เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ผ่านพ้นไปพร้อมกับจิตใจอันแสนว้าวุ่นที่ไร้คำตอบให้กับตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อสองเด็กสาวผู้อยู่จุดสูงสุดของโรงเรียนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ มันก็ยังคงค้างคาในใจของผมเรื่อยมา
“เห้ออออ…… เรื่องจริงงั้นเหรอเนี่ย”
และอีกอย่างที่ค้างคาในใจ คือทั้งสองคนนั้นชอบใครกันแน่ระหว่างตัวผมที่เป็นผมหรือเด็กสาวผู้ที่พวกเธอบอกว่าน่ารักอย่างฟ้า แล้วถ้าตัวผมได้กลับสู่ร่างเดิมนั้น พวกเธอจะยังชอบอยู่เหรอเปล่านี่มันก็ยังสร้างความกังวลใจให้ผมไม่หาย
ทว่าสุดท้ายนั้นก็ได้แต่เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจเพราะมันไม่สามารถที่จะพูดออกไปได้เนื่องจากความลับที่สุดท้ายก็ต้องเก็บเอาไว้เรื่องที่ตัวเองนั้นจริง ๆ แล้วเป็นผู้ชาย ดังนั้นในท้ายที่สุดก็เลยได้แต่กลุ้มใจกับคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ ไม่สิ คำถามที่หากอยากได้คำตอบก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว
“เฮ้ ๆ นั่งหน้านิ่งอะไรอยู่เนี่ยยัยตุ๊กตา”
เสียงอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นมาเรียกสติของผมให้กลับมาอยู่ที่ปัจจุบัน ซึ่งนั่นไม่ใช่เสียงใครอื่นใดนอกจากเสียงของพี่ทิพย์ รุ่นพี่ประจำชมรมข่าวสารบ้านเมืองนั่นเอง ซึ่งตั้งแต่เข้าชมรมมาผมต้องบอกเลยว่ามันเป็นชมรมที่สุดมาก
ถามว่าสุดขนาดไหนนั้น…. ต้องบอกว่าตอนแรกผมก็คิดว่าจะเอาเรื่องซุบซิบมาคุยกันเฉย ๆ ที่ไหนได้ พวกนี้นี่แหล่งข่าวชัด ๆ ไม่ว่าจะแอบเข้าไปห้องอาจารย์เพื่อหาข้อมูลเรื่องชู้รักในแชทลับ ๆ ของเหล่าคุณครู หรือแอบอยู่ตามพุ่มไม้เพื่อสืบเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ไหนจะใครแกล้งใคร ใครเป็นหัวโจกแก็งคไหน ชมรมนี้ก็รู้หมดทุกอย่าง ไม่พอยังมีรูปถ่ายเป็นหลักฐานอีกต่างหาก
และถามว่ารู้ไปเพื่ออะไร…. มันรู้ไปเพื่อเอามาเมาทมอยกันนั่นล่ะ แต่ก็มีแอบเอาข่าวที่สืบมาได้ไปแลกเปลี่ยนกับข่าวใหม่ ๆ เหมือนกัน อารมณ์พวกขายข่าวในหนังนั่นล่ะ….. ใครจะไปเชื่อว่าชมรมแบบนี้มันจะยังอยู่ได้โดยครูยังไม่สั่งยุบ ยอมในความสุดของพี่ทิพย์แกจริง ๆ
“เอ่อ มีเรื่องอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
“แหม…เป็นเด็กเป็นเล็กก็มีเรื่องคิดมากซะแล้ว… ไม่สิ แต่ถ้าเป็นเธอละก็จะคิดหนักก็ไม่แปลกนี่นา จริงไหมพวกเรา”
