คำพูดสั้นๆ เพียงคำเดียว แต่ดูเหมือนทำให้โลกตกตะลึงได้ ความคิดของทุกคนหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
เจินซื่อเฉิงมีหลักฐานงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้!
หัวใจของเซียงอ๋องราวกับถูกกระตุ้น เขาเอ่ยถามด้วยความเร่งรีบว่า “มีหลักฐานใด”
แม้ในใจของเขาจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลยและไม่เชื่อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก
หากว่าศพนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นร่างของชุยหมิงเย่ว์จริงๆ เขาก็คงจะลำบากมาก
เจินซื่อเฉิงชี้ไปที่พื้นแล้วกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “เสื้อชั้นในที่ผู้เสียชีวิตใส่คือหลักฐาน”
เซียงอ๋องจ้องไปยังโครงกระดูกบนพื้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้าเจิน อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระเช่นนี้ จะเสียชื่อเสียงผู้มีพรสวรรค์ในการตัดสินคดีของท่านเอาได้”
ไม่แปลกที่เซียงอ๋องจะกล่าวเช่นนี้ เนื่องจากเสื้อชั้นในที่ติดอยู่กับโครงกระดูกนี้ขาดรุ่งริ่งจนแทบมองไม่เป็นชิ้นเป็นอันเพราะถูกฝังอยู่ในดินเป็นเวลานาน หากจะนำมาบอกว่าเป็นหลักฐานก็ดูเหลือเชื่อเกินไป
ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้สึกสับสนเช่นกัน พวกเขาพากันคิดในใจว่าใต้เท้าเจินเสียสติไปแล้วหรือ เขาใช้เพียงเสื้อชั้นในที่ศพสวมใส่ ชิ้นเดียวบอกว่าเป็นหลักฐานได้
แม้แต่อวี้จิ่นเองเมื่อมองไปทางเจินซื่อเฉิง สายตาก็ดูลึกล้ำเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเหล่าเจินจะค้นพบจี้หยกนั่น คาดไม่ถึงว่าหลักฐานที่เขากล่าวถึงนั้นจะเป็นเพียงแค่เสื้อชั้นในตัวเดียว
เสื้อชั้นในของสตรีจะนำมาเป็นหลักฐานได้อย่างไร เขามองไม่ออกว่าเหล่าเจินผู้นี้จะมีความรู้ด้านนี้ด้วย
เจินซื่อเฉิงสัมผัสได้ถึงแววตาทั้งหลายที่จับจ้องมองมา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นพบกับแววตาของอวี้จิ่น เขาอดไม่ได้ที่จะโมโห
เยี่ยนอ๋องมองเขาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร
เจ้าหมอนี่ อย่าให้เขารู้เชียวนะ!
หลังจากคิดเรื่องอื่นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเจินซื่อเฉิงก็ย่อตัวลงมาใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนจับไปที่เสื้อชั้นในที่ห่อหุ้มศพอยู่นั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ทุกท่านโปรดดูนี่ แม้ว่าสีของเสื้อชั้นในที่ศพสวมใส่จะมองไม่ออกแล้วก็ตาม ทั้งยังมีบางส่วนที่เปื่อยยุ่ย ทว่าทุกคนโปรดดูที่นี่”
เขาไม่ได้สนใจว่าเสื้อชั้นในของศพจะเป็นสีใด ไม่สนใจว่าศพนี้คือศพของผู้หญิง เขาชี้ไปยังมุมซื้อเสื้อที่เผยอขึ้นเล็กน้อยแล้วอธิบายว่า “บริเวณนี้ยังพอมองออกถึงลวดลาย และการที่ข้าน้อยตัดสินใจระบุว่าศพนี่คือศพของแม่นางชุยก็เพราะลวดลายบนผ้า”
บรรดาอ๋องที่อยู่ใกล้พยายามแยกแยะ เซียงอ๋องมองไปบริเวณที่เจินซื่อเฉิงชี้โดยไม่กะพริบตาและพบว่าด้านในนั้นบริเวณขอบผ้ามีลายเส้นบางๆ
ดูเหมือนกับ…
เจินซื่อเฉิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงก้องกังวานว่า “นี่คือลวดลายจันทราและสายธาร เป็นการปักสองด้าน งานเย็บปักนี้มีความซับซ้อนและลวดลายเป็นเอกลักษณ์”
เซียงอ๋องหัวเราะแล้วโต้กลับว่า “ต่างหูเจียวจูคู่นั้นสามารถเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงตัวตนว่าศพนี้ไม่ใช่สตรีธรรมดา แต่เป็นสตรีชั้นสูง ทว่าการที่มีเสื้อในสลักปักลายจันทราและสายธารสองด้านมีสิ่งใดแปลกงั้นหรือ”
ประโยคนี้ของเซียงอ๋องดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายให้พยักหน้าเห็นด้วย
เจินซื่อเฉิงเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ามาไว้ในกระเป๋า เขาลูบเคราของตน
