SD:บทที่ 14 : คำขอบคุณอันแสนกะทันหัน
กว่า ซู ฉิวไป่ จะกลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็เริ่มจะเข้าสู่ช่วงรุ่งสางแล้ว สองวันที่ผ่านมานั้น กล่าวได้เลยว่าเป็นสองวันที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตเขา วันมะรืนเขาได้เดินทางไปที่เมืองฉางโจว และเมื่อคืนเขาได้ไปอยู่ที่อารามหลานหรัว
เขาได้แต่สงสัยว่านี่เขาคงจะต้องสวดมนต์และอ้อนวอนกับพระเจ้าองค์ไหนกันเพื่อให้มีชีวิตที่สงบสุขเสียที
สุนัขของเขารีบตะกุยเท้าวิ่งออกมาต้อนรับเขาทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้นบ้าน อันที่จริง ดูเหมือนว่าลูกหมาสีขาวที่เขารับฝากเลี้ยงมาจาก เซี่ย หรงหรง นั้นนอนแผ่หลาอยู่บนหลังของ หวังไค่ หมาของเขา ดูเหมือนว่าพวกมันจะสนิทกันดีนะ
หลังจากที่ให้อาหารพวกมันเป็นเนื้อเสือหั่นบางซักสองสามชิ้นแล้ว ซู ฉิวไป่ ก็เตรียมถ้วยสำหรับทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ตัวเองกิน เนื่องจากที่ต้องขับรถแท็กซี่เป็นเวลานาน เขาเลยไม่ได้กินอาหารดี ๆ หรือได้กินอย่างตรงเวลามากนัก แม้จะรู้ตัวว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย แต่ดูท่ามันกลับกลายเป็นชีวิตประจำวันของเขาซะแล้ว
เขาปิดม่านทุกหลังในบ้าน แล้วสุดท้าย ซู ฉิวไป่ จึงได้พักอย่างสบายตัวจริง ๆ เสียที เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิด ระหว่างนั้นสุนัขทั้งสองตัวก็มานอนจับจองที่อยู่ข้างเขา เขาลูบหลังพวกมันเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาเพ่งความสนใจที่หน้าจอตรงหน้า
ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้โทรศัพท์เป็นไฟฉายนำทางที่อารามหลานหรัว มันจึงแบตเตอรี่หมดไปเสียตั้งนานแล้ว เขาชาร์จโทรศัพท์ จนในที่สุดมือถือของเขาเปิดขึ้นมาในเวลานิดเดียว
ณ ตอนแรกที่เปิดเครื่อง เขาตกตะลึงที่พบว่าเขาได้รับข้อความมากเกินจะนับในทุกบัญชีโซเชียลมีเดียที่เขามี ข้อความทั้งหลายที่ต่างประเดเข้ามาทำให้เขารู้สึกท่วมท้นอยู่ชั่วขณะ เขาใช้เวลาอยู่เสียนานก่อนที่จะยอมรับได้ว่านี่เป็นโทรศัพท์ของเขาเองจริง ๆ
นี่มันประหลาดจริง ๆ ซู ฉิวไป่ ได้แต่นึกคิดในใจในขณะที่เขารีบไถนิ้วชี้บนหน้าจอและอ่านข้อความทั้งหมดแบบผ่าน ๆ
ถ้าจะมองย้อนกลับไปยัง ณ ตอนที่เขาจบการศึกษาไปได้ไม่นานนัก ข้อความที่คนอื่นส่งมาทักทายนั้นล้วนมีแต่เรื่องงานขับแท็กซี่ของเขา ‘เพื่อน’ ที่เคยมีและญาติของเขาส่วนใหญ่ ล้วนพากันเลิกติดต่อเขาทันทีที่รู้ว่าเขาทำงานอะไร
นี่ขับรถแท็กซี่มันงานต่ำตรงไหนเนี่ย หรือคนพวกนี้มันไม่เคยต้องขึ้นแท็กซี่กัน
แทบทุกคนต่างเมินเขาในช่วงวันหยุดเทศกาล แต่ถ้าในโอกาสอันน้อยนิดที่ใครคนหนึ่งเกิดตัดสินใจพูดกับเขาขึ้นมา ถ้อยคำที่กล่าวก็ต่างเป็นคำพูดเหยียดหยามทั้งสิ้น ถ้าไม่เป็นการอวดเกี่ยวกับบ้านหลังใหม่ที่พวกเขาพึ่งซื้อ ก็อวดรถยี่ห้อหรู ๆ คันใหม่ที่พึ่งถอยมา ทุกคนต่างโอ้อวดความเลอเลิศของตัวเองเพราะพวกเขามองเขาเป็นแค่ ‘คนขับแท็กซี่’ ส่วนพวกเขาทำงานตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทระดับสูง ๆ
