“ข้าขอต้อนรับท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า ผู้กอบกู้ศรัทธาแห่งพระองค์ ผู้นำมาซึ่งสันติแห่งมวลมนุษย์ ผู้ปราบปีศาจอันชั่วช้า ท่านผู้มีแสงประกายอันเจิดจ้า ท่านออโรร่า!!!!”
ตรงหน้าของผมคือชายในร่างผู้สวมหน้ากากเหล็กคลุมปิดทั้งใบหน้า มีเพียงดวงตาสีฟ้าจากรูของหน้ากากที่จ้องมองผ่านออกมา ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความศรัทธาอย่างไม่ปิดบัง
เขาสวมเสื้อของนักบวชชั้นสูงสีขาวทองทับด้วยผ้าคลุมสีขาวสลักด้วยตรารูปตราชั่งอันมีดาบปักอยู่ที่ใจกลางของมัน เป็นสัญลักษณ์ของผู้ไต่สวนทางศาสนา
ที่สองฝั่งของเขามีนักรบอัศวินสวมชุดเกราะสีขาวบริสุทธิ์กำลังคุกเข่าก้มทำความเคารพการมาของตัวผม หากจำไม่ผิดพวกเขาน่าจะเป็นเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใต้การบรรชาการของอินควิสตาร์เพราะมีสัญลักษณ์แบบเดียวกันปักอยู่ที่หลัง
มือทั้งสองของเขาชูขึ้นมาทางผมตอบรับกับแสงสว่างอันเจิดจ้าที่สาดส่องลงมาผ่านหน้าต่างเบื้องบนเอาซะจนเหมือนผมนั้นได้ถูกเขาอัญเชิญมาจากสวรรค์
“นับเป็นบุญของข้าและความกรุณาอันมหาศาลของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ รวมทั้งความใจกว้างและเมตตาของท่านนักบุญที่มองเห็นซึ่งเงามืดร้ายที่คลืบคลานดินแดนแห่งพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้านั้นยากที่จะกล่าวว่ายินดีปรีดาเพียงใดในความเมตตานี้ของท่าน”
ห๊ะ.. นี่คุณเฮียแกว่าอะไรนะ
ว่าคำของผมที่ผ่านจากการกรองของเจ้าพระเจ้ายิ่งยากแล้วนั้น คำพูดของเขาที่ออกมาราวกับผ่านเพียงแค่จิตใต้สำนึกนั้นช่างแปลยากกว่านับหลายร้อยเท่าจนผมจับต้นชนปลายไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรออกมา
“เห็นว่าท่านดูร้อนใจ เราเลยอยากมาสอบถามน่ะค่ะว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นไหม”
ผมตอบกลับไปแบบว่าง่ายเพราะขืนพูดอะไรแปลก ๆ ไปเรื่องมันคงเดินไม่ถึงไหน ด้วยความสามารถในความทราบซึ้งได้ทุกอย่างระดับที่แค่ผมแคะขี้ฟันเขาคงมองไม้นั้นแล้วร้องไห้ด้วยความปลื้มใจ
“น่ายินดี น่ายินดียิ่งนัก สมแล้วที่ท่านคือความหวังของศาสนจักรแห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ นิมิตของพระเจ้าคงส่งผ่านถึงตัวท่าน ให้ท่านเห็นถึงความชั่วช้าของเหล่าผู้โลภมากอยากได้ในอำนาจที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้มอบไว้ให้กับเหล่ามนุษย์”
เอ่อ…ถึงจะยังไม่เข้าใจแต่ทำเป็นว่าเข้าใจไปก่อนก็แล้วกัน
“ค่ะ นิมิตรที่องค์ท่านมานั้นช่างหลากหลายแล้วนิมิตรใดกันที่ท่านลูดอร์ฟหมายถึงกันคะ”
“โอ้ ข้านั้นช่างโง่เขลาจนมิน่าให้อภัย เห็นแก่ตัวว่าท่านนักบุญจะมองเห็นนิมิตเพียงแค่สิ่งที่ข้ากังวลใจจนลืมความยิ่งใหญ่และภาระอันมากมายของท่านว่าช่างมีมากมายเหลือคณา เช่นนั้นแล้วตัวข้าขอใช้โอกาสที่สวรรค์หยิบยื่นให้พูดกับท่านผู้ช่วยแห่งผืนดินอันศักดิ์สิทธิ์นะครับ”
โว้ย ปวดหัวโว้ย พูดธรรมดาไม่เป็นเหรอไง!! นี่แค่ริ่มก็ยากขนาดนี้แล้ว พวกลูกน้องอยู่ด้วยกันทั้งวันมันไม่ปวดหัวเหรอ
“อัศวินผู้ไต่สวน ไปหยิบสิ่งนั้นมาแสดงให้แก่ท่านนักบุญเร็ว”
เอ้า!!! พูดธรรมดาก็เป็นนี่หว่า
“ขอท่านนักบุญ ผู้กอบกู้ศรัทธาแห่งพระองค์ ผู้นำมาซึ่งสันติแห่งมวลมนุษย์ โปรดรอคอยสักครู่ แม้จะเป็นการเสียมารยาทในการให้กาลเวลาอันยิ่งใหญ่ของท่านไหลผ่านแต่ข้านั้นมีเหตุจำเป็นในการต้องนำสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการปลดปล่อยผู้คนมาอยู่ต่อหน้าท่าน”
หงุดหงิดโว้ย!!!
