SD:บทที่ 35 : เหตุฉุกเฉิน
แม้แต่ เซี่ย หรงหรง เองก็คงไม่รู้ว่ารอยยิ้มของเธอมีอานุภาพเพียงใดต่อผู้คนรอบตัวเธอ
นี่ฉันเห็นนั่นจริง ๆ ใช่มั้ย เซี่ย หรงหรง ประธานของบริษัท เซี่ยกรุ๊ป ผู้เย็นชา กลับยิ้มให้กับคนขับรถแท็กซี่ธรรมดา ๆ นอกจากนี้ แม้แต่ไอ้งั่งนี่ก็ยังเห็นประกายของความสุขในนัยน์ตาของเธอ ทั้งสองคนนี้ ชัดเจนแล้วว่ารู้จักกัน แถมดูเหมือนว่าจะ…สนิทกันมากด้วย!
หลี่ จงไห่ รู้สึกราวกับว่าเขาถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าหน้าอย่างจัง เหงื่อเย็นเฉียบไหลบนหน้าขณะที่เขายังจ้องมอง ซู ฉิวไป่ อีกด้านหนึ่ง ชาง เหวินหู่ ไม่อาจบรรยายได้ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ มันเหมือนกับว่าเขาทานอาหารแล้วมันติดคอ จะกลืนเข้าไปก็ไม่ได้ จะคายออกมาก็ไม่ได้อีก สำหรับ หลิว โม่ ตอนนี้สมองของเธอว่างเปล่าไปแล้ว
เซี่ย หรงหรง รู้จักกับ ซู ฉิวไป่ ได้อย่างไรกัน
เธอไม่สามารถหาคำอธิบายได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขามาเจอกันได้
หญิงสาวเคยคิดว่าตนเองรู้จัก ซู ฉิวไป่ ดี ครอบครัวเขาอาศัยในแถบชนบท น้องสาวของเขาเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองตงไห่ เขาไม่ได้มีญาติเศรษฐีที่ไหน และไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเลย เขาเป็นเพียงคนขับรถแท็กซี่ธรรมดา ๆ โดยแท้จริง
เมื่อไม่มีคำตอบ หลิว โม่ ก็ตื่นตระหนก ทันใดนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเธอไม่อาจทำความเข้าใจคนขับรถแท็กซี่ที่อยู่ตรงหน้าเธอเลย
ส่วน ซู ฉิวไป่ ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย เขาเพียงแค่โล่งอกที่เห็น เซี่ย หรงหรง เดินทอดน่องมาหาเขา
“ผมตามหาคุณมาตั้งแต่ชั้นหนึ่ง จนก็มาชั้นนี้เนี่ย”
“แล้วทำไมไม่โทรมาล่ะคะ” เธอตระหนักได้ว่าตอนนี้มีคนรายล้อมรอบพวกเขามากเกินไป เซี่ย หรงหรง จึงหุบยิ้มลง แต่เธอคงไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของเธอยังคงนุ่มนวล
“ผมไม่อยากรบกวนคุณน่ะ” ซู ฉิวไป่ ตอบด้วยยิ้มกว้าง
แม้ เซี่ย หรงหรง จะซาบซึ้งใจกับการกระทำของชายตรงหน้า เธอกลับไม่แสดงมันออกมา ในตอนที่เธอกำลังจะดำเนินบทสนทนาต่อไป เธอจึงเห็นใบหน้าซีดเผือกของ หลิว โม่ และ ชาง เหวินหู่ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสีหน้าของ หลี่ จงไห่ แปลกประหลาดเพียงใด และเหลือบมองไปยังเสื้อกั๊กของ ซู ฉิวไป่ หญิงสาวพอประเมินได้ทันทีว่าเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นไร
“นี่มัน…” เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายคนขับรถ แล้วถามเขาอย่างนุ่มนวล
ซู ฉิวไป่ หัวเราะร่า เขากำลังจะตอบคำถามอยู่แล้ว แต่ หลี่ จงไห่ กลับพูดขัดขึ้น
“ประธานเซี่ย เขาใช่เพื่อนของท่านใช่มั้ยครับ มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น เราเพียงแค่กำลังคุยกันเท่านั้นครับ”
เหงื่อกาฬไหลบนหน้าของเขา ผู้กำกับกล่าวเช่นนั้นแล้วหันมามองเขาด้วยสายตาที่น่าสมเพชไม่น้อยเลย
จะบ้ารึไง มาร้องขอความเมตตาตอนนี้เนี่ยนะ ทีก่อนหน้านี้กลับเอาแต่บางว่าฉันทำแกเสื่อมเสียภาพลักษณ์ไม่ใช่เรอะ ไอ้การปรับทัศนคติกะทันหันมันหมายความว่าไงกันวะ
ชายหนุ่มยิ้มด้วยความสะใจ ภายในหัวเขากำลังร่างแผนในการแก้แค้นชายตรงหน้า
“ไอ้หมอนี่สั่งให้ผมออกไปจากที่นี่!”
