ก่อนที่เจินซื่อเฉิงจะเดินทางมาถึง เซียงอ๋องก็ได้ระลึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในรัชศกจิ่งหมิงปีที่ 19 ฤดูใบไม้ร่วง ชุยหมิงเย่ว์ได้ฆ่าจูจื่ออวี้ในคืนแต่งงานแล้วหลบหนีไป ก่อนจะตกอยู่ในมือของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาส่งไปติดตาม ปรากฏว่าเจ้าลูกน้องโง่เขลาได้พานางกลับมาที่จวนเซียงอ๋อง
เขาโมโหถึงที่สุด ด้วยความไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้ฆ่าปิดปากและจงใจถอดเสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้าเครื่องประดับทุกอย่างของชุยหมิงเย่ว์ทิ้งไป เหลือเพียงแค่เสื้อชั้นในแล้วโยนนางลงไปในบ่อร้าง
แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงนี้ แต่ทุกครั้งก็ไม่แน่ใจว่าในครานั้นมีสิ่งใดผิดตกบกพร่องหรือไม่ แม้ว่าเขาจะย้ำคิดย้ำทำ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็อดกระสับกระส่ายใจไม่ได้
บัดนี้ช่างดีจริง คนของเจินซื่อเฉิงไม่อาจสืบพบสิ่งใดได้
เซียงอ๋องคิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็ค่อยมีสีเลือดฝาดขึ้น
การที่พบโครงกระดูกในบ่อร้างจวนเซียงอ๋องไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ใด เพราะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนลงมือ หรือหากจะพูดอีกนัยหนึ่ง ต่อให้รู้ว่าเขาเป็นผู้ลงมือ การที่ท่านอ๋องคนหนึ่งจะพลั้งพลาดฆ่าบ่าวรับใช้จนเสียชีวิตก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต่อให้เสด็จพ่อรู้เรื่องนี้ก็คงแค่ตำหนิติเตียนและโมโหก็เท่านั้น
เซียงอ๋องเม้มริมฝีปาก แล้วอยู่ในความสงบ
“ไม่พบสิ่งใดเลยงั้นหรือ” เจินซื่อเฉิงก้าวไปด้านหน้าแล้วนั่งยองๆ สายตามองไปยังกระดูกสีขาวที่อยู่บนพื้น อีกทั้งยังใช้ผ้า เช็ดหน้าจับไปที่โครงกระดูก
การกระทำเช่นนี้ทำให้ท่านอ๋องคนอื่นๆ พากันสีหน้าซีดเผือด ระงับความรู้สึกอยากจะอาเจียนเอาไว้
หลู่อ๋องนึกถึงสภาพเมื่อครู่ที่ตกลงไปในบ่อสุดแสนบ้าคลั่ง และมองดูท่าทางของเจินซื่อเฉิงที่ตั้งอกตั้งใจ เขาก็หันไปมองทางอวี้จิ่นทันที
ใต้เท้าเจินน่ากลัวขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเจ็ดอยู่กับเขามาได้อย่างไร
จากนั้น เขาก็มองเห็นใบหน้าอันกระตือรือร้นอยากลอง
หลู่อ๋องตกตะลึง และรีบละสายตาไปทางอื่นอย่างเงียบๆ
“ใต้เท้าเจินมีอะไรคืบหน้าหรือไม่” หลังจากที่เซียงอ๋องสงบอารมณ์ได้แล้วเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน
หากว่าเจ้าคนแซ่เจินผู้นี้ไม่พบสิ่งผิดปกติใด เขาก็จะได้วางท่าเจ้าของจวนอ๋องแล้วขับไล่ทุกคนออกไปเสีย
เจินซื่อเฉิงลุกขึ้นยืนไม่ได้ให้คำตอบเซียงอ๋องโดยตรง แต่กลับเอ่ยถามขึ้นว่า “สามปีมานี้ในจวนของท่านมีสตรีนางใดหายตัวไปหรือไม่”
เขารู้ดีว่าหากเวลาเช่นนี้เขาตอบว่าไม่พบสิ่งใด ผู้ที่มีสถานะสูงส่งอย่างเช่นเซียงอ๋องก็คงจะหาเหตุผลส่งเขากลับไปในทันที
เขาทำท่าทีไม่สนใจต่อคำถามที่ยากจะตอบ และเอ่ยถามในสิ่งที่ควรจะถามเช่นนี้จึงจะถูก
เซียงอ๋องทำตามแนวคิดของเจินซื่อเฉิง “ข้าไม่แน่ใจ”
