสัยจากเขาได้
โครงกระดูกศพเหลือเพียงเสื้อชั้นในเท่านั้น เครื่องประดับอื่นถูกกำจัดไปสิ้น หากจะบอกว่าลืมถอดต่างหูก็ยังพอเป็นไปได้ แต่ลืมเก็บจี้หยกไปดูไม่ค่อยชอบมาพากลสักเท่าไร
เจินซื่อเฉิงยากที่จะคาดเดา จี้หยกชิ้นนั้นมีความเป็นไปได้ว่าคนที่เห็นศพแอบทิ้งลงไปในบ่อ เพื่อว่าสักวันความจริงของคดีนี้จะถูกเปิดเผย
เมื่อนึกถึงเอ้อร์หนิวผู้ค้นพบโครงกระดูกในวันนี้ ก็เดาไม่ยากว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใคร
จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่มีประโยชน์ต่อการไขคดี เจินซื่อเฉิงไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัว
“ข้าน้อยมิกล้ายุ่งเกี่ยวพ่ะย่ะค่ะ เซียงอ๋องเป็นถึงองค์ชาย กระทำความผิดย่อมถูกฮ่องเต้และฝ่ายข้าราชการพลเรือนตัดสิน” เจินซื่อเฉิงทูลกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขายังอยากที่จะพิจารณาคดีในตำแหน่งผู้ตรวจราชการศาลาว่าการพระนครอยู่ สิ่งที่ไม่ควรพูดก็จะไม่พูดออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นมองไปทางอวี้จิ่นและคนอื่นๆ ใครก็ตามที่สบตาต่างพากันหลบหลีกสายตา พยายามทำให้ตนไร้ตัวตนมากที่สุด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประทับอยู่ข้างโต๊ะทำงานที่ระเกะระกะ จมอยู่กับความคิดเรื่องที่หรงหยางลอบทำร้ายมารดาของสะใภ้เจ็ดในตอนนั้นถูกเปิดเผย เขาลงโทษองค์ชายที่ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นเดียวกับสามัญชน โดยการปลดหรงหยางเป็นสามัญชน และในตอนนี้เจ้าแปดทำผิดเช่นเดียวกัน ซ้ำยังทำร้ายบุตรสาวของหรงหยาง หากวันนี้ปล่อยไป วันใดไทเฮารู้เรื่องเข้า เขาจะสู้หน้าไทเฮาได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงข้อนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มีแววตาเย็นชา พร้อมกับตรัสด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “พานไห่”
พานไห่ขานรับด้วยตัวแข็งทื่อ “พ่ะย่ะค่ะ”
“จงประกาศคำบัญชาจากข้า เซียงอ๋องไร้ซึ่งศีลธรรม ประการแรกคือการกระทำในพิธีฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพ ต่อมาพบว่าลอบทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของตน มีความผิดฐานไร้ซึ่งคุณธรรม หลักฐานแน่นหนา นับแต่วันนี้ จึงถูกยึดคืนตำแหน่งจวิ้นอ๋อง เป็นเพียงประชาชนธรรมดา…”
เมื่อตรัสออกไป สีหน้าคนทั้งหลายก็เปลี่ยนสี หลู่อ๋องอ้าปากค้างยกมือขึ้นปิดปากตน
เขาฟังผิดไปหรือไม่ เจ้าแปดไม่ได้เป็นแม้แต่จวิ้นอ๋อง?
ช่างเป็นสิ่งที่ยากเกิดจะคาดคิดเอาเสียจริง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นการเคลื่อนไหวนั้น จึงมองหน้าหลู่อ๋องด้วยใบหน้าที่เย็นชา “เจ้ามีความคิดเห็นใดหรือ”
หลู่อ๋องรีบก้มศีรษะลง “เสด็จพ่อโปรดอภัย จู่ๆ เมื่อลูกได้ยินบทลงโทษน้องแปดเช่นนี้จึงตกใจ คราวหน้าลูกจะถือเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ จะไม่ทำให้เสด็จพ่อโมโหพ่ะย่ะค่ะ ”
องค์ชายอื่นๆ “…” วันนี้เจ้าห้าแสดงความสามารถได้ดีกว่าปกติ