แต่ก็เท่านั้นแหละ ซู ฉิวไป่ นั้นตามปกติเป็นคนที่ไม่เคยใส่ใจในชื่อเสียงหรือลาภยศอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเหล่าคนที่ดูถูกเขาเลย ถ้าพวกนั้นมีความสุขในการโอ้อวดล่ะก็ งั้นปล่อยให้พวกเขาทำไปจนกว่าจะพอใจ ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่สำคัญ คือฉันมีความสุขกับชีวิตของฉันตอนนี้
เขาแอบคิดในใจว่าบางทีวันนี้พระอาทิตย์อาจจะขึ้นทางทิศตะวันตกก็ได้ พวกนี้ถึงได้จู่ ๆ มานึกถึงเขาเอาวันนี้
หลังจากที่อ่านข้อความได้ไปเกือบครึ่งหนึ่ง เขาจึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข่าวที่ว่าเขาทุบรถสปอร์ตยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ของตระกูลหลี่
วีดีโอที่ถ่ายเหตุการณ์นั้นได้ถูกอัปโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต แถมยังมีคนคลิกดูไปแล้วเยอะเสียด้วย จนถึงกับมีคนตั้งกองทุนเรี่ยไรเงินบริจาคให้เขาเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็นที่นิยมได้อย่างไรเขาเองก็ไม่แน่ใจเท่าไร เพื่อนที่เคยร่วมชั้นเรียนเดียวกับเขาคงไปเห็นเข้า จึงพากันทักมาไถ่ถามว่าใช่เขาไหมที่เป็นคนทำลายรถคนนั้นเสียยับ บางคนถึงกับถามด้วยซ้ำว่าคิดจะจ่ายหนี้อย่างไร
มีคนจำนวนหยิบมือที่ส่งข้อความมาบอกว่าพวกนั้นบริจาคให้กองทุนพวกนั้นแล้ว และขอให้เขาเลี้ยงอาหารซักมื้อถ้าเขาจัดการเรื่องนี้เสร็จ
อย่างไรก็ดี หลังจากอ่านข้อความพวกนั้นไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจลบข้อความทั้งหมดไปโดยไม่ตอบ จากนั้น เขาตัดสินใจโทรหาน้องสาวของเขา
น้องสาวของเขาชื่อ ซู เซี่ยวเซี่ยว เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในเขตตงไห่ ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไรนัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกที่จะโทรหาเธอ เขาไม่อยากจะทำให้เธอกังวล อีกอย่าง เขาไม่จำเป็นที่จะต้องห่วงว่าพ่อแม่เขาจะรู้ เพราะพวกเขาไม่ใช้โทรศัพท์ เขาทึกทักเอาเองว่าถึงมีใครไปบอก พ่อแม่เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ
เซี่ยวเซี่ยวรับสายของเขาแทบจะทันที
“พี่ ๆ นั่นใช่พี่ในวีดีโอที่ตอนนี้ดัง ๆ ในเน็ตรึเปล่าเนี่ย นี่หนูกลัวมากจริง ๆ นะหลังดูจบ พี่เป็นอะไรมั้ย หนูลองโทรหาพี่แล้วแต่พี่ไม่รับเลย”
น้ำเสียงของน้องสาวเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอสอบสวนเขาในทันทีที่รับสายก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรซักคำ
ซู ฉิวไป่ ตอบคำถามให้น้องสาวของเขาสบายใจ “ไม่ต้องห่วง พี่ไม่เป็นอะไร แบตฯโทรศัพท์พี่หมดเฉยๆ ขอโทษทีนะที่ไม่ได้รับ”
เขายิ้มกว้างได้ทันทีที่ได้ยินเสียงของน้องสาว ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ครอบครัว แม้ว่าจะเคยเครียดมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็จะกลับมาผ่อนคลายได้เสมอ
“ยังกล้าหัวเราะอีกเหรอ เพื่อนหนูบอกมาว่ารถคันที่พี่ทุบไปมันแพงหูฉี่เลยนะ แล้วพี่จะทำไงเนี่ย เดี๋ยวจะโอนทุนเรียนของหนูจากเดือนที่แล้วไปให้นะ”
