นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย พวกนี้มันนัดต่อคิวกันมาเจอผมเหรอไง ทำไมหลังเจอปัญหาจากคนหนึ่งเสร็จอีกคนมันก็ตามมากันทันที?
“ไม่เป็นไรใช่ไหมออโรร่า เจ้าหมอนี่ไม่ได้ทำอะไรเธอนะ”
ไรน์เดินเข้ามาหาผมอย่างเป็นห่วง โดยเขายังมีแอบชำเลืองมองทิศทางที่โลธ์เดินไปอย่างหงุดหงิดแบบไม่เก็บอาการ แต่เมื่อหันมาหาผมแววตาของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างอ่อนโยนโดยทันที
“ไม่หรอกค่ะ แค่ยื่นข้อเสนอบางอย่างก็เท่านั้นเอง”
“ข้อเสนอ? พอบอกได้ไหม”
“เรื่องนั้น…”
เอาแล้วไง จะบอกเจ้าหมอนี่ดีไหมเนี่ย ยิ่งเป็ฯคนคิดมาก ๆ อยู่แถมขืนไปเขาเอาไปเล่าให้คุณพ่อฟังเดี๋ยวคุณพ่อจะเข้าใจผิดแล้วบุกเอาดาบไปจามหัวเจ้าโลธ์ตายคาบ้านพอดี
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะก็แค่…. เรื่องทางศาสนกิจน่ะ”
อ้างเรื่องการเรื่องานไปแล้วกัน เพราะส่วนใหญ่แม้ตั้งแต่ไรน์จะมาอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้กับคุณพ่อและมีแวะเวียนมาถามสุขภาพของผมที่มหาวิหารทุกวัน มีเรื่องอะไรน่าปวดหัวก็จัดการให้โดยทั้งที่ขอหรือไม่ก็ตามจนเอาผมมองเขาในแง่ดีขึ้นมากเลยล่ะ
แต่เขาก็ดีอย่าง แม้จะอยากช่วยหรือเป็นห่วงแค่ไหนแต่ถ้าผมตอบว่าเป็นหน้าที่ทางศาสนาไปเขาก็จะไม่ค่อยรบเร้าอะไรมากมายให้ผมปวดหัว
ควับ
หือ?
มือขวาของผมถูกคว้าไปโดยมือหนาของไรน์ ดวงตาสีม่วงนั้นจ้องมองมาทางผมด้วยความห่วงใย
“ไม่ได้ข่มขู่อะไรใช่ไหม”
“ไม่เลยค่ะแค่ยื่นข้อเสนอจะช่วยแลกกับอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น แต่พอดีคิดว่าจัดการเองได้เลยปฏิเสธไปแล้วค่ะ”
บอกไปนิดหน่อยคงไม่เป็นอะไร แต่รายละเอียดคงไม่น่าจะดีกว่าเพราะขืนบอกเยอะไปเดี๋ยวทั้งสองคนได้เป็นกังวลเกินไปแน่ ๆ แถมเรื่องปีศาจก็ยังไม่มีเบาะแสอะไรด้วยมีแต่จะเครียดกันฟรีเปล่า ๆ
“บางครั้งออโรร่าไม่ต้องฝืนตัวเองก็ได้นะ?”
“คะ?”
ฝืน หือ??? หมอนี่จู่ ๆ พูดเรื่องอะไรขึ้นมาเนี่ย ทำไมถึงได้เกริ่นนำการพูดคุยแบบนี้กัน นี่คิดว่าผมกับเจ้าโลธ์คุยอะไรกันไปเนี่ย
“ทุกครั้งที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนจักร ออโรร่ามักจะทำอะไรเกินตัวเสมอเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เกินตัว..อืม ก็ไม่นะคะ”
ผมเนี่ยนะทำอะไรเกินตัว ออกจะทำอะไรแนวขี้เกียจด้วยซ้ำไป ทั้งแอบนอนตอนช่วงเวลาสวดเช้าเย็นหรือกระทั่งงานเทศกาลก็ยังโบกมือไปมาทั้ง ๆ ที่หลับในด้วย นี่ยังไม่นับล่าสุดที่แอบจดโพยไปทำพิธีให้ซิลวี่ด้วยนะ
“ทั้งตอนองค์ชายชาร์ล หรือตอนปราบปีศาจที่กลอริเอล ทั้งหมดนั้นออโรร่าฝืนตัวเองตลอดเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เรื่องนั้น….”