หลี่ จงไห่ แสดงอาการออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด เขาได้แต่ด่าชายคนขับแท็กซี่ในใจที่มันหยิ่งผยองพอจะคิดอาศัยความสัมพันธ์เล็กน้อยที่มีกับท่านประธานเพื่อจะใช้แก้แค้นเขา
ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม หลี่ จงไห่ ก็ไม่คิดว่า เซี่ย หรงหรง จะทำมันให้เป็นเรื่องใหญ่โต แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนกันจริงก็เถอะ แต่เธอก็คงไม่ไล่ฉันออกเพราะเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้
ด้วยความคิดเช่นนั้น หลี่ จงไห่ จึงตั้งใจที่จะเอ่ยขอโทษ แต่สายตาที่จ้องเขม็งมาที่เขา ทำให้เขาสัมผัสได้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติไป
ผู้หญิงคนนี้โกรธเขาอยู่! เขาทำงานมาในบริษัท เซี่ยกรุ๊ป นานหลายปี เขาจึงพอจะเข้าใจ เซี่ย หรงหรง มากทีเดียว และตอนนี้ เขากระวนกระวายมากเหลือ!
นี่พวกเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่
พอดีกับที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวเขา เซี่ย หรงหรง เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบคม “ได้โปรดช่วยยื่นจดหมายลาออกที่ห้องทำงานของฉันภายหลังจากนี้ด้วยค่ะ”
เมื่อเธอเอ่ยประโยคหลุดจากปากของหญิงสาว ฝูงชนกลับเงียบลงโดยฉับพลัน
นี่หล่อนทำอะไรอยู่ หลี่ จงไห่ ที่เพิ่งจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นรองประธานฯ ต้องถูกไล่ออกแค่เพราะคนขับรถแท็กซี่คนนึงเหรอ
แน่ละ หลี่ จงไห่ ชะงักงัน
“ประธานเซี่ยครับ นี่มัน…ไม่มากเกินไปเหรอ ถึงเขาจะรู้จักท่านจริง แต่แค่ให้ผมเอ่ยขอโทษไม่ได้เหรอครับ”
ชายผู้เป็นถึงผู้กำกับกลับต้องมาเถียงแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ แบบนี้ เขาพยายามยิ้มกว้าง แต่ทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ต่างจากเส้นตรงเท่าไหร่
“นี่คิดจริง ๆ เหรอว่าเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง หากยังไม่พอใจล่ะก็ สามารถส่งจดหมายร้องเรียนไปยังบอร์ดบริหารได้ แล้วพวกเขาจะให้คำคอบที่คุณเถียงไม่ได้แน่ ๆ”
เมื่อท่านประธานเอ่ยเช่นนั้นอย่างใจเย็น เซี่ย หรงหรง ก็หันหน้าหนีไปจาก หลี่ จงไห่
“ไปกันเถอะค่ะ พวกเขากำลังรอเราอยู่ชั้นบน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ คำพูดของเธอกลับมาอ่อนโยนเช่นเคยอีกครา