“ใช่เลยพี่ทิพย์ ยัยตุ๊กตาของพวกเรา เล่นตกมาหมดทั้งเจ้าหญิงกับเจ้าชาย แบบนี้จะคิดหนักก็ไม่แปลก”
“แถมฉากสารภาพรักก็หวานแหววขนาดนั้น ไม่หนักใจว่าจะเลือกใครก็แย่แล้วล่ะ”
ตอนนั้นเองที่เพื่อนในชมรมคนหนึ่งพูดขึ้นมา ก่อนที่จะหยิบมือถือมาแล้วเปิดภาพฉากที่คุณน้ำและคุณบีมได้บอกชอบผม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแสง มุมกล้อง หรือท่าทาง ทุกอย่างล้วนถูกจัดอยู่ในจุดที่เพอร์เฟคจนแทบมันจะเหมือนฉากในหนังก็ไม่ปาน
“สนุกกันใหญ่เชียวนะคะ”
“แหม เรื่องแบบนี้นานทีมีหน จะพลาดการเมาทมอยเรื่องเด็ด ๆ แบบนี้ไป มันก็ไม่ใช่พวกเราชมรมข่าวสารสิ”
“แต่เราก็อยู่ชมรมข่าวสารนะ เมาทมอยคนในชมรมได้ด้วยเหรอคะเนี่ย”
“ก็ไม่ได้มีกฎไหนห้ามนี่นา แค่ห้ามขายข่าวคนในชมรมเท่านั้นเอง ฮ่า ๆ”
พี่ทิพย์พูดขึ้นมาก่อนหัวเราะอย่างสนุกปาก จากนั้นก็ไปกอดคอคนในชมรมอย่างร่าเริงแบบทุกที
“ประเสริฐมากเลยค่ะ พี่ทิพย์”
ผมได้แต่ถอนหายใจให้กับเหล่ามิตรสหายในชมรมที่ตอนนี้ดูจะเห็นเรื่องของผมเป็นเรื่องสนุกปากอันดับต้น ๆ ของพวกเขาในตอนนี้เลยก็ว่าได้ มีจังหวะเมื่อไหร่แทบจะแซวกันไม่หยุด อย่างกับเด็กน้อยเลยให้ตายสิ
“แล้วตกลงว่าเรื่องไปเที่ยวบ้านสองต่อสองกับยัยเจ้าหญิงนี่ไปถึงไหนบ้างแล้วอะ”
“นี่พี่ทิพย์รู้ได้ไงเนี่ย”
“เอ้า พวกชมรมศิลป์คุยกันให้แซ่บขนาดนี้ ไม่รู้ก็แปลกแล้วยัยตุ๊กตา ภาพนี่ก็ได้มาจากพวกนั้นด้วยนะ”
แก๊งคแม่ยกสินะ… ทำงานกันได้ดีจริง ๆ
“เรื่องนั้น….เห้อ….พูดแล้วก็หนักใจ ทางเจ้าตัวบอกว่าห้องกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเลยอยากให้รอก่อนน่ะ”
“ป๊าดดดด เปย์หนักจริงหนักจัง อะไรมันจะรักจะหลงขนาดนี้ มาทรงนี้สงสัยจะได้กินโต๊ะจีนฟรียกชมรมแล้วล่ะพวกเรา”
พี่ทิพย์พูดขึ้นเสียงสูงก่อนจะหันไปพูดคุยหยอกล้ออย่างสนุกสนานกับเหล่าตัวป่วนในห้อง ส่วนตัวผมนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความกังวลที่มีอยู่เต็มอก
“อย่าแซวกันจะได้ไหมคะ ไอ้เรามันก็ยิ่งกังวลอยู่”
“จะกังวลไรอะ มีสาวรวย สวย เลิศมาชอบแล้วยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีกเหรอยัยตุ๊กตา”
“ไม่สิพี่ทิพย์ อย่าลืมว่าไอ้สาวรวย สวย เลิศที่มาชอบยัยตุ๊กตาของพวกเราน่ะ ยังมีอีกคนนะ”
“ใช่ ๆ! อย่าลืมว่าตอนนี้ยัยตุ๊กตาของพวกเราไม่ได้มีแค่เจ้าหญิงคนเดียวที่มาชอบนะ ยังมีเจ้าชายบีมอีกคนที่ออกตัวแรงไม่แพ้กัน!”