สภาพของผมที่กลับมาแต่ล่ะทีก็เรียกว่าอ่วมจริง ๆ นั่นล่ะ ยิ่งตอนไปช่วยซิลวี่นี่ชัดเจนใหญ่ ตอนนั้นทั้งฝืนใช้พลัง ทั้งเดี่ยวกับเอลดราน ดีนะซิลวี่ปลุกพลังได้จนมาช่วยไว้ทันเลยได้แผลบาดที่หน้ามาเฉย ๆ แต่หลังจากนั้นก็นอนยาวเลย
“มะ…มันก็จริงอยู่บ้างนะคะ”
ที่ไรน์พูดมาก็ทำเอาผมพอคิดว่าก็มีช่วงที่ผมฝืนตัวเองอย่างเขาว่าจริง ๆ นั่นล่ะ แต่มันก็ไม่ได้ทุกรอบซะหน่อย ออโรร่าน้อยที่ขยันและทุ่มสุดตัวน่ะ นาน ๆ ทีมีหนนะไม่ได้ทุกครั้ง
“ใช่ไหมล่ะ”
“แต่ว่าอย่างน้อยผลที่ได้รับมามันก็คุ้มนะ ดูซิลวี่สิตอนนี้ยิ้มอย่างมีความสุข องค์ชายชาร์ลเองก็ชนะความกลัวของตัวเองได้แล้วเราเองก็ปลอดภัยไม่มีแม้แต่แผลเลยนะคะ”
ผมชูสองนิ้วขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าตัวเองแข็งแรงปลอดภัยดีทุกอย่าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้หน้าที่กังวลของไรน์หายไปเลยแม้แต่น้อย
“แต่ออโรร่ายังเป็นแค่เด็กผู้หญิงนะ”
“คะ?”
คำของไรน์ที่โผล่งออกมาทำเอาผมที่ยิ้มให้ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ สมองพยายามตีความความหมายของเขาที่จะสื่ออย่างมั่วไปมั่วมา
นายว่าอะไรนะ?
นี่มันคำดูถูกกันใช่ไหม จะบอกว่าตัวผมที่เป็นเด็กสาวน้อยไม่ควรทำอะไรแบบนั้นเหรอ รู้ไหมว่าข้างในนี้น่ะมันมีจิตวิญญาณอันเร้าร้อนของชายหนุ่มที่ไม่มีวันยอมแพ้อยู่นะ
“จะบอกว่าเราไม่ควรจะใช้พลัง …เราอ่อนแองั้นเหรอคะ ไรน์?”
“เปล่า ออโรร่าน่ะแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าใครที่ผมเคยรู้จักไม่ว่าจะพลังหรือจิตใจ แต่ว่านะ…”
น้ำเสียงของไรน์นั้นอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่เหมือนกับคำดูถูกใด ๆ ทั้งสองมือของผมถูกคว้าโดยมือทั้งสองของเขา สัมผัสนั้นอ่อนโยนมากจนไม่นึกว่าจะมาจากร่างกายอันแข็งแรงนี้
“บางครั้งออโรร่าน่ะก็ปล่อยวางตัวเองจากการเป็นนักบุญ จากการเป็นผู้มีพลัง มาเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา ๆ ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะ”
“หมายความว่าไงกันคะ”
“ภาระอันยิ่งใหญ่ สิ่งตอบแทนของพลังที่ได้รับมา ความทรมานจากการใช้พลังนั้น ผมน่ะรู้นะว่าออโรร่าต้องพยายามอดทนมาโดยตลอด”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ถึงจะมีบ้างแต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร…”
คำพูดของเขาผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นนักบุญ ถึงจะไม่ชอบบ้างแต่ว่ามันก็นำความสุขหลาย ๆ อย่างมาให้ผม ดังนั้นการตอบแทนเหล่าคนที่คาดหวังและช่วยเหลือผมเพราะเรื่องพวกนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะกระทำแล้วไม่ใช่เหรอ
“บางครั้งด้วยฐานะอันยิ่งใหญ่นั่นทำให้เราหลงลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร จนมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดไป รู้ไหมคืออะไร?”
