เมื่ออวี้จิ่นพบว่าน้ำเซียงอ๋องผู้อาวุโสจั่งสื่อดูไม่รีบร้อน อ่อนโยนกว่าเดิมไม่น้อย ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเคยชินเท่าไรนัก ดูเหมือนชายชราผู้นี้กินอะไรผิดไป
“จั่งสื่อยังมีเรื่องใดงั้นหรือ” เมื่อพบว่าจั่งสื่อรายงานเสร็จสิ้นแล้วยังไม่ได้เดินทางจากไป อวี้จิ่นจึงได้เอ่ยถาม
จั่งสื่อชราผู้นั้นมองไปทางท่านอ๋องของตนด้วยสายตาอันชื่นชม “ไม่มีเรื่องอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”
เมื่อเห็นท่านอ๋องของคนอื่น เขาก็รู้สึกว่าหากท่านอ๋องของตนรักษาการกระทำของตนไปได้เช่นนี้เรื่อยๆ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คงมีหวัง
อวี้จิ่นส่ายหน้า เมื่อกลับไปยังอวี้เหอย่วน เขาก็ได้เอ่ยเรื่องความผิดปกตินี้ต่อเจียงซื่อ ทำให้เจียงซื่อหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“เรื่องที่เซียงอ๋องเปลือยกายวิ่งพล่านเช่นนั้น คงทำให้จั่งสื่อรู้สึกโชคดีเหลือเกิน อย่างน้อยเจ้าก็คงไม่ทำเรื่องราวเช่นนั้นออกมา”
อวี้จิ่นคำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “ตาเฒ่านั่นคาดหวังกับข้าต่ำเพียงนี้เชียวหรือ”
ไหนว่าจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดไปพร้อมกับเขาเล่า เหตุใดจึงประเมินเขาต่ำเพียงนี้
เมื่อคิดได้ดังนี้ อวี้จิ่นก็รู้สึกว่าภรรยาของตนดีกับตนที่สุดแล้ว
“เรื่องที่เซียงอ๋องพบกับอุปสรรคในครั้งนี้ คาดว่าในภายภาคหน้าคงจะไม่อาจทำเรื่องใดได้อีก” เจียงซื่อครุ่นคิดถึงท่าทางอันอัปลักษณ์ของเซียงอ๋องในงานเลี้ยง แววตาก็ดูเย็นชาลง
อวี้จิ่นกำหมัดแล้วลูบไล้ไปมา ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย “เรื่องเพียงเท่านี้ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน ในเมื่อเขากล้าดีที่คิดจัดการพวกเรา ก็ควรที่จะทำใจเตรียมถูกโจมตีกลับเช่นกัน”
การถูกลดตำแหน่งเป็นจวิ้นอ๋องคงไม่ได้ทำให้รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด หากไม่ให้เจ้าแปดรู้ซึ้งถึงคำว่าเจ็บปวดบ้าง เขาคงจะคิดว่าจะเทียบกันได้ง่ายๆ หรือ
ก่อนหน้านี้ แม่นางหมิงเย่ว์รอคอยเขาอยู่ในบ่อร้างอย่างน่าเวทนา ถึงเวลาแล้วที่จะได้พบกับสามีของตน
อวี้จิ่นกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้อยู่ในใจ บัดนี้หัวใจของเขาช่างเยือกเย็น ดูไม่มีทางปล่อยเซียงอ๋องไปง่ายๆ
“พรุ่งนี้พวกเขาน่าจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนเจ้าแปด ข้าจะเอาเอ้อร์หนิวไปด้วย”
เจียงซื่อก็ได้ยิ้มขึ้นเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไปที่จวนเซียงอ๋อง ไม่แน่ พวกเขาจะเกรงกลัวเสด็จพ่อจะไม่พอพระทัย แต่ละคนต่างพากันหลบหลีกก็เป็นได้”
อวี้จิ่นส่ายหน้า “คงไม่เป็นเช่นนั้น เซียงอ๋องทำเรื่องอับอายขายหน้าในงานวันคล้ายวันเกิดของไทเฮา ซึ่งทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัยยิ่งนัก สำหรับขุนนางคาดว่าคงจะพากันหลบหนีไปให้ห่าง แต่บรรดาพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน เมื่อพี่น้องประสบความทุกข์ ผู้ที่รักในชื่อเสียงองค์ชายเช่นพี่สี่คงจะเดินทางไปแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างแน่นอน ส่วนพี่ห้าก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะหาผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตนได้ ดังนั้นเขาจะไม่พลาดเรื่องราวเช่นนี้แน่ ในเมื่อพี่สี่และพี่ห้าล้วนเดินทางไป หากฉินอ๋องกับพี่หกไม่เดินทางไปด้วยกันล่ะก็คงจะถูกกล่าวหาว่าไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจต่อพี่น้องมิใช่หรือ”
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
แม้ว่าเซียงอ๋องจะทำเรื่องอับอายขายหน้าเช่นนั้นออกมา แต่เหตุการณ์แตกต่างกับตอนที่เกิดขึ้นกับจวิ้นอ๋อง ทั้งยังเรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลด ซึ่งผู้คนต่างพากันหลบหลีกหนีให้ไกล แต่หากบรรดาพี่น้องไม่ไปเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเซียงอ๋อง คาดว่าในสายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้คงจะเกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก
การที่บุตรชายทำเรื่องขายหน้า ในฐานะบิดาสามารถแสดงท่าทีรังเกียจเขาได้ หากว่าบุตรชายคนอื่นๆ แสดงท่าทีเยือกเย็นต่อคนผู้นั้นด้วยล่ะก็คงไม่ดี
บัดนี้ความรู้สึกในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากหลู่อ๋องแล้ว องค์ชายคนอื่นๆ ล้วนมีความคิดเช่นเดียวกัน
“จวนหลู่อ๋องกับจวนของเราอยู่ตรงข้ามกัน วันพรุ่งนี้เมื่อเขาออกเดินทาง ข้าก็จะตามไปด้วย”
วันต่อมาหลังรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว อวี้จิ่นและคนอื่นๆ ก็ได้ตั้งตารอเขาจากผู้สอดแนมที่ส่งออกไป ทันใดนั้นประตูจวนเยี่ยนอ๋องก็ถูกเคาะขึ้น
หลู่อ๋องเดินทางมาที่จวนเยี่ยนอ๋องจริงๆ
“พี่ห้าจะมานัดหมายข้าให้ไปเยี่ยมเยียนน้องแปดพร้อมกันหรือ” อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะค่อนข้างซับซ้อน
พี่ห้าช่างเอาใจใส่ดีเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกเคอะเขิน
หลู่อ๋องพยายามระงับความรู้สึกในใจเอาไว้แล้วกล่าวโน้มน้าวกล่าวว่า “ข้าเห็นพี่สี่เดินทางไปแล้ว พี่ใหญ่ก็ดูเหมือนจะเดินทางไปด้วยเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้ว่เจ้าหกจะต้องเดินทางไปแน่…”
อวี้จิ่นเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา “ไปกันทุกคนงั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ น้องเจ็ดเจ้าลองคิดดู หากพวกเราทุกคนล้วนเดินทางไปเยี่ยมเจ้าแปด มีเพียงเจ้าที่ไม่ไป เมื่อถึงเวลาเรื่องนี้ไปถึงหูเสด็จพ่อเข้าล่ะก็ จะทรงคิดเห็นเช่นไร”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วเข้าหากัน ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของหลู่อ๋อง
หลู่อ๋องยกมือขึ้นตบบ่าอวี้จิ่นเบาๆ “เสด็จพ่อคงจะคิดว่าน้องเจ็ดไม่มีความรักใคร่ต่อพี่น้อง ดังนั้นพี่จึงได้เดินทางมาเรียกเจ้าไปด้วยกัน”
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว การที่เจ้าแปดทำเรื่องอับอายขายหน้าเช่นนั้นออกมาก็ทำให้เขารู้สึกสะใจเสียจนนอนไม่หลับ ได้แต่รอจนกระทั่งฟ้าสาง แต่การที่เขาจะเดินทางไปเพียงคนเดียว หากอดไม่ได้แล้วไปทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้าแปดขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า
เจ้าสี่ช่างเสแสร้ง ส่วนเจ้าหกก็แสนเจ้าเล่ห์ พี่ใหญ่เป็นคนดี เมื่อถึงเวลานั้นมีเพียงเขาคนเดียวที่สร้างเรื่องขึ้นก็คงจะย่ำแย่เป็นที่สุด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะตามตำแหน่งของเจ้าแปดจนมีสถานะเท่าเทียมกัน หากถูกกดดันลงไปอีกก็คงจะคับข้องใจตายแน่
หลู่อ๋องครุ่นคิดไปมาแล้วรู้สึกว่าควรจะนำผู้ที่มักสร้างเรื่องไปกับตนคงจะดี ซึ่งคนผู้นั้นก็คงเป็นเจ้าเจ็ดโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาอันอบอุ่นเป็นกันเองของหลู่อ๋อง อวี้จิ่นจึงได้ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องขอบคุณพี่ห้าเป็นอย่างยิ่งที่มาเตือน”
หลู่อ๋องเผยอยิ้มขึ้น “ระหว่างพี่น้องสองเรา มีสิ่งใดต้องเกรงใจกัน เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ควรกระทำ”
อวี้จิ่นไม่ได้ขยับเขยื้อน เขาทำสีหน้าดูลำบากใจ “เดิมทีข้านั้นมิได้ตั้งใจไป ด้วยเกรงว่าน้องแปดจะหาว่าข้าเดินทางไปหัวเราะเยาะเขา”
หลู่อ๋องกระแอมออกมา
ก่อนหน้าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าเจ็ดจะซื่อตรงเพียงนี้ พูดจามีหลักมีการออกมาได้
อาจเพราะกังวลว่าอวี้จิ่นจะเปลี่ยนแปลงความคิด หลู่อ๋องจึงได้พยายามคิดหาทางเกลี้ยกล่อม
อวี้จิ่นไม่ได้พยักหน้าเห็นด้วย และไม่ได้ปฏิเสธ เขาหรี่ตาลงเพื่อฟัง จนกระทั่งหลู่อ๋องพูดเสียจนคอแหบแห้ง เขาจึงได้เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเดินทางไปเยี่ยมน้องแปดกันเป็นไร”
หลู่อ๋องเหมือนยกหินออกจากบ่า “ไปกันเถิด!”
