งานเลี้ยงอันรื่นเริงเพื่อฉลองให้กับซิลวี่จบลงได้ด้วยดี แน่นอนว่าตอนจบคนปิดงานก็ไม่วายเป็นผมที่ต้องไปทำคล้ายพิธีเดิมแบบเดียวกันอยู่ที่ราชวังเพื่อให้ทางราชวงศ์ไม่น้อยหน้าทางศาสนจักร
ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ว่าตอนนี้ระหว่างขุนนางกับศาสนจักร ไม่สิ ต้องเรียกว่าทางราชวงศ์กับศาสนจักรกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแย่งชิงอำนาจและความนิยมของชาวบ้านกันอยู่เข้มข้น
ดังนั้นแล้วก็เลยไม่แปลกที่พวกเขาจะดึงคนดังอย่างซิลเวียที่เป็นถึงผู้พิทักษ์ที่มีส่วนในการปราบจอมปีศาจได้ไปเข้าร่วมฝ่ายของตัวเอง
ก็นะ ประชาชนของที่นี่น่ะ ถ้าเป็นเรื่องฮีโร่จัดการปีศาจล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ได้รับความนิยมทั้งนั้นล่ะ ดูสิ ตอนนี้มีตุ๊กตาซิลวี่ขายตามร้านค้าฉลองให้กับพิธีแต่งตั้งอยู่เต็มไปหมด พ่อแม่ใครคลอดลูกช่วงนี้ไม่ตั้งชื่อนำหน้าว่า ซิลก็ลงท้ายด้วยเวีย กันทั้งนั้น
ที่สุดของความเห่อเลยไม่ใช่เหรอไง?
ตอนแรกคิดว่าซิลเวียจะมาอยู่ด้วยกันที่มหาวิหาร แต่ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะต้องไปอยู่บ้านพักของตระกูลของเดอ ฟรอเซียในเมืองหลวง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องเข้ามาซึ่งสำหรับผมก็แอบอิจฉาไม่ใช่น้อยเพราะเธอสามารถอยู่ได้แบบอิสระไม่ต้องมานั่งสวดหาเจ้าพระเจ้าเช้าเย็นแบบที่ผมเป็นอยู่
“ท่านออโรร่าคะ จดหมายค่ะ”
มาเรียแบกเอกสารกองโตที่จ่าหน้าสองถึงผมจำนวนมากมาวางให้ โดยเธอได้จัดการคัดแยกเอกสารทั้งหลายตามชนิดไม่ว่าจะเป็นจดหมายทักทายทั่วไป จดหมายร้องขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน หรือกระทั่งใบภารกิจจากทางศาสนาจักร
แน่นอนว่าผมสามารถเลือกได้หากภารกิจนั้นไม่ได้มาจากตัวท่านสังฆราชเองก็สามารถเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ มันก็เป็นอะไรที่สบายพอตัว
“แยกไว้อย่างเคยสินะคะ ท่านออโรร่า”
“ฝากด้วยนะคะมาเรีย”
“ค..ค่ะ”
แต่ชีวิตนี้คงลำบากมากแน่ถ้าต้องมานั่งคัดกรองเอง ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของมาเรียทำให้ชีวิตผมสบายไปหลายส่วน เพราะเธอคัดแยกทุกอย่างให้พร้อมแถมเรียงตามความสำคัญอีกต่างหาก แน่นอนว่าเอกสารไหนแปะว่าลับเธอจะไม่เปิดอ่านแต่อันไหนไม่มีประทับเธอก็จะอ่านแล้วสรุปให้ผมหมด
“ขาดมาเรียไปชีวิตเราคงแย่แน่เลย เพราะงั้นช่วยอยู่กับเราไปนาน ๆ นะคะ~”
ผมพูดขอบคุณเธอพลางฮัมเพลงไปมาอย่างสนุกสนานเมื่อมองเอกสารภารกิจของวันนี้ที่ไม่เยอะเท่าไหร่ นับว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์คงสบายไปอีกยาว ๆ
!!!