เสียงจากเพื่อนในชมรมเพิ่มบรรยากาศสนุกสนานขึ้นอีกจนผมได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ ทำไมเรื่องของตัวเองถึงได้กลายเป็นหัวข้อเมาท์มอยของชมรมไปได้ถึงขนาดนี้กันนะ จะหันไปไหนก็เจอแต่สายตาจับจ้องของเหล่าพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในชมรมที่ดูสนใจความสัมพันธ์ของผมกับสองเด็กสาวราวกับเป็นละครสุดฮิตประจำโรงเรียน
“พี่ทิพย์คะ… แซวไปแซวมาแบบนี้ คนที่ถูกแซวนี่มันก็เขินเป็นนะคะ…อีกอย่างเรายังคิดไม่ตกกับเรื่องนี้อยู่เลย”
“มีอะไรให้คิดไม่ตกล่ะ เลือกไม่ถูกว่าจะเอาใครเหรอไงยัยรุ่นน้อง… เหรอนี่คิดเหมา ๆ กันล่ะ”
“ใช่ซะที่ไหนล่ะพี่ทิพย์!!!ขืนคิดแบบนั้นล่ะก็บาปตายชัก”
“บาปเบิปอะไร นรกมันก็แค่ชื่อน้ำพริก”
“แต่อ่าวไทยกับทะเลอันดามันมันเป็นสถานที่นะ!!! ลองคิดอะไรแบบนั้นดูสิ รับรองได้มีชายชุดดำมาพาไปทัวร์อ่าวแบบตั๋วไปไม่มีกลับแน่นอนค่ะ”
“เออ ไอ้นั่นมันก็จริงแฮะ แล้วสรุปนี่ที่กังวลคือเรื่องกลัวโดนถ่วงอ่าวเหรอ”
“ไอ้นั่นมันก็เรื่องนึงแต่ว่า…. ทำไมกันนะ ทำไมทั้งสองคนถึงได้มาชอบเราด้วยล่ะ มันจะเป็นไปได้จริง ๆ งั้นเหรอ”
จู่ ๆ ผมก็โพล่งขึ้นมาทำเอาคนในชมรมทั้งหลายโดยเฉพาะพี่ทิพย์หรี่ตามองแรงออกมา
“นี่อะไร ความกังวลของพวกเสน่ห์แรงเหรอ”
“ใช่ที่ไหนล่ะคะ เสน่ห์แรงที่ไหนกัน…ก็ไอ้เราน่ะมัน…….”
ไม่พูดอะไรมีแต่ก้มหน้าก้มตา พลางคิดถึงชีวิตของตัวเองในสมัยก่อนที่มีทั้งโดนแกล้งบ้าง โดนเมินบ้างจากเหล่าเพื่อนหลาย ๆ คน พอมาเป็นที่สนใจจากคนดังที่ทั้งสวยและมีเสน่ห์แบบนี้ก็ทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกลับไปเช่นไร
“ไม่ได้มีอะไรดีพอที่จะให้พวกเขามาชอบซะหน่อย”
ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็เอาแต่จมอยู่กับความคิดแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในใจก็ได้แต่ถามตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน หรือแค่ทั้งสองอยากแกล้งผม พอจะเอาเรื่องนี้ไปถามพี่อีฟ รถก็แทบคว่ำไปหลายสิบตลบจนไม่กล้าถามอะไรอีกเพราะกลัวจะไม่ได้กลับบ้านแบบครบสามสิบสอง
“เพราะงั้นก็เลยเอาแต่หลบหน้าหลบตาทั้งสองคนอยู่แบบนั้นสินะ”
“นี่พี่รู้?”