“คืออะไรงั้นเหรอคะ?”
มือของผมถูกจับแน่นมากขึ้น ภาพของออโรร่าที่สะท้อนในตาสีม่วงนั่นส่องประกายเจิดจ้าและแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ตัวของเรา สุขภาพของเราหรือยังความปลอดภัยของตัวเอง”
สายลมยังคงพัดมา แสงจันทร์ยังคงสาดส่อง แต่สิ่งที่เห็นได้แจ่มชัดที่สุดในความมืดของค่ำคืนนี้กลับเป็นรอยยิ้มของชายหนุ่มที่ผมเคยช่วยเอาไว้ในอดีตอย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับหวังดีกับผมที่สุด
“คิ ๆ”
ผมคิดทบทวนสิ่งที่เขาพูดออกมาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ความสุขแปลก ๆ ได้โผล่ขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก จริงอยู่ว่าผมพบกับความเป็นห่วงจากผู้คนมากมายแต่ด้วยฐานะนักบุญไม่ใช่ในฐานะออโรร่า
“หัวเราะอะไรงั้นเหรอ นี่ผมพูดอะไรตลกไปเหรอเปล่านะ? แต่ที่พูดมานั้นผมพูดจริงนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้ว”
มือสองข้างของผมได้ถูกปล่อยออกอย่างทำตัวไม่ถูกของไรน์ เขาพยายามพูดแก้ตัวไปมากับคำพูดของตัวเองที่พูดมา ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรก่อนแค่หันไปมองพระจันทร์อยู่พักหนึ่งแล้วหันมาหาเขา
“แค่รู้สึกว่าไรน์น่ะใจดีจังเลยนะคะ”
ใช่แล้ว ความรู้สึกเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมา ความอบอุ่นของเขาที่ส่งมาให้ยามราตรีอันแสนหนาวเย็นนี่มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับ…
“เหมือนกับพี่ชายเลยค่ะ”
จริง ๆ ผมเองก็ไม่ได้มีพี่มาก่อนเพราะเป็นลูกคนเดียว แต่การที่มีคนมาห่วงใยและเห็นเราเป็นตัวเองแบบนี้ เหมือนเหมือนกับว่าตัวเองนั้นมีพี่ชายที่น่าเชื่อถือได้เลยก็ไม่ปาน
“พี่ชายงั้นเหรอ?”