ซู เซี่ยวเซี่ยว รู้สึกวิตกกังวลอย่างมากขณะที่เธอบ่นพี่ชายของตัวเอง เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร พี่ของเธอนิสัยนั้นถอดแบบเดียวมาจากพ่อของพวกเขา ไม่มีทางเลยที่เขาจะยอมรับเงินช่วยเหลือจากคนอื่น ยิ่งเป็นการระดมทุนบริจาคเงินทางออนไลน์แบบนี้แล้ว ถึงมันจะดังหรือแพร่หลายไปมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็จะไม่เอาเงินไปแม้แต่บาทเดียว ทำไมถึงได้หัวดื้อแบบนี้นะ
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอเองก็รู้สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวตัวเองดี ตัวพี่ชายของเธอเองก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมายเพราะเขาเองก็ทำงานเป็นแค่คนขับรถแท็กซี่ การติดหนี้จำนวนมากขนาดนี้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นหายนะ ก็เป็นกล่าวน้อยกว่าความเป็นจริงไปมากทีเดียว ตั้งแต่ที่เห็นวีดีโอนั้น เธอก็เตรียมตัวว่าคงจะต้องโอนเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารที่เธอมีให้เขาแล้ว
เมื่อได้ยินว่าน้องสาวของเขากล่าวเช่นนั้น ซู ฉิวไป่ ก็รู้สึกซาบซึ้งมากเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยคำพูด น้องสาวของเขาเป็นคนมากความสามารถ จะทำอะไรก็ทำได้ดีไปเสียหมด แต่เธอกลับใจดีมากเกินไป เธอมองคนอื่นสำคัญกว่าตัวเองเสมอ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน เขารู้ดีว่าเธอคงทำตามที่พูดจริง ๆ โดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องห่วงเลย พี่จ่ายค่าเสียหายทั้งหมดไปแล้ว ส่วนเธอน่ะ สนใจการเรียนของเธอเพียงอย่างเดียวก็พอ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะ เดี๋ยวพี่จะส่งเงินไปให้” ซู ฉิวไป่ กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
อีกด้านหนึ่งของสาย ซู เซี่ยวเซี่ยว กลับลังเลขึ้นมาเมื่อได้ยินคู่สนทนาตอบเช่นนั้น
“นี่พี่พูดจริงแน่นะ พี่จ่ายค่าเสียหายแล้วเหรอ” เซี่ยวเซี่ยวยังคงรู้สึกไม่สบายใจ จึงถามยืนยันอีกครั้ง
“อย่าห่วงไป พี่จัดการเรียบร้อยแล้วจริง ๆ นี่คิดว่าพี่จะโกหกในเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้เหรอ ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ พี่พร้อมรับฟังเสมอ”
หลังจากนั้น พี่น้องทั้งสองก็สนทนากันในเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ก่อนจะเอ่ยคำบอกลาแล้ววางสาย
ในตอนแรกนั้น เขาไม่ได้คิดที่จะตอบข้อความไหน ๆ ทั้งนั้น แต่ในขณะที่เขากำลังจะหลับ ดันกลับนึกขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อย เขาก็ควรประกาศเสียหน่อยว่าปัญหาเรื่องรถจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้น เหล่าคนมีน้ำใจพวกนั้นก็คงยังยุ่งอยู่กับการระดมทุนมาช่วยเหลือเขาเป็นแน่
ซู ฉิวไป่ ปิดโทรศัพท์ลงแล้วกลับไปนอนบนเตียงต่อ หลังจากที่เขาเพียงโพสต์ประกาศลงบัญชี Wechat ที่มีผู้ติดตามไม่ถึงสิบคน
เขาไม่มีทางเลือก มีข้อความเยอะเกินมากเกินกว่าที่เขาจะตอบไหว
คนขับรถจึงปล่อยเรื่องยุ่งยากทั้งหลายไปเมื่อหัวถึงหมอน แล้วปล่อยให้ตัวเองได้หลับเสียที
…..