กึก
เหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกกับพื้นเรียกให้ผมหันไปหาก็พบกับมาเรียที่ตอนนี้ยืนตัวแข็งค้างไปเรียบร้อย เอกสารในมือทั้งหลายของเธอตอนนี้ได้หล่นลงกระจัดกระจายอยู่เต็มไปพื้นไปหมด
“มาเรียคะ!!! เป็นอะไรเหรอเปล่าคะ มาเรีย”
ผมรีบลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาเธออย่างเป็นห่วง ไม่มั่นใจว่าเธอนั้นเป็นอะไร มือทั้งสองข้างจึงรีบพุ่งเข้าไปคว้าไหล่ทั้งสองแล้วเรียกสติรัว ๆ
“มาเรีย มาเรียคะ!!!”
ไม่ได้การ ไม่ตอบสนองอะไรเลย เงียบกริบแบบนี้ เป็นอะไรเนี่ย ลมชักเหรอ แล้วผมต้องทำไงเนี่ย ใช่แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ ต้องใช้พลังรักษา!!
“อยู่ด้วยกัน…ตลอดไป”
“หือ ได้สติแล้วเหรอคะ?”
เสียงมาเรียพูดพึมพำออกมาเบา ๆ ทำเอาผมเริ่มโล่งใจว่าเธออาจจะได้สติแล้วจึงลดพลังของตัวเองที่กำลังจะร่ายออกมาลงแต่เหมือนผมอาจจะคิดไป
“อยู่ตลอดไป…อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะคะท่านออโรร่า”
มาเรียเริ่มพูดวนไปวนมาอย่างจับคำไม่ได้ ตอนนั้นเองที่ดวงตาสีเขียวมองขึ้นมาทำเอาผมถึงกับชะงักเพราะมันราวกับมีพายุหมุนวนไปมาอย่างสับสนอลหม่านภายใต้แววตานั่น บ่งบอกถึงจิตใจที่ไร้ซึ่งการควบคุมของเธอไปแล้ว
“จะอยู่ข้างท่านออโรร่าตลอดไป..เลยค่ะ จะอยู่กันตลอดไป”
มือของมาเรียเริ่มลุกลามเข้ามาคว้าที่ไหล่ของผมราวกับปลาหมึกที่ไม่รู้ว่ายกขึ้นมาจับตออนไหน แต่ผมพยายามจะดิ้นหลุดอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดไปได้
ใจเย็นก่อนสิมาเรีย ตอนนี้เธอกำลังสับสนนะ เข้าใจอยู่ว่าพลังทำลายล้างของออโรร่านั้นรุนแรงมากแต่ว่าจะมาทำให้บุบสลายตอนนี้ไม่ได้นะ ไม่ใช่ว่าจะจับผมคลุมถุงชนกับคุณพี่ดูวัลคนนั้นเหรอมาเรีย!!!
แรงที่ไม่รู้เอามาจากไหนของร่างอันแสนบอบบางเริ่มดึงผมเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนใบหน้าของพวกเราทั้งสองเริ่มห่างกันไม่ถึงคืบ ปกติผมควรจะต้องเขินอายเมื่อได้จ้องใบหน้าสาวน้อยน่ารักระยะเผาขนแบบนี้ตามภาษาเด็กหนุ่มวัยกลัดมัน แต่ว่านี่ไม่ใช่
ใบหน้าของมาเรียที่ราวกับสติหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อย แววตาที่ตอนนี้ราวกับมีรูปวังวนอันไม่รู้จบราวกับพร้อมดูดใครก็ตามที่จ้องมองให้หล่นลงไปในวังวนนั่น
มือของเธอเริ่มบีบแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่พอคำสารพัดอย่างได้พึมพำออกมาไม่ถ้วนจนผมยังเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
“อยู่ด้วยกันตลอดไป… ท่านออโรร่า ท่านออโรร่าคะ”
มือปลาหมึกไม่พอตอนนี้เธอเริ่มเหมือนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง เริ่มเลื่อนมือข้างหนึ่งมาลูบคลำมือของผมไปมาอย่างไม่เก็บอาการ
ใจเย็นมาเรีย คุณเธอจะมาจับกดผมตรงนี้ไม่ได้!!!! นี่เด็กขี้อายคนนั้นไหงโตมากลายเป็นภัยสังคมไปได้เนี่ย ใจเย็นนะ ๆ วางถุงกาวและหยิบถุงสติกลับมาก่อน!!!