“ค่ะ ทั้งเป็นห่วงกันยามลำบาก ทั้งรู้จักกันมาแต่เด็ก หรือยังช่วยเหลือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากมายโดยไม่ได้ขอ นี่เหมือนกับคนในครอบครัวเลยค่ะ… จะให้พูดก็เป็นพี่ชายที่ขี้กังวลล่ะมั้งนะ”
วูบบบบ
สายลมพัดมาทำเอาผมสีขาวยาวของผมได้โบกพัดไปตามกับสายลม เมื่อผมที่ไหวไปมาได้ส่องสะท้อนกับแสงจันทร์ มันได้ส่องสว่างเป็นสีเงินระยิบระยับสวยงามราวกับดวงดาวที่ส่องประกายในยามค่ำคืน
ดวงตาของไรน์เบิกกว้างออก ภาพของผมที่ส่องสะท้อนพร้อมกับแสงจันทร์เบื้องหลังนั้นมันชัดเจนแจ่มเจ้งจากดวงตาสีม่วงของเขา มันช่างราวกับเป็นภาพที่ถูกเขียนมาอย่างดีโดยศิลปินผู้เลื่องชื่อ งดงามสมบูรณ์แบบไร้ข้อตำหนิใด ๆ
ตอนนั้นเองที่บรรยากาศของเราทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งแต่ผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าดวงตาขอองไรน์เริ่มเปลี่ยนไประหว่างสีแดงกับสีม่วง
“อ๊ะแย่แล้ว”
ผมที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปเอามือทั้งสองข้าสัมผัสที่หน้าของเขาอย่างแผ่วเบา ปากก็ร่ายพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้น แสงสว่างจาง ๆ ได้แผ่ไปยังตาทั้งสองข้างของเขาจนมันกลับมาเป็นสีม่วงสวยเหมือนเดิม
“ค่อยยังอชั่วหน่อย”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนมองซ้ายขวาว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ จึงยิ้มให้เขาอย่างวางใจ
“ไม่มีใครอยู่วางใจได้ค่ะ ถ้าเห็นกันขึ้นมาคงวุ่นวายน่าดู”
ดวงตาสีแดงของเขา แม้จะเป็นความเชื่อโบราณที่ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร แต่มันก็นำความโชคร้ายมาให้เขานับไม่ถ้วน และความโชคร้ายนั้นได้จบลงไปเมื่อหลายปีก่อน
“นั่นสินะ…ออโรร่าน่ะช่วยผมไว้เสมอเลยล่ะ ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วด้วย”
ไรน์ยิ้มกว้างออกมาอย่างเห็นได้ยากจากใบหน้าอันแสนหม่นหมอง ผมเองก็ประทับใจไม่ใช่น้อยกับการที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ยิ้มออกมาได้
“พี่ชายสินะ… แบบนี้สำหรับผม ออโรร่าก็เป็นเหมือนน้องสาวที่พึ่งพาได้ใช่ไหมเนี่ย”
“คิ ๆ อะไรกันคะ เมื่อครู่ยังบอกให้เราปล่อยวางภาระอยู่เลย ครั้งนี้จะให้เราเป็นที่พึ่งพาแล้วเหรอคะเนี่ย”
ผมพูดอย่างล้อเล่นสนุกสนาน มันช่างสบายใจเมื่อยามได้พูดคุยกับคนที่เราไม่ต้องปิดบังอะไรมากนัก แบบเดียวที่ผมได้คุยกับคุณพ่อ
“แย่เลยนะ อุตส่าห์พูดมาอย่างดีแต่ดันกลับคำแบบนี้… แต่ว่านะที่ผมพูดไว้น่ะมันจริงเสมอนะ หากรู้สึกเรื่องทั้งหลายมันหนักเกินไป อย่าแบกรับไว้คนเดียวเลย เพราะออโรร่าน่ะยังมีผมที่พร้อมช่วยเหลือเสมอนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณพี่ชาย~”
ผมพูดออกมาอย่างมีความสุข พลางหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างไม่ได้หัวเราะแบบนี้มาอย่างเนิ่นนาน มันคล้ายกับหลายสิ่งหลายอย่างที่แบกเอาไว้ได้ถูกปล่อยวางลงไป มันเป็นช่วงเวลาที่แสนสงบแล้วก็มีความสุขมาก
จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากคุยเรื่องสัพเพเหระบ้า ๆ บอ ๆ ของผม เขา และคุณพ่อว่ามีอะไรสนุก ๆ เกิดขึ้นมาบ้าง เรื่องราวออันแสนสนุกสุดธรรมดาเหล่านั้นแต่ก็มีค่ามากสำหรับผม
จบไปแล้วนะครับกับช่วงรวมอเวนเจอร์ หายไปนานเลยเจ้าไรน์ ถือซะว่าให้บทนายเต็มที่แบบไม่มีคุณป๋ามาขัดแล้วกัน เกือบจะไปได้ดีแต่เสียใจด้วยนะ เอาโซนคุณพี่ไปก่อนแล้วกัน