ส่วน ซู ฉิวไป่ แล้ว เขาดันอับอายเล็กน้อยที่ทำให้ หลี่ จงไห่ ต้องออกจากงาน เขาไม่ได้ปรารถนาให้ชายผู้กำกับถูกไล่ออกเลย เดิมที เขาแค่อยากให้ชายจิตใจคับแคบเช่นนั้นำรับบทเรียนก็เท่านั้น เขาไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้ แต่เนื่องจาก เซี่ย หรงหรง จัดการกับผู้กำกับไปแล้ว มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เขาจึงแค่เดินตามเธอออกจากสถานที่จัดงานด้วยรอยยิ้ม
ชาง เหวินหู่ ถอนหายใจด้วยยความโล่งอกหลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ส่วน หลิว โม่ ยังคงจ้องมองไปยังที่ ๆ ซู ฉิวไป่ หายเข้าไป
เมื่อชายหนุ่มเดินจากไป เขาไม่แม้แต่จะเหลียวหันมาดูเธอด้วยซ้ำ เขาไม่แคร์ฉันแล้วจริง ๆ สินะ
หลิว โม่ พลันรู้สึกราวกันถูกคลื่นน้ำสูงของความเสียใจถาโถมเข้าใส่ เช่นเดียวกับที่เธอตระหนักได้ว่าเธอคงเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอไปแล้ว แต่มันสายเกินไปที่จะมามัวตรอมตรม…
หลี่ จงไห่ กับเศร้าสลดยิ่งกว่า เขาเฝ้าไต่เต้าทำงานในบริษัทนี้มาหลายปี สุดท้ายมาถูกไล่ออกเพราะคนขับแท็กซี่เฮงซวยคนหนึ่ง
เขาไม่อยากจะเชื่อเลย!
เพราะงั้น เขาจึงโทรหารองประธานหลังจากที่ออกจากหอประชุม เขาอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านรองฯฟังอย่างละเอียด รองประธานยังคงเงียบ แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ท่านก็ยอมอธิบาย
“คุณหลี่ คุณต้องคิดทบทวนประเด็นเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนนะ เหตุใดประธานเซี่ยถึงได้ทำตัวโหดร้ายในครั้งนี้ เพราะคราวนี้…ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ และไม่มีใครช่วยได้ด้วย ผมได้ยินข่าวมาว่าผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่ช่วยเหลือ เซี่ยกรุ๊ป ไม่ให้ล่มจม เป็นคนขับรถแท็กซี่นะ…”
คู่สนทนาวางสายทันทีหลังจากเอ่ยประโยคนั้น หลี่ จงไห่ ชะงักงันไม่อาจขยับตัว เขาตัวแข็งตั้งแต่ยอดของหัวจรดฝ่าเท้า
ผู้ถือหุ้นรายใหม่…มาเข้าประชุมในวันนี้! และจากท่าทางของ เซี่ย หรงหรง ตะกี้นี้…ทำไมฉันถึงไม่สังเกตนะ!
ชาง เหวินหู่ และ หลิว โม่ เองก็ออกจากหอประชุมในตอนนั้นเอง หลี่ จงไห่ จึงเดินอาด ๆ เข้าไปหาพวกเขา
“ไอ้ ชาง เหวินหู่ ฉันจะฆ่าแก ไอ้คนขับแท็กซี่บ้านั่นเป็นถึงผู้ถือหุ้นของ เซี่ยกรุ๊ป แกหักหลังฉันเหรอ!”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้น หลี่ จงไห่ คว้าหมับเข้าที่คอของ ขาง เหวินหู่ สุดแรงกล้า และชายทั้งสองก็เข้าต่อสู้กันอย่างกะทันหัน
หลิว โม่ ได้แต่มองพวกนั้นจากห่าง ๆ เธอนิ่งไปตั้งแต่ได้ยินคำพูดของชายผู้เคยเป็นถึงผู้กำกับแล้ว
จะเป็นไปได้ยังไง! ซู ฉิวไป่ เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท เซี่ยกรุ๊ปเหรอ! คนที่กอบกู้บริษัทนี้อ่ะน่ะ?!