“มาเรียคะ!!!!”
ผมพยายามตะโกนสุดเสียงเรียกให้เธอตื่นขึ้นมาจากภวังค์ นั่นดูเหมือนจะได้ผล มาเรียที่ได้ยินเสียงของผมก็สะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาที่หลุดไปในวังวนอันแปลกประหลาดเริ่มกลับมาเป็นประกายอีกครั้งก่อนมันจะกลอกไปมาเพื่อตรวจสอบความจริงที่เกิดขึ้น
ใบหน้าสีขาวนวลเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ ปากที่พูดพึมพำเมื่อครู่ไม่หยุดเริ่มสั่นไปมา มือที่คว้าแน่นราวกับปลาหมึกได้ปล่อยออกก่อนร่างของเธอจะถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทะ..ท่านออโรร่า ตะ..ต้องขอโทษด้วยค่ะ ไม่รู้จู่ ๆ เหมือนสติมันวูบไป หวะ..หวังว่าฉันคงไม่ได้ทำอะไรที่ล่วงเกินใช่ไหมคะ?”
เกินไปไกลเลยล่ะมาเรียเอ๋ย แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนแล้วกันเอาเป็นว่าไม่พูดถึงมันจะดีที่สุด เพราะตอนนี้เองผมก็เริ่มรู้สึกว่าน่าตัวเองแอบร้อน ๆ คล้ายเลือดมันสูบฉีดมาแรงขึ้นแต่ก็รีบพยายามคุมสติตัวเองดับอารมณ์แปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมา
บรรยากาศในห้องดำเนินไปอย่างอึดอัดเมื่อเราทั้งสองคนไม่รู้ว่าตัวเองจะทำตัวกันอย่างไร แต่ยิ่งความเงียบมันกลืนกินห้องมากเท่าไหร่ พวกเราทั้งสองก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกมากขึ้นเท่านั้น
อึดอัดง่า!!!
“เอ่อ คือว่าเรื่องภารกิจสำหรับวันนี้น่ะ…”
ผมรีบพยายามเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี่ ส่งให้มาเรียรีบก้มหน้าหนีไป เธอคว้าเอกสารทั้งหลายที่กระจัดกระจายให้มารวมกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนผมก็รีบนั่งลงแล้วจิบชาดับอารมณ์ที่ร้อนแรง
“เรื่องภารกิจวันนี้ไม่มีภารกิจจากท่านเกรน เซเลสที จะมีก็แต่จากเหล่าซาเครเท่านั้นค่ะ”
เกรน เซเลสที…หรือเอาง่าย ๆ ว่าท่านสังฆราชที่ผมเรียกบ่อย ๆ นั่นล่ะ ส่วนพวกซาเครก็นักบวชชั้นสูงทั่วไปในเมืองหลวง เพราะงั้นแปลว่างานนี้ผมนอนตีพุงไม่รับได้สินะ
“แต่ว่าเหมือนจะมีงานจากทางของท่านอินควิสตาร์ ลูดอร์ฟมาค่ะ”
อินควิสตาร์ ลูดอร์ฟ ชื่อนี้ทำเอาคิ้วของผมกระตุกรัว ๆ เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจั้นักบวชที่หมายแย่งชิงขนมสุดที่รักของผมไปนั่นเอง
เพราะงั้นขอผ่านก็แล้วกันนะ!!!