“ไม่แน่ใจงั้นหรือ” เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นลูบเคราของตนเอง
หนวดเคราของเขาในวันนี้ตอนเช้าลืมที่จะตัดแต่งมัน จึงทำให้ผูกเป็นปมอยู่แห่งหนึ่ง
“ใต้เท้าเจินน่าจะรู้ดีว่าข้ายังไม่มีชายา เรื่องต่างๆ นานาในจวนอ๋องล้วนเป็นหน้าที่ของพ่อบ้าน…”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเชิญพ่อบ้านจวนอ๋องมาที่นี่ด้วยเถิด” สีหน้าของเจินซื่อเฉิงกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
เซียงอ๋องให้ความร่วมมือยิ่งนัก เขารีบสั่งให้บ่าวรับใช้ไปตามพ่อบ้านมา
บ่าวรับใช้เพิ่งจะวิ่งตรงออกไป จากนั้นก็แทรกตัวเข้ามาท่ามกลางผู้คนอีกครั้ง ข้างกายของเขามีชายเคราแพะคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบกว่าปี นั่นก็คือพ่อบ้านแห่งจวนเซียงอ๋องนั่นเอง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อบ้านยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเพื่อดูสถานการณ์เหล่านั้นอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“ท่านอ๋อง…” พ่อบ้านหันไปทำความเคารพเซียงอ๋อง
เมื่อเผชิญหน้ากับคนในจวนของตนเอง เซียงอ๋องก็ทำท่าทางดูเย่อหยิ่งเย็นชากว่าเดิม เขาเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “คำถามของใต้เท้าเจิน เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่”
“ได้ยินแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าจงตอบคำถามของใต้เท้าเจินให้ดี” เซียงอ๋องเอ่ยเตือนอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
เจินซื่อเฉิงมองไปทางพ่อบ้านจากนั้นก็เอ่ยถามคำถามก่อนหน้าขึ้นอีกครั้ง
พ่อบ้านลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “คนในจวนอ๋องมีมากมาย หากจะเอ่ยถามว่าสามปีมานี่มีบ่าวคนใดหายตัวไปหรือไม่ ก็คงไม่อาจบอกได้ ข้าน้อยต้องไปทำการตรวจสอบรายชื่อก่อน”
เจินซื่อเฉิงลูบเคราของเขาแล้วเอ่ยเตือนว่า “ไม่จำกัดเพียงแค่บ่าวรับใช้”
“เอ่อ…” พ่อบ้านอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเซียงอ๋อง
เซียงอ๋องถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ใต้เท้าเจิน ข้ามีนางในรับใช้ข้างกายเพียงแค่สี่คน นอกจากนั้นสตรีในจวนอ๋องล้วนเป็นแค่บ่าวรับใช้ธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าในจวนอ๋องไม่มีสตรีคนใดที่มีตัวตนสูงศักดิ์เลยงั้นหรือ”
เซียงอ๋องพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อบ้านได้โปรดหาชื่อของสตรีที่หายตัวไปเท่านั้นพอ”
พ่อบ้านพยักหน้า จากนั้นรีบตรงออกไปตรวจสอบบัญชีรายชื่อ
เวลาชั่วครู่ชั่วคราวคงไม่อาจรู้คำตอบได้ เจินซื่อเฉิงจึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ของตนลงไปในบ่อเพื่อสืบหาเบาะแสเพิ่มเติม ส่วนสายตาของเขาจับจ้องไปที่ทางเอ้อร์หนิว
“ได้ยินมาว่าการที่หลู่อ๋องมาถึงตรงนี้ได้เป็นผลงานความดีของแม่ทัพเซี่ยวเทียนงั้นหรือ”
หลู่อ๋องได้ยินดังนั้นก็กลอกตามอง
การที่เขาตกลงไปในบ่อนั้น จะต้องเอ่ยขอบคุณเอ้อร์หนิวด้วยงั้นหรือ!