“เอ่อท่านลูดอร์ฟคะ ท่านสามารถพูดธรรมดากับเราก็ได้ค่ะ ตัวเรานั้นไม่ถือ”
ดวงตาสีฟ้าภายใต้หน้ากากนั้นเบิกกว้างออกจนผมยังสะดุ้งเฮือกกับรังสีแปลก ๆ ที่เขาได้ปล่อยออกมา มือสองข้างของเขาสั่นเทา ร่างของเขาย่อลง ขาทั้งสองคุกเข่าลงตรงหน้าผม
“ไม่ได้ ท่านคือผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปลดเปลื้องเหล่ามนุษย์จากความทุกข์มากมาย ผู้เป็นดั่งมือขวาแห่งพระผู้สร้าง การจะพูดวาจาสามัญเช่นปุถุชนธรรมดานั้นก็เป็นดั่งการที่ข้ากำลังจาบจ้วงพระองค์ด้วยตัวข้าเอง ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้!!”
แต่ตอนนี้เอ็งกำลังปลดสมองผมอยู่!!!
รู้ไหมว่ามันต้องใช้หน่วยประมวลผลในสมองเยอะขนาดไหนในการตีความหมายคำพูดของท่านน่ะ ไอ้คุณท่านลูดอร์ฟ!!!
รอเพียงชั่วครู่หนึ่ง เหล่าอัศวินก็นำกล่องสีทองขนาดใหญ่เท่ากล่องสมบัติสองคนแบกออกมา พวกมันถูกผนึกด้วยกลอนอันแน่นหนา กุญแจหลายดอกได้ถูกใช้ในการปลดพวกมันบ่งบอกถึงความสำคัญที่ต้องปกป้องมันเอาไว้
ลูดอร์ฟอามือไปสัมผัสที่กลอนสุดท้ายก่อนพึมพำร่ายมนต์ มือของเขาก็เรืองแสงเล็กน้อยก่อนที่เจ้ากลอนนั่นจะส่องสว่างตอบกลับแล้วก็ปลดล็อคตัวเองออกมา
เหล่าอัศวินแห่งคณะไต่สวนได้ทำการเปิดกล่องออกมาอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ผมเริ่มสังเกตว่ามีอัศวินหลายคนต่างยืนรุมล้อมอันออกนอกห้อง พร้อมที่จะขยับตัวที่มีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ จากภายนอก
“เอ่อ…ท่านลูดอร์ฟคะ นี่มัน?”
ผมมองไปรอบ ๆ อย่างระแวงว่าเขาจะทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่ก็ได้รับการก้มหัวจากลูดอร์ฟอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหล่าหัวหน้าคณะอัศวิน ท่าที่เหล่านั้นไม่มีแสรแสร้ง มันเต็มไปด้วยความกังวลใจทันทีที่ผมทำท่าทางระแวงพวกเขา
“พวกเราช่วงโง่เขลาและกระทำการไม่ระวังยิ่ง ทำท่านนักบุญผู้มีเมตตาเช่นนี้ตกใจนับเป็นหนึ่งในบาปอันไม่น่าให้อภัย จากนี้ไปหลังเสร็จสิ้นการพูดคุยกับท่าน ข้าและเหล่าคณะอัศวินของข้าจะทำการอดอาหารเพื่อเป็นการสำนึกตนต่อพระผู้เป็นเจ้าและการขอขมาต่อท่านนักบุญ”
เดี๋ยว ๆ ผมแค่ตกใจนิดหน่อยนี่ถึงต้องอดข้าวอดน้ำขอโทษเลยเหรอ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แบบนี้มันเหมือนผมเป็นพวกบ้าอำนาจที่เอะอะลงโทษใครก็ตามที่ทำไม่ถูกใจเลยไม่ใช่เหรอไง
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอกค่ะ แค่ตกใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอกไหมเท่านั้นเอง เรื่องนี้ขอพวกท่านอย่าได้นำเก็บมาคิดเลยค่ะ เราไม่ได้ติดใจอะไร พระองค์ก็เช่นกัน”
ผมรีบพูดแก้สถานการณ์อย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นคงได้มีข่าวออกหน้าหนึ่งว่ามีนักบุญใจโฉด ลงโทษอัศวินข้อหาทำตัวไม่ถูกใจ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“ท่านนักบุญช่างมีเมตตา สมแล้วที่ท่านเป็นถึงผู้ที่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของความรักของพระองค์ที่มีต่อเหล่ามนุษย์…”
อีกสารพัดคำชื่นชมได้ถูกพูดออกมาจากลูดอร์ฟและคณะอัศวินของเขา ผมก็ทำการฟังแบบทะลุหูซ้ายออกหูขวา ไม่ทำอะไรนอกจากยิ้มตอบกลับ
“เอาล่ะเหมือนจะไม่มีหนูมาคิดทำอันตรายอะไร ขอท่านนักบุญโปรดดูสิ่งนี้ด้วย”
กล่องได้ถูกเปิดออก โดยข้างในนั้นมันซ้อนด้วยกล่องจำนวนมาก ที่กล่องสุดท้ายเมื่อเปิดออกมา ภายในของมันคือวัตถุสีทองวงกลมขนาดพอ ๆ กับเข็มทิศ ที่ใจกลางถูกฝังคริสตัลเอาไว้ ยามเมื่อมันกระทบกับแสง มันก็สว่างเรืองรองออกมาจาง ๆ
“นี่คือ?”