สองพี่น้องเดินเคียงข้างกันออกไปด้านนอก เมื่อเดินมาถึงลานบ้าน ก็พบกับร่างสีเหลืองพร้อมเงาเดินออกมา
หลู่อ๋องตกใจเสียจนสะดุ้ง สายตามองไปแล้วเอ่ยถามว่า “เอ้อร์หนิว?”
หากไม่ใช่เอ้อร์หนิวแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า
การสะสมไขมันในฤดูหนาวของมัน ทำให้เอ้อร์หนิวดูตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มองผิวเผินคล้ายวัวตัวใหญ่ ไม่ตกใจที่หลู่อ๋องจะจำมันไม่ได้
“พี่ห้าไม่ต้องไปสนใจมันหรอก พวกเราไปกันเถิด”
หลู่อ๋องพยักหน้าแล้วเดินผ่านเอ้อร์หนิวไป
เอ้อร์หนิวเดินกลับมาขวางทั้งสองเอาไว้อีก
“น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวต้องการทำอะไรกันแน่” ด้วยขนาดของเจ้าสุนัขตัวนี้ ทำให้หลู่อ๋องไม่อาจวางใจได้
อวี้จิ่นยกมือขึ้นลูบคางแล้วเดาว่า “อาจเพราะมันคุ้นเคยกับพี่ จึงไม่อยากให้พี่จากไปกระมัง”
หลู่อ๋องสะดุ้งโหยง เขาพูดจาตะกุกตะกักขึ้นทันที “ไม่ ไม่น่าใช่”
เขากับสุนัขของเจ้าเจ็ดตัวนี้หาได้คุ้นเคยกัน
จากที่หลู่อ๋องมองดูแล้ว คาดว่าสุนัขที่สามารถมีตำแหน่งถึงขุนนางขั้นเอกระดับสี่ได้ คงฉลาดเกินธรรมชาติอย่างแน่นอน จะให้องค์ชายที่ไม่ได้เรื่องเช่นเขาทำเช่นไร
“เอ้อร์หนิว อย่าเสียมารยาท” อวี้จิ่นทำท่าทีตำหนิมัน
เอ้อร์หนิวก็ว่านอนสอนง่าย มันหลบไปหยุดอยู่ด้านข้างเงียบๆ
หลู่อ๋องจึงถอนหายใจออกมาแล้วเดินตรงไปข้างหน้า แต่กลับพบว่าขาของเขาหนักอึ้ง จึงเหลียวหลังมอง พบว่าขากางเกงถูกเจ้าสุนัขตัวโตงับเอาไว้
หลู่อ๋องตัวเกร็ง “น้องเจ็ด…”
อวี้จิ่นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนเอ้อร์หนิวจะไม่อยากให้พี่ไปจริงๆ ”
“แล้ว แล้วจะทำเช่นไรดี” หลู่อ๋องหน้าเปลี่ยนสี
เอ้อร์หนิวตัวใหญ่ขนาดนี้ เขาจะกล้าสู้ได้อย่างไร หากถูกเจ้าสุนัขตัวโตนี่กัดกางเกงขาดเข้าจะทำเช่นไร
เจ้าแปดเคยวิ่งเปลือยกายในงานเลี้ยงมาแล้ว เมื่อนึกถึงท่าทางอันน่าเกลียดนั้น หลู่อ๋องก็เหงื่อตก
อวี้จิ่นยิ้มแห้งๆ “เจ้าสุนัขนี่ มันฟังแต่ชายาข้า ไม่ฟังข้าเท่าไหร่แล้ว พี่ห้า รออยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าจะไปสั่งสอนมันเอง”
“โฮ่ง!” ดูเหมือนเจ้าสุนัขตัวโตจะเข้าใจถึงการขู่ของเจ้านายมัน จึงได้เห่าออกมา
หลู่อ๋องรีบกล่าวว่า “อย่า!”
เจ้าเจ็ดนี่ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปฝืนเลย
“พี่ห้า?”
หลู่อ๋องดูเหมือนจะกระจ่างแจ้งขึ้นทันใด เขาเอ่ยออกมาว่า “สู้เราพาเอ้อร์หนิวไปด้วยดีหรือไม่”
เพียงแค่สามารถเอากางเกงเขาให้รอดพ้นกับวิกฤตนี้ ให้ทำอย่างไรก็ย่อมได้
“โฮ่ง!” เซียงอ๋องเอ้อร์หนิวตะโกนขึ้นด้วยความเป็นมิตรแล้วอ้าปากปล่อย