เช้าวันถัดมา ซู ฉิวไป่ ถูกปลุกจากนิทราด้วยเสียงเคาะประตู
เขานั่งลงบนโซฟาแล้วครุ่นคิด ค่าเช่าก็จ่ายไปแล้ว ถ้างั้นใครกันที่มาเคาะประตู
เขาเดินไปเปิดประตู พลางหาวแล้วเกาหน้าเขาไปด้วย ผู้ชายแบบเขานั้น หากอยู่คนเดียวนานเกินไป สุดท้ายก็จะลืมเรื่องการดูแลและรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไปเสียสนิท
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่เมื่อ ซู ฉิวไป่ เปิดประตูแล้ว ต้องอ้าปากค้างเมื่อดวงตาปรือจากความง่วงได้เห็นคนตรงหน้า
เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่อีกด้านของประตู เธอสวมชุดทำงานที่เรียบง่ายและสะอาดเรียบร้อย พร้อมกับสวมแว่นกรอบสีดำที่เข้ากับหน้าของเธออย่างประหลาด รูปร่างของเธอสูงโปร่งและดูคล่องแคล่ว ณ วินาทีแรกที่เห็นหน้าของผู้หญิงตรงหน้านั้น ทำให้คนขับรถนึกถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากที่เปรียบเทียบเธอกับผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยพบแล้วในใจ เขากลับพบว่าผู้หญิงที่พอจะเทียบกันได้มีเพียง เซี่ย หรงหรง เท่านั้น ทว่าหญิงสาวทั้งสาวกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เซี่ย หรงหรง เป็นผู้หญิงที่ดูมีชาติตระกูลและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เพราะจะอย่างไรก็ตามเถอะ หรงหรงก็เป็นถึงหัวหน้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ แม้ว่าเธอจะมีอายุน้อยมากก็ตาม ในขณะที่ผู้หญิงคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่สาวใจดีจากข้างบ้านมากกว่า เธอมีแรงดึงดูดแบบที่ทำให้คนอื่น ๆ ล้วนอยากเข้าใกล้
ในระหว่างที่เขากำลังสงสัยว่าเวทย์ดึงดูดอิสตรีที่เขาใช้ไปก่อนหน้านี้จะยังส่งผลอยู่หรือไม่ ซู ฉิวไป่ พลังสังเกตเห็นของขวัญในมือของหญิงสาวตรงหน้า
นี่เขาเข้าผิดบ้านรึเปล่าเนี่ย
คนขับรถแท็กซี่ที่ขณะนั้นกำลังพยายามจัดความเรียบร้อยของตัวเอง ให้สภาพดูพอไปวัดไปวาได้ กลับรู้สึกผิดหวังขึ้นมาฉับพลัน ทว่าหญิงสาวเอ่ยขึ้นมาทันที
“ขอโทษค่ะ นี่คุณใช่ ซู ฉิวไป่ ใช่ไหมค่ะ”
คนขับรถตะลึงงันไปชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าทันที หัวใจของเขาตอนนี้กำลังตกอยู่ในความปลาบปลื้มยินดี ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้กำลังทำพลาด นี่เธอมาตามหาฉันจริง ๆ
“ผม ซู ฉิวไป่ ครับ จะขอทราบได้ไหมว่าคุณเป็นใครครับ” ซู ฉิวไป่ เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา เพราะเขาต้องพยายามอย่างมากเพื่อที่จะปกปิดความรู้สึกปั่นป่วนในใจของเขาตอนนี้ และทำเป็นว่าเขายังสงบอยู่