“แผนที่อันจะนำพวกเราไปสู่คทาศักดิ์สิทธิ์แห่งราสเวนน่าครับ”
“คทาแห่งเรสเวนน่า?”
ผมทวนคำของเขาอย่างสงสัย เพราะหากจำไม่ผิด ชื่อคทานี้มันคือคทาที่นักบุญคนแรกของเรสเวนน่าได้ใช้มันร่วมกับปฐมกษัตริย์แห่งราสเวนน่าในการปราบปีศาจที่รุกร้ำดินแดนจนสุดท้ายก็ก่อตั้งประเทศได้
แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างทำใหเคทานี้ได้สูญหายไปตามกาลเวลา ส่วนพลังของมันนั้นผมยังอ่านไม่ถึงและไม่ได้สนใจจะหา.. ก็แหม แค่พวกมณีแห่งนักบุญก็เหนื่อยในการตามหาแล้ว จะให้มาเพิ่มภาระกับตัวอีกก็ยิ่งเหนื่อย ใครมันอยากจะทำ
“คทาอันยิ่งใหญ่ของนักบุญคนแรกแห่งราสเวนน่าซึ่งได้รับมันมาจากพระผู้เป็นเจ้า อำนาจของมันช่างมีมากมายไม่ว่าจะเป็นการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกล้ำ หรือยังปาฏิหาริย์มากมายที่มันสามารถเสกสรรค์”
ทุกคำพูดที่ลูดอร์ฟกล่าวถึงคทา มันก็ยังคงเต็มไปด้วยศรัทธาและความปิติอย่างไม่เก็บเฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาพูดกับผม… คนอะไรจะศรัทธาล้นขนาดนี้
“แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มันทำได้คืออำนาจแห่งอาณาจักรครับ”
???
“อะไรนะคะ?”
“ท่านได้ยินไม่ผิด นอกจากมีพลังศักดิ์สิทธิ์แต่เดิมที่ได้รับมา ตำนานยังกล่าวอีกว่าผู้ใดมีคทานี้อยู่นั้นก็ไม่ต่างจากการได้ควบคุมอาณาจักร มีพลังระดับที่พลิกฟ้าพลิกชะตาของราสเวนน่าเลยทีเดียว”
เดี๋ยว ๆ ของแบบนั้น พลังมากมายขนาดนั้น และยังสำคัญขนาดนั้น แล้วทำไมมันถึงหายไปได้กันล่ะ!!!