อวี้จิ่นตอบแทนในนามของเอ้อร์หนิวว่า “ถูกต้องแล้ว”
เจินซื่อเฉิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเอ้อร์หนิว ยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวด้วยความเกรงอกเกรงใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องขอให้แม่ทัพเซี่ยวเทียนช่วยสืบหาอีกสักหน่อย”
การที่เขาทำท่าทีเคร่งขรึมเช่นนี้ ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
ใต้เท้าเจินคิดว่าเอ้อร์หนิวมีพลังเหนือธรรมชาติจริงอย่างนั้นหรือ
เจินซื่อเฉิงมองไปทางคนรอบข้างที่ทำท่าทางงุนงง
สำหรับความคิดส่วนตัวของเขานั้นการใช้สุนัขมาเพื่อสืบคดีได้เปรียบกว่ามนุษย์ หากมีเอ้อร์หนิวมาช่วยล่ะก็เป็นไปได้ที่จะทำให้คดีอันมีเงื่อนงำคลี่คลายอย่างง่ายดาย
บัดนี้เขาเริ่มรู้สึกสงสัยต่อตัวตนของฆาตกร แต่การตัดสินคดีนั้นจะต้องมีหลักฐาน
“เอ้อร์หนิวจงลองไปหาดู” อวี้จิ่นชี้ไปโครงกระดูกนั้น
เอ้อร์หนิวลุกขึ้นแล้วส่ายขนของมัน ก่อนจะตรงเข้าไปก้มหน้าดมโครงกระดูกสีขาวที่อยู่บนพื้นแล้วสูดอากาศรอบๆ
สายตาของเซียงอ๋องไม่อาจละจากเจ้าสุนัขตัวโตนั้นได้เลย เขาโมโหเสียอยากจะจับเอ้อร์หนิวมาแล่เนื้อและกินเอ็นของมัน
ถ้าไม่มีไอ้เจ้าสุนัขตัวนี้ เรื่องราวในวันนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในไม่ช้าก็เร็วสักวันเขาจะต้องจัดการกับไอ้สุนัขบ้านี่ให้ได้
ในขณะที่เซียงอ๋องกำลังรู้สึกโกรธแค้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโกลาหลขึ้นไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด “ดูนี่ เอ้อร์หนิวพบอะไรเข้าแล้ว!”
สายตาของทุกคนพากันจับจ้องไปที่เจ้าสุนัขตัวโต และพบว่าเอ้อร์หนิวคาบของบางอย่างขึ้นมาจากบ่อตรงมาวางไว้ที่ด้านหน้าเจินซื่อเฉิง เมื่อมันอ้าปากของสิ่งนั้นก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น
ท่ามกลางแสงแดด เมื่อของสิ่งนั้นตกลงบนพื้นก็ส่องแสงแวววาววับ ทำให้มองไม่ชัดว่ามันเป็นอะไรกันแน่
เจินซื่อเฉิงโน้มกายลงไปใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา ทุกคนจึงได้รู้ว่ามันคือต่างหูมุกข้างหนึ่ง
เซียงอ๋องจ้องไปยังต่างหูที่มีขนาดเท่าเม็ดข้าว ชั่ววินาทีนั้นเขาก็ดูสับสน
เขาจำได้ว่าเมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาได้ถอดต่างหูของชุยหมิงเย่ว์ออกแล้วนี่? เขาจำผิดไปงั้นหรือ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ดังนี้เขาจึงดูไม่ค่อยแน่ใจนัก
เหงื่อเย็นไหลออกมาจากมือ มันเหนียวจนน่ารำคาญใจ
เซียงอ๋องสูดลมหายใจเข้าบรรเทาความตื่นตระหนก
อย่าได้ตกใจไป ก็เพียงแค่ต่างหูเท่านั้นเอง ไม่ได้สลักชื่อลงไปบนนั้นสักหน่อย ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเป็นต่างหูของชุยหมิงเย่ว์
เจินซื่อเฉิงจ้องมองไปที่ต่างหูนั้นอยู่เนิ่นนาน เขาไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเลยเป็นเวลาสักพัก
ทันใดนั้นหัวหน้าพ่อบ้านก็ได้รีบตรงเข้ามาอย่างว่องไว ทำความคารวะแล้วรายงานว่า “ข้าน้อยตรวจสอบพบแล้วขอรับ สามปีมานี้จวนอ๋องมีบ่าวรับใช้นางหนึ่งที่หายตัวไป เป็นหญิงสาวนามว่าอาไฉ่ทำงานอยู่ในห้องตัดเย็บ เป็นคนเย็บผ้า…”
“อ้อ แล้วสาวเย็บผ้าผู้นั้นมีครอบครัวหรือไม่”
“ใต้เท้าขอรับ บิดามารดาของอาไฉ่ก็ทำงานอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ด้วย”
ไม่นานต่อมา ชายและหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเจินซื่อเฉิง
ดวงตาของชายผู้นั้นแดงเรื่อ ส่วนสตรีที่อยู่ข้างกายของเขาตัวสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นโครงกระดูกที่อยู่บนพื้นก็ได้พุ่งเข้าไปทันทีแล้วตะโกนออกมาอย่างปวดหัวใจว่า “อาไฉ่ ลูกข้าเหตุใดเจ้าจึงตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก”
ความโกลาหลนี้ ทำให้เจินซื่อเฉิงไม่อาจทำสิ่งใดได้ รอจนกระทั่งนางร่ำให้เสียงเบาลงเขาจึงได้เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ท่านป้า รู้ได้อย่างไรว่าโครงกระดูกนี้คือบุตรสาวของเจ้า”
หญิงผู้นั้นหยุดร้องไห้เอามือขึ้นปิดปากแล้วกล่าวว่า “หายตัวไปสองปี เป็นหญิงสาว หากไม่ใช่อาไฉ่แล้วจะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า”