“ชื่อของฉันคือ ดง เจี่ยเว่ย ทำงานเป็นครูสอนภาษาที่โรงเรียนมัธยมต้นหยูเฉิง วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อเอ่ยคำขอบคุณกับคุณโดยเฉพาะค่ะ ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิตพ่อของฉันไว้นะคะ
หญิงสาวกล่าวขึ้นโดยที่ตายังมองตรงมาที่เขา นัยน์ตาของเธอแสดงถึงความซาบซึ้งในบุญคุณ
แต่ทว่า ซู ฉิวไป่ กลับเพียงแปลกใจ นี่ฉันไปช่วยพ่อเค้าไว้ตอนไหน ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ
ดง เจี่ยเว่ย คงจะสังเกตเห็นความสับสนของ ซู ฉิวไป่ จึงอธิบายขึ้น “พ่อของฉันคือ เหลาดง ค่ะ คุณอาจจะลืมชื่อเขาไป แต่คุณยังจำชายชราที่คุณช่วยผลักไม่ให้โดนรถสปอร์ตเมอร์เซเดส-เบนซ์ชนที่สี่แยกไฟแดงได้รึเปล่าค่ะ”
ซู ฉิวไป่ พลันเข้าใจในบันดล ผู้หญิงที่งดงามคนนี้เป็นลูกสาวของชายแก่คนนั้นนั่นเอง!
ใครจะไปนึกฝันได้ล่ะ ว่าสิงที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จริงบนโลก ซู ฉิวไป่ มีความสุขมากเสียจนเขาชวน ดง เจี่ยเว่ย เข้ามาในบ้านเขาทันที ถ้าเขารู้ว่าคุณดงจะมีลูกสาวที่สวยขนาดนี้ เขาคงกระตือรือร้นที่จะช่วยชีวิตเขามากกว่านี้แล้ว!
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับรู้สึกอับอายขึ้นมา บ้านของเขายังคงรกเกินไป แถมเมื่อคืนเขากลับบ้านเสียดึกจึงไม่ได้ใส่ใจเก็บกวาดบ้านเลย
สภาพของหมาทั้งสองตัวของเขากลับน่าขายขี้หน้ายิ่งกว่า ลูกหมาสีขาวตัวนั้นยังคงนอนแผ่หลาบนหลังของหวังไค่ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาอีกที ในขณะที่มันจ้องตรงมาที่เขากับ ดง เจี่ยเว่ย
เขาส่งเสียงไล่พวกมันไปโดยเร็ว พร้อมกับเชิญให้แขกของบ้านนั่งลง ซู ฉิวไป่ จึงอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความอับอาย
หญิงสาวผู้เป็นแขกของเขาเพียงยิ้ม เส้นผมเส้นหนึ่งของเธอหลุดลุ่ยจากทรง มาตกอยู่ที่หน้าผากกลางคิ้วทั้งสองพอดิบพอดี โซฟาของเขานั้นเละเทะอย่างเห็นได้ขัด ทว่าแม้แต่วิธีที่เธอนั่งยังน่าดึงดูดสายตาสำหรับ ซู ฉิวไป่ จนเขาแม้แต่เพลิดเพลินกับการเฝ้าดูหญิงสาว
“นี่คุณจ้องฉันอยู่รึเปล่าค่ะ” ดูเหมือนว่าเขาจะจ้องมองเจี่ยเว่ยนานเกินไปมากทีเดียว หญิงสาวตรงหน้าจึงหลุดหัวเราะ แล้วถามเขา
“เออ…ถ้างั้น คุณเอาน้ำหน่อยมั้ย เดี๋ยวผมรินให้” ซู ฉิวไป่ พูดขึ้นมาเพราะตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก
“ไม่เป็นไรค่ะ จุดประสงค์ที่ฉันมาที่นี่คือเพื่อขอบคุณเพียงอย่างเดียวค่ะ หลังจากได้ดูวีดีโอแล้ว ฉันถึงได้สังเกตเห็นว่าสถานการณ์ตอนนั้นมันอันตรายมากแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ป่านนี้พ่อของฉันคงโดนชนไปแล้วล่ะค่ะ”
ดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าเขากระจ่างใสเช่นเดียวกับน้ำบาดาล และน้ำเสียงจริงจังพลันเปลี่ยนเป็นความกลัว ราวกับว่าเธอไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรด้วยซ้ำหากเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