หญิงสาวไม่ใส่ใจการสู้กันอย่างไร้สาระของคนตรงหน้า เธอรู้สึกว่าเธอกำลังหลงทาง โดยเฉพาะเมื่อตนหวนระลึกถึงสายตาอันสงบเยือกเย็นของ ซู ฉิวไป่ ยามที่เขามองเธออีกครั้ง
ผู้ชายคนนั้น…ควรจะเป็นของฉันแท้ ๆ
……
ซู ฉิวไป่ และ เซี่ย หรงหรง อยู่ด้วยกันตามลำพังในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปที่ห้องประชุม
“คุณจะโดนอะไรมั้ย ที่คุณไล่เขาออกนะ”
แม้จะรู้ว่า เซี่ย หรงหรง แค่พยายามทวงความยุติธรรมให้เขาเท่านั้น แต่ ซู ฉิวไป่ ยังคงห่วงว่าการช่วยเหลือเขาจะกลายเป็นปัญหาสำหรับเธอที่หลัง
เธอหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “คุณทำประโยชน์ให้ เซี่ยกรุ๊ป เป็นอย่างมาก แต่เขากลับดูถูกคุณเช่นนั้น ตามกฎแล้ว เขาสมควรถูกไล่ออกค่ะ…อีกอย่าง หลี่ จงไห่ ก็ยังติดต่อกับกลุ่ม หลี่กรุ๊ป และทำตัวเป็นนกสองหัว ฉันกังวลมาตลอดว่าคงจะไม่มีทางจะกำจัดเขาได้แน่ ๆ แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีค่ะ”
หลังจากที่เธออธิบาย เซี่ย หรงหรง แอบชายตามองมาที่ ซู ฉิวไป่
มีอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอจะเก็บไว้ในใจตัวเอง หญิงสาวเกลียดการที่คนอื่นมาพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับชายหนุ่ม อันที่จริง เธอคงไม่โกรธมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ หากพวกเขาหันมาเกลียดเธอแทน…
เมื่อได้ยินคำอธิบาย ซู ฉิวไป่ ก็รู้สึกราวกับเพิ่งยกภูเขาออกจากอก ที่ เซี่ย หรงหรง จะไม่ต้องเจอปัญหาอะไรเพราะเขา อย่างไรก็เถอะ หลี่ จงไห่ ก็สมควรโดนแบบนั้นแล้ว
ทั้งสองเดินจนมาถึงหน้าประตูห้องประชุม ก่อนจะเข้าไป ซู ฉิวไป่ หยุดลงอีกครั้งเมื่อเขาสังเกตเห็นผู้คนจำนวนมากในห้องนั้น
“ผมขอไม่เข้าไปได้มั้ย”
มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เขาจะเข้าร่วมการประชุม ในตอนที่เขาให้โสมป่ากับ เซี่ย หรงหรง เขาแค่อยากจะช่วยเธอเท่านั้น ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทนี้ไปเสียได้
บางที เซี่ย หรงหรง จะทันเห็นแววของความลำบากใจในดวงตาของเขา เธอจึงรับฟังคำของของ ซู ฉิวไป่ โดยง่าย “ถ้าคุณไม่อยากเข้าไป ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
นั่นทำให้คนขับรถพึงพอใจ เขาหันมายิ้มให้เธอ
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวผมจะไปก่อนนะ คืนนี้เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวเย็นคุณเอง อย่าลืมพักผ่อนให้มากกว่านี้นะครับ”
ชายหนุ่มบ่นเธอพร้อมกับที่เขารีบวิ่งไปในเสื้อกั๊กที่เขาใส่ประจำ
สายตาของ เซี่ย หรงหรง ยังคงสะกดอยู่ที่หลังของ ซู ฉิวไป่ เธอไม่อาจกลั้นรอยยิ้มไว้ หัวใจเธออบอุ่นอย่างยากจะอธิบาย
เขาแค่อยากช่วยฉันจริง ๆ