“โห ข่าวก่อนหน้านี้รู้ยันไส้ติ่ง กับแค่ข่าวว่าเด็กน้อยคนดังหลบหน้าหลบตาสองดาวดังของโรงเรียน ไม่รู้ก็เสียชื่อชมรมแย่ดิ ปกติชอบกินข้าวด้วยกัน นี่ก็ไปกินข้าวอยู่บนดาดฟ้าคนเดียว ไหนยังตอนขากลับก็แอบหลบหน้าหลบตารีบกลับไปตลอดอีก ของแบบนี้ใครไม่รู้ก็ตาบอดแล้ว”
เป็นจริงอย่างที่พี่ทิพย์ว่า หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา หากไม่ใช่ช่วงเวลาเรียนที่พวกเรานั่งติด ๆ กัน ผมก็แทบไม่ค่อยได้พูดคุยกับทั้งสองเท่าไหร่นัก เอาแต่ทำตัวติดอยู่กับพลอยเพื่อนรักอย่างเดียวจนเจ้าตัวเริ่มบ่น ๆ กลัวอ่าวไทยขึ้นมาตาม ๆ กัน
“ด้วยความเคารพนะจ๊ะ ฟ้า…. ถึงฉันจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่ก็รู้จักคำว่าอ่าวไทยเหมือนกันนะ เพราะงั้นขอร้องล่ะ อย่าพาฉันทัวร์เป็นเพื่อนเลยจะได้ไหมจ๊ะ”
เจ้าตัวว่ามาแบบนั้นน่ะ
ซึ่งมันก็จริง ช่วงนี้ผมสัมผัสได้ว่าทั้งคุณน้ำและคุณบีมนอกจากจะจ้องผมแล้วยังแอบเหลือบตามองพลอยที่อยู่ข้าง ๆ ผมอยู่บ่อยครั้งจนเจ้าตัวขนลุกวาบ ๆ อยู่บ่อย ๆ
“แล้วสรุปว่าหนีหน้าสองคนนั้นทำไมกันล่ะ ถ้าไม่ชอบใจก็บอกไปตรง ๆ มันก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง”
“ไม่ใช่หรอกพี่ทิพย์… เราแค่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหนก็เท่านั้นเอง…”
“ไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน?”
“อือ หลังเจอสารภาพไปแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบรับแบบไหน หรือจะต้องปฏิบัติด้วยอย่างไร แถมพอมองแล้วคิดถึงเหตุการณ์พวกนั้นเวลาเจอหน้าทั้งสองคน หน้ามันก็ร้อน หัวมันก็โล่งคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง สุดท้ายก็เลยกลายเป็นหนีหน้าไปซะแบบนั้นอะ”
“โห….ดูมันกังวล เป็นแม่ยอดนางเอกซีรีย์รักจากไหนเนี่ย แต่เอาเถอะถ้ากังวลว่าเรื่องที่ทั้งสองคนชอบนั้นจะเป็นเรื่องล้อเล่นล่ะก็…เดี๋ยวเจ้จะแถลงไขให้เองนะตุ๊กตาน้อย”
“แถลงไข…ยังไงคะ?”
ผมถามเสียงแผ่ว ทั้งไม่เข้าใจว่าพี่ทิพย์จะทำอะไร และหัวใจก็เริ่มเต้นแรงอย่างประหลาด ตอนนั้นเองที่พี่ทิพย์หันไปหยิบมือถือบนโต๊ะอย่างมั่นใจ ก่อนจะกดหน้าจอแล้วหันมาให้ทุกคนในชมรมดูผ่านจอโปรเจคเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับมือถือ
“เอาล่ะ ยัยตุ๊กตา มาดูกันหน่อยว่าเจ้าหญิงกับเจ้าชายของโรงเรียนทำอะไรไว้ให้สาวน้อยน่ารักของพวกเราบ้าง!”