“อา ไม่เป็นอะไรหรอกครับ มันแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ผมไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
เขาจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาอันจริงจังของหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับรู้สึกได้ว่าทุกสิ่งที่เขาทำมันคุ้มค่าแล้ว แต่เธอยังคงจ้องเขากลับ จนในที่สุดเขาเกิดเขินขึ้นมา เขาจึงแค่เกาหัวแล้วหัวเราะขึ้น
“ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ เดี๋ยวนี้ฉันกลัวมากเหลือเกิน นี่ดูวีดีโอนั้นไปได้ครั้งเดียว ฉันก็ไม่กล้าดูต่อแล้วค่ะ ยังไงก็ขอบพระคุณมากนะคะ!”
ดง เจี่ยเว่ย กล่าวขึ้น และในตอนท้ายถึงกับโค้งคำนับเขาด้วยซ้ำ เพื่อแสดงความสำนักในบุญคุณของเขา
แน่นอนว่านี่ทำให้คนขับรถรู้สึกตื่นตันเป็นอย่างมาก เขารีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงหญิงสาวขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นเธอนั้น…
หน้าเขาแดงไปซักพัก พร้อมกับที่หัวใจของเขาสับสนอย่างที่อธิบายไม่ได้ ซู ฉิวไป่ นำให้ ดง เจี่ยเว่ย กลับมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง แล้วยืนยันว่าการช่วยพ่อของเธอในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แม้ว่าภายในใจเขาจะรู้สึกมีความสุขมากก็ตาม
“ฉันรู้ว่าการช่วยชีวิตพ่อของฉัน ทำให้คุณต้องประสบปัญหาหลายอย่าง นี่คือเงินเก็บฉันสะสมมาตั้งแต่ที่ฉันเริ่มทำงาน มันไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่ว่าฉันจะหาวิธีอื่นเพื่อช่วยเหลือคุณ จะยังไงก็ตาม ฉันขอโทษมากนะคะ”
เธอเงียบไปพักใหญ่ก่อนที่จะหยิบเงินปึกใหญ่จากในกระเป๋า ซู ฉิวไป่ คาดเดาว่ามันคงจะมีเงินทั้งหมดราวหลายหมื่น เมื่อดูจากขนาดของห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่อมัดปึกธนบัตรเอาไว้
“คุณไม่ต้องให้เงินผมก็ได้ ผมจ่ายหนี้ทั้งหมดแล้ว! เพื่อนผมเป็นคนช่วยผมเอง และมันก็ไม่ได้แพงอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไว้”
เมื่อดูจากการแต่งตัวของ ดง เจี่ยเว่ย และการแต่งหน้าของเธอ ก็ชัดเจนเลยว่าครอบครัวของเธอคงไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเท่าไหร่ นั่นเป็นอีกเหตุผลที่เขาพยายามย้ำประโยคสุดท้ายอีกครั้ง เขาไม่อยากให้เธอยืนยันที่จะให้เงินกับเขา
กระนั้น เจี่ยเว่ยก็ยังคงไม่เชื่อเขา เมื่อเขาเห็นความดึงดันของหญิงสาวตรงหน้า เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะให้เธอดูบัญชี Weibo ของเขา
แต่ทว่าเมื่อเปิดมันขึ้นมา เขากลับต้องตะลึงงัน!