พอเขาออกจากอาคาร ซู ฉิวไป่ ตอนนี้แค่คิดอยากจะกลับบ้านแล้วไปนอน หลายวันมานี้เขาเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้ คือกลับไปนอนหลับให้เต็มอิ่ม และทำอะไรดี ๆ ให้ตัวเองกิน
รถของเขายังคงอยู่ที่เดิมที่เขาจอดมันทิ้งไว้ เขาเดินเข้าไป หยิบกุญแจรถ เปิดประตู แล้วกระโดดเข้าไป ขณะที่เขาจะติดเครื่องรถ ชายหนุ่มพลันเห็นกลุ่มจีนมุงจากไกล ๆ
ตอนแรกเขาไม่คิดจะไปรบกวนพวกเขาเท่าไหร่ แต่ใครคนหนึ่งกลับตะโกนขึ้นว่ามีคนเป็นลม
คนขับรถจึงก้าวลงจากรถแท็กซี่ และปรี่เข้าไปหาพวกนั้นที่ยังคงมุงดูอยู่ เขาแทรกตัวฝ่าผ่านฝูงชน แล้วพบกับหญิงสาวคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตธรรมดาและหมวกแก็ป เจ้าตัวยังนอนอยู่บนพื้น
ใครคนหนึ่งโทรเรียกรถพยาบาล คนอีกมากเข้ามามุงดู แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไกล้
แต่ ซู ฉิวไป่ ไม่สนใจ เขาไม่ยอมหันหลังให้เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หลักการของเขานั้นไม่มีอะไรมาก ถึงนี่จะเป็นเพียงการหลอกลวง แต่เขายอมโดนด่าว่าโง่ดีกว่ายอมปล่อยให้คนหนึ่งต้องเจ็บตัว การช่วยเหลือผู้คนนั้นคุ้มค่าต่อการเสี่ยง ถึงแม้ความเป็นไปได้ที่คนนั้นจะเป็นลมจริง ๆ นั้นมีเพียงหนึ่งในสิบ!
ทว่าเมื่อเขาหมุนตัวเด็กสาวกลับมา เขากับต้องตกตะลึง
ฉันรู้จักเธอนี่!
แม้ในตอนนั้น ซู ฉิวไป่ จะไม่รู้ว่าเธอชื่อ กู่ เฉิงหยา แต่เขาก็เคยเห็นเธอที่สนามแข่งคังจวง เขารู้ว่าเขาคงไม่อาจลืมเธอไปง่าย ๆ หรอก ถึงอย่างไร เธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง
ณ ขณะนั้นเอง หน้าของเด็กสาวซีดเผือก ดวงตาของเธอเลื่อนลอย เธอดูจะได้สติขึ้นมามากแล้ว เธอลืมตาช้า ๆ เมื่อเห็น ซู ฉิวไป่
หลายคนยังคงอกสั่นขวัญหาย หลายคนตะโกนขึ้นมาว่ารถพยาบาลใกล้จะมาถึงแล้ว และบ้างก็คะยั้นคะยอให้ใครสักคนขับรถพาหญิงสาวไปส่งที่โรงพยาบาล
อย่างไรก็ตาม กู่ เฉิงหยา ปฏิเสธความช่วยเหลือทั้งหมด “ไม่จำเป็นต้องไปโรงบาลฯหรอก ฉันรู้อาการตัวเองดี”
เธอยันยันว่าจะลุกขึ้นนั่ง พร้อมกันนั้นเธอยังยิ้มให้ ซู ฉิวไป่ เขาเองก็ตกใจไม่ต่างกัน เพราะเขากลับรู้เหมือนกันว่าอาการป่วยของเธอ…ไม่สามารถรักษาได้ที่โรงพยาบาล!
ทันทีที่ กู่ เฉิงหยา ลืมตา ราวกับว่า ซู ฉิวไป่ สามารถเห็นผ่านตัวเธอได้โดยที่เขาไม่ได้คาดคิด เขารู้อีกว่าองค์ประกอบของร่างกายเธอแตกต่างจากคนทั่วไป แม้แต่ตำแหน่งของหัวใจเธอ เด็กสาวป่วยอย่างเห็นได้ชัด
กู่ เฉิงหยา ไม่อาจทราบได้เลยว่า ซู ฉิวไป่ เห็นอะไร เพราะหากเธอรู้ล่ะก็ เธองคงกลัวเป็นอย่างมากเป็นแน่ อาการป่วยของเธอถูกค้นพบเมื่อเธอมีอายุเพียงสิบขวบ และบุคคลที่วินิจฉัยอาการของเธอนั้น เป็นถึงปรมาจารย์ด้านการแพทย์ของประเทศ!
เขายังกล่าวอีกไว้อีกประโยคหนึ่ง ว่าจากผลการวินิจฉัยแล้ว “…นอกจากว่า ฮัว โต๋ จะยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ กู่ เฉิงหยา ไม่มีทางรอดได้เลย!”