“เอ่อพลิกฟ้า พลิกชะตาเหรอคะ พอรู้ไหมคะว่าอะไร”
“เรื่องนั้นไม่มีใครทราบ เพราะบันทึกของท่านนักบุญหญิงคนแรกเองก็ไม่ได้กล่าวถึงครับ”
สรุปเป็นแค่การลือกันสินะ ก็นะ ขึ้นชื่อว่าตำนานพอผ่านไปนาน ๆ ก็อาจจะโอเวอร์เกินจริง ไปก็ไม่ได้แปลกอะไร
“นับเป็นโชคดีที่พวกราได้ค้นพบสิ่งที่จะนำทางไปหาคทาที่ว่านั่น”
ลูดอร์ฟพูดพลางชี้ไปที่วัตถุคล้ายเข็มทิศในกล่อง แล้วก็เหลือบมองมาที่ผมจนผมรู้สึกว่าความเหนื่อยน่าจะถามหาตัวเองแน่ ๆ
“ตำนานยังว่าอีกว่าสิ่งนี้จะตอบสนองต่อผู้มีพลังแห่งนักบุญดั่งที่มันเคยรับใช้ท่านนักบุญคนแรก เช่นนั้นแล้วข้าเลยอยากขอร้องให้ท่านช่วยตามหาคทาแห่งราสเวนน่าครับ”
“ไม่บอกทางราชวงศืไปจะดีกว่าเหรอคะ มันก็เป็นสมบัติประจำตระกูลของพวกเขาเหมือนกันนีนา”
ถ้าจำไม่ผิด ตระกูลเรสเวนนั้นสืบสายเลือดมาจากปฐมกษัติริย์และนักบุญหญิงคนนั้น ดังนั้นไอ้เจ้าคทาที่พวกเรากล่าวถึงเนี่ย อย่างไรมันก็เหมือนสมบัติที่ควรสืบถอดผ่านตระกูลมา จะให้พวกเขาจัดการก็ไม่น่าแปลก
“ไม่ได้!!!!”
เสียงของลูดอร์ฟดังโพล่งขึ้นมาจนสะท้อนออกไปทั่วห้องจนผมสะดุ้งเหือก น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและไม่พอใจอย่างสุดซึ้ง
“พลังที่พลิกฟ้าพลิกชะตาแห่งแผ่นดิน พลังอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้เพียงเฉพาะท่านนักบุญผู้มีสิทธิ์อันชอบทำ จะให้มันตกไปอยู่ในมือของเหล่าขุนนางหรือราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยความละโมภโลภมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยบาปอันแปดเปื้อนมากมาย เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด”
ลูดอร์ฟกำมือแน่นพร้อมพูดไปหมุนตัวไป ราวกับนักการเมืองฝ่ายค้านกำลังพูดอยู่ในสภาอันร้อนแรง
“พระเจ้ามอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้แก่นักบุญไม่ใช่สายเลือด เช่นนั้นแล้วสิทธิ์อันชอบธรรมในการถือครองนั้นมันต้องอยู่กับพวกเราผู้เป็นดั่งผู้รับใช้ที่บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ไร้ความโลภ!!! โดยเฉพาะท่านผู้ที่เต็มไปด้วยรักแห่งพระเจ้า สิ่งนั้นมันควรอยู่ในมือท่านไม่ใช่พวกบ้าอำนาจ!!”
เขาหันมามองผมก่อนจะเริ่มสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนผมเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัวด้วยความสยองนิด ๆ ราวเหมือนมีคนบ้าหลุดจากโรงพยาบาลกำลังบุกเข้ามาหา
“หวังว่าท่านจะเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหมครับ ท่านนักบุญ”
“เอ่อ เข้าใจแล้วค่ะ ๆ จะพยายามช่วยจัดการดูให้นะคะ”
“นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ท่านเข้าใจ พลังนั้นควรอยู่ในมือท่านผู้บริสุทธิ์อย่างที่มันควรจะเป็น เช่นนั้นแล้วข้าขอให้ท่านนำแผนที่นี่ไปด้วย เผื่อนิมิตรแห่งพระผู้สร้างจะชี้นำสาวกของท่านเพื่อนำมาซึ่งความสุขนิรันดร์แห่งมวลมนุษย์”
และแล้วผมก็รีบรับเจ้าสิ่งที่เขาเรียกว่าแผนที่มาโดยไม่พูดอะไรมากความเพื่ออยากหนีออกจากพ่อคนสุดเพี้ยนนี่ให้ไวที่สุด ดังนั้นแล้วจึงได้แต่จำยอมรับภาระที่น่าจะมีเรื่องซวย ๆ ตามมาอีกมากมาย แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าฟังชายคนนี้พล่ามต่ออีกเป็นชั่วโมง
ให้ตายสิ มีเรื่องวุ่นวายทั้งนั้นเลยนะ สงสัยวันนี้จะซวยจัด ตาขวายังกระตุกไม่หายเลยเนี่ย
ตอนนั้นเองที่มีคนใส่ชุดขุนนางเดินเข้ามาในมหาวิหาร เขานั้นทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ พยายามมองหาใครบางคนอยู่ตลอดและเมื่อมองเจอผมเขาก็ยิ้มออกมาแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหาอย่างเงียบเฉียบ
ซวย ซวยแน่ ๆ
“ท่านนักบุญครับ จดหมายของทางราชวงศ์ เหมือนองค์ราชาอยากจะพบท่านครับ”
นั่นไง เรื่องซวยมาจริง ๆ ด้วย
จบไปแล้วกับอีกหนึ่งตอนนะครับ ตอนนี้ก็เริ่มสู่ภารกิจใหม่ของน้องออโรร่าเรา แล้ว!!!!
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า