“เอ่อ เราไม่ค่อยถูกกับเขาเท่าไหร่เอาเป็นว่าขอผ่านน่าจะดีกว่า”
“แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญมากนะคะ เพราะเขาบอกว่าต้องเป็นท่านออโรร่าเท่านั้นแล้วก็มีคำบรรยายออกมายาวยืดเลยด้วยค่ะ”
ผมรับจดหมายมาจากมาเรียแล้วไล่อ่านภาษาที่กล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยความเคารพในตัวผมอย่างสุดซึ้งไม่พอ มันเป็นจดหมายที่น้ำเยอะที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมา
โอ้ท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า ผู้กอบกู้ศรัทธาแห่งพระองค์ ผู้นำมาซึ่งสันติแห่งมวลมนุษย์ ผู้ปราบปีศาจอันชั่วช้า ท่านผู้มีแสงประกายอันเจิดจ้า ท่านออโรร่า
แค่เกริ่นเชื่อผมมันก็ปาไปสองบรรทัดแล้วอะไรมันจะขนาดนั้น
วิญญาณร้ายกล้ำกลาย ความชั่วช้าสามาญกำลังทำดินแดนอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าให้แปดเปื้อน ความละโมบ ความโกรธาทั้งหลายได้เปลี่ยนแปลงให้จิตใจที่ควรดีงามถูกปกคลุมด้วยความชั่วช้าอันมิน่าให้อภัย
ดินแดนของพระผู้เป็นเจ้าอันยิ่งใหญ่นี้กำลังถูกทดสอบ เหล่าผู้ศรัทธาทั้งหลายกำลังถูกทดสอบโดยพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ มันช่างเป็นบททดสอบที่ยากเย็นแสนเข็ญ คนธรรมดาสามัญทั่วไปคงมิอาจผ่านการทดสอบนี้ไปได้ มันคงมีแต่ท่าน ท่านผู้ที่ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่และความเมตตาทั้งหลายจากพระผู้เป็นเจ้า ที่จะสามารถนำทางพวกเราเหล่าสาวกให้ไปถึงจุดหมายอันยิ่งใหญ่นี้ ขอท่านโปรดมาพบข้าเพื่อแจ้งท่านถึงการทดสอบของพระเจ้าด้วย
จากผู้ศรัทธาแห่งพระเจ้า ลูดอร์ฟ
น้ำเยอะเกินไปแล้วโว้ยยยย นี่เขียนมาเป็นสิบบรรทัดสุดท้ายก็แค่ว่ามีปัญหาอยากพบผมหน่อย เจอกันเดี๋ยวบอกไม่ใช่เหรอ แล้วคุณพี่จะเขียนมันให้ยาวขนาดนี้ทำไมเนี่ย!!!
“เป็นจดหมายที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธาอะไรเช่นนี้”
มาเรียมองจดหมายนั่นด้วยความประทับใจแบบสุดซึ้งจนผมยังต้องสงสัยว่าไอ้จดหมายน้ำท่วมนี่มันมีอะไรให้น่าปลื้ม แต่ก็นะ สำหรับคำสรรเสิรญเจ้าพระเจ้าแล้ว คนพวกนี้คงคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่น้ำที่ควรข้ามล่ะมั้ง
“ฉันว่าท่านออโรร่าควรรับนะคะ”
“ทำไมล่ะคะ คือเรารู้สึกไม่ค่อยถูกกับ..”
“ก็ท่านลูดอร์ฟน่าจะอยากเจอท่านออโรร่ามากแน่ ๆ เพราะท่านอินควิสตาร์ตั้งแต่จบงานนั้นมาก็ส่งจดหมายแบบเดียวกันมาสิบกว่าฉบับแล้วค่ะ น่าจะเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ”
คุณพี่ก็ขยันเนาะ!!
เอาฟะ ถ้าไม่ไปสงสัยเจ้านั่นคงได้มาหาผมถึงที่แน่ เอาไงเอากัน!!!
เมื่อตัดสินใจได้ ผมก็คว้าจดหมายของลูดอร์ฟมาจากมาเรียก่อนสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วก้าวออกจากห้องไปเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูฟ้าลิขิตแห่งอาณาจักรขนม
และตอนนั้นเองที่เมื่อผมเข้าไปห้องทำงานของเข้ามันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมน่าจะคิดผิดแล้วที่คว้าจดหมายนี้มา
“ข้าขอต้อนรับท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า ผู้กอบกู้ศรัทธาแห่งพระองค์ ผู้นำมาซึ่งสันติแห่งมวลมนุษย์ ผู้ปราบปีศาจอันชั่วช้า ท่านผู้มีแสงประกายอันเจิดจ้า ท่านออโรร่า!!!!”
กลับห้องนอนตอนนี้ทันไหมนะ?
เอาล่ะจบไปเรียบร้อยสำหรับตอนเบา ๆ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องของภาคนี้นะครับ!!!
ตอนนี้จะเริ่มเจาะรายละเอียดของราสเวนน่าทั้งตัวของฝั่งอาณาจักรและศาสนจักรครับผม