เมื่อทุกคนนึกถึงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่เพิ่งใช้ไปเมื่อครู่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจะมีราคาเท่าไรเชียว เมื่อครู่เพิ่งเอาไปแตะโครงกระดูกนั้น เหตุใดจึงไม่เอาทิ้งไป
เจินซื่อเฉิงหัวเราะขึ้นทั้งรอยยิ้ม องค์ชายเหล่านี้ไม่รู้จักความทุกข์ยากของชาวประชาทั่วไป ด้วยอาชีพของเขาต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าสัมผัสกับศพครั้งแล้วครั้งเล่านับไม่ถ้วน หากสัมผัสครั้งหนึ่งก็ต้องโยนทิ้งเป็นอย่างนี้ไปเสียทุกครั้ง จะไม่ให้เขามีเงินเก็บบ้างเลยหรือ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ในใจ เจินซื่อเฉิงก็ได้ยิ้มให้กับเซียงอ๋องแล้วกล่าวว่า “แม้จะมีสตรีจำนวนไม่น้อยที่สามารถซื้อเสื้อชั้นในปักลายทั้งสองด้านเช่นนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นประโยชน์ของเสื้อชั้นในก็เพื่อสวมใส่สบายเป็นอันดับแรก คนโดยมากจึงใส่เสื้อชั้นในที่เป็นสีพื้นไม่มีการปักใด การตกแต่งปักลายจันทราและสายธารทั้งสองด้านที่บริเวณขอบเสื้อจึงมีน้อยนัก”
“ถึงกระนั้น ใต้เท้าเจินตัดสินได้อย่างไรว่านี่คือแม่นางชุย ใต้เท้าเจินอย่าได้กล่าวว่าเพราะมีลายจันทราและสายธาร ซึ่งคำว่าเย่ว์แปลว่าจันทรา ไปสอดคล้องกับชื่อแม่นางชุยหมิงเย่ว์เท่านั้นใช่หรือไม่” เซียงอ๋องหัวเราะด้วยความเยือกเย็น “หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงละก็ ชื่อเสียงของใต้เท้าเจินที่ได้มาคงจะเป็นเพียงเรื่องจอมปลอม”
คำพูดของเซียงอ๋องที่ดูก้าวร้าว เมื่อเจินซื่อเฉิงได้ยินแล้วเขากลับทำท่าทางสงบนิ่ง ได้แต่ยิ้มเอามือลูบเคราแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่ได้เดา แต่ข้าน้อยเคยเห็นเสื้อในของแม่นางชุย”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา สายตาของคนรอบข้างที่มองไปยังเจินซื่อเฉิงก็ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
เจินซื่อเฉิงเคยเห็นเสื้อชั้นในของชุยหมิงเย่ว์อย่างนั้นหรือ!
มีเพียงอวี้จิ่นคนเดียวเท่านั้นที่แววตาไม่เปลี่ยนแปลงไป เขาเข้าใจได้ในทันที
ในตอนนั้นที่จูจื่ออวี้ถึงแก่ชีวิต ส่วนชุยหมิงเย่ว์ก็หายตัวไป เสด็จพ่อของเขาได้สั่งให้เหล่าเจินแอบไปสืบดู คาดว่าคงจะเคยเห็นในตอนนั้น
เป็นไปดังนั้น เจินซื่อเฉิงรีบกล่าวขึ้นว่า “เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ฮ่องเต้ได้สั่งให้ข้าน้อยทำการสืบหาเรื่องการหายตัวไปของแม่นางชุย ดังนั้นข้าน้อยจึงได้ทำการตรวจสอบสิ่งของทุกชิ้นในห้องหอ และหนึ่งในนั้นมีหีบอย่าหีบหนึ่งใส่เสื้อชั้นในไว้มากมาย เสื้อชั้นในเหล่านั้นแม้จะมีสีสันแตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกันนั่นคือที่บริเวณขอบเสื้อหรือแขนเสื้อ ล้วนสลักปักลาย และลายนั้นก็คือลายจันทราและสายธารที่ปักทั้งสองด้านเช่นนี้นี่เอง”
สีหน้าของเซียงอ๋องดูขาวซีดตามคำเล่าบรรยายของเจินซื่อเฉิง
ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำท่าทางอันซับซ้อนเมื่อสายตามองไปยังเซียงอ๋อง
เซียงอ๋องอ้าปากกว้าง เขารีบเอ่ยแย้งขึ้นว่า “มัน มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้…ใต้เท้าเจินจะรู้ได้อย่างไรว่าบนโลกนี้มีเพียงแม่นางชุยเท่านั้นที่สวมเสื้อในปักลายเช่นนี้”
เจินซื่อเฉิงส่ายหน้าและถอนหายใจออกมา “ข้าน้อยไม่อาจรับประกันได้ แต่การที่มีศพปรากฏอยู่ในบ่อน้ำร้างสวนหลังจวนของท่านอ๋อง และเสื้อชั้นในมีลักษณะเดียวกันกับเสื้อชั้นในของแม่นางชุยที่สวมใส่ แม่นางชุยเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับท่านอ๋อง และเคยสร้างความอับอายให้แก่ท่านอ๋อง…ไม่ว่าจะเป็นสถานที่อำพรางศพ หลักฐานและแรงจูงใจทั้งหมดล้วนครบถ้วน นี่เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญอย่างงั้นหรือ”
เซียงอ๋องกำหมัดแน่น ในใจของเขารู้สึกร้อนรนไม่รู้ว่าจะชี้แจงบ่ายเบี่ยงเช่นไร แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังขึ้นจากในบ่อร้างด้วยความตื่นเต้นอีกครั้งว่า “ใต้เท้าขอรับ เราพบของอีกชิ้นหนึ่ง!”
ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ก็ได้ปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำร้าง มือของเขาถือจี้หยกที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกอยู่ชิ้นหนึ่ง
“เอามาให้ข้าดูใกล้ๆ” เจินซื่อเฉิงรีบกล่าวขึ้น
แม้ว่าในตอนนี้จะสามารถปิดคดีได้แล้วก็ตาม แต่การที่มีหลักฐานเพิ่มขึ้นอีกชิ้นก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากฆาตกรที่ต้องสงสัยไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นถึงองค์ชาย!
เจินซื่อเฉิงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาผืนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเคยถูกใช้แล้วหรือไม่ ทำการเช็ดไปที่จี้หยกนั้นจนกระทั่งจี้หยกเผยโฉมหน้าอันแท้จริงของมันออกมา จู่ๆ ก็มีเสียงอุทานดังขึ้น และร่างหนึ่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามา
“นั่นเป็นของน้องสาวข้า!” ผู้ที่พุ่งกายเข้ามาเอ่ยร้องตะโกน
ทุกคนพากันหันไปมองแล้วพบว่าคนผู้นี้ก็คือชุยอี้ พี่ชายฝาแฝดของชุยหมิงเย่ว์
ที่แท้ตอนที่เจินซื่อเฉิงรู้สึกสงสัยว่าโครงกระดูกนี้จะเป็นของใคร เขาก็ได้แอบสั่งให้คนไปเชิญชุยอี้มาแล้ว
หลังจากที่น้องสาวฝาแฝดของเขาหายตัวไป บิดามารดาก็ตายจาก นักเลงแห่งเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อเช่นชุยอี้จึงเติบโตขึ้นไม่น้อย ในที่สุดเขาก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตน ระยะเวลาผ่านมาปีสองปีนี้เขามีความสำเร็จมากทีเดียว
และบัดนี้ ชุยอี้กำจี้หยกนั้นไว้ในมือด้วยอาการสั่นเทาดวงตาแดงเรื่อ
“คุณชายชุย ท่านแน่ใจหรือว่าจี้หยกนี้เป็นของน้องสาวท่าน” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอบอุ่น
สำหรับผู้ร้องทุกข์นั้น หากไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินคดี โดยมากเขาจะมีท่าทางอ่อนโยนด้วยเสมอ
ชุยอี้ใช้แรงกำจี้หยกนั้นเอาไว้แล้วกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ข้ามั่นใจ หยกนี้น้องสาวข้ามักจะสวมมันไว้ ข้าเป็นพี่ชายของนาง จะจำไม่ได้ได้อย่างไร”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าด้วยความพออกพอใจ แล้วหันไปมองทางเซียงอ๋อง “ท่านอ๋อง เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ท่านมีเรื่องใดอยากจะกล่าวอีกหรือไม่”
เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับคดีที่ไม่คลี่คลายมากเหลือเกิน ในวันนี้จัดการได้สักที
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าการที่ขุดพบจี้หยกอยู่ในหลุมบ่อน้ำร้างจะดูแปลก แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะสืบหาต่อ
เจินซื่อเฉิงคิดได้ดังนั้นก็เหลือบมองไปทางอวี้จิ่น
อวี้จิ่นเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
ส่วนเซียงอ๋องจ้องไปยังจี้หยกที่อยู่ในมือของชุยอี้ จากนั้นก็ถอยหลังกลับไปพลางกล่าวพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าถอดเครื่องประดับทุกอย่างของนางทิ้งไปแล้ว จะเหลือจี้หยกนี้ได้อย่างไร…”
ชุยอี้พุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วชกเข้าให้ที่ใบหน้าของเซียงอ๋อง เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงอันดังพร้อมดวงตาแดงเรื่อว่า “เจ้าฆ่าน้องสาวของข้า เจ้าฆ่าน้องสาวของข้า!”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น
ยอดเยี่ยมยิ่งนัก บัดนี้บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องที่ไม่กล้าเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ได้รู้แล้วว่าเจ้านายของพวกเขาทำเรื่องอะไรไว้