ภาพแรกที่ปรากฏคือรูปถ่ายจากนิทรรศการศิลปะเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นในห้องสตูดิโอแห่งหนึ่ง มีแขกที่ดูเป็นคนรวยหรือคนดังมากมายมาเข้าเยี่ยมชม บรรยากาศภายในตกแต่งอย่างหรูหราประดุจงานไฮโซสักที่ ในงานเต็มไปด้วยผลงานศิลปะที่แฝงความละเอียดอ่อนในทุกชิ้น มีภาพวาดหลักขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นภาพของหญิงสาวผมดำในชุดสีขาว ท่ามกลางท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนที่ดูสดใสจนแทบจะได้กลิ่นอากาศยามเช้า
“งานนี้มีชื่อว่า Inspiration of Light หรือ ‘แรงบันดาลใจแห่งแสงสว่าง’ พี่ทิพย์พูดขึ้นพร้อมยื่นมือถือมาใกล้ผม “แล้วเธอรู้ไหมว่าคนที่เป็นแรงบันดาลใจของภาพนี้คือใคร…”
ดวงตาของผมเบิกกว้าง หัวใจเต้นถี่รัวจนรู้สึกว่ามันกำลังระเบิดออกมาจากหน้าอก ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดมาที่หน้าจนมันแดงร้อนยิ่งกว่ากระทะ
“ไม่จริง… นี่…ล้อเล่นใช่ไหมคะ?”
“ล้อเล่นก็แย่แล้ว” เพื่อนในชมรมพูดเสริมเสียงดัง
“งานนี้เจ้าหญิงประกาศโต้ง ๆ เลยนะว่าจัดขึ้นเพื่อขอบคุณคนที่เติมเต็มแรงบันดาลใจให้เธอ… ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเธอนั่นแหละ!”
ยังไม่ทันจะตั้งตัว พี่ทิพย์ก็กดเปิดภาพต่อไปให้ดู คราวนี้เป็นภาพหน้าสมุดสเก็ตช์ที่วาดด้วยลายเส้นนุ่มนวล เป็นภาพหญิงสาวในแสงแดดที่กระจายเป็นประกายอบอุ่น โดยที่ด้านข้างมีข้อความเล็ก ๆ เขียนไว้ว่า
‘โลกของฉันสว่างไสวขึ้นเพราะเธอ’
ผมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง หันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นเพื่อนในชมรมยิ้มกรุ่มกริ่มกันถ้วนหน้า เสียงแซวเบา ๆ ดังขึ้น
“โหย เจ้าหญิงจัดหนักจัดเต็มแบบนี้….นี่เขินแทนแล้วนะ!”
“ใจเย็นก่อนสหายสายเมาท์ทุกท่าน นั่นยังน้อย มาดูของเด็ดกว่านี้ดีกว่า”
แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร พี่ทิพย์ก็กดเลื่อนไปที่ภาพถัดมา คราวนี้เป็นกระปุกสีที่มีชื่อเขียนอยู่ว่า Blue Faah พร้อมข้อความที่แนบมากับกระปุกว่า
‘สีเฉดนี้จากรอยยิ้มของเธอ’
…….
“ได้ข่าวว่าเจ้าหญิงนั่งผสมสีอยู่นานสองนาน ตอนผสมก็เอาแต่จ้องรูปเธอไม่วางตา ผสมไปผสมมาก็ได้ไอ้สีกระปุกนั้นออกมานั่นล่ะ แถม ไม่ใช่แค่ตั้งชื่อสีใหม่ ยังเอาไปแจกในงานศิลป์อีกด้วย ได้ยินว่าสีนี้ขายดีสุด ๆ ในงานนิทรรศการด้วยล่ะ!”
“อึยยยยยยยย”
เสียงซุบซิบรอบข้างดังขึ้นอีก ผมรู้สึกเหมือนเลือดทั้งหมดในตัวไหลขึ้นมาที่หน้า แต่ยังไม่ทันตั้งตัว พี่ทิพย์ก็เลื่อนต่อ คราวนี้เป็นคลิปวิดีโอที่เปลี่ยนบรรยากาศจากศิลปะมาเป็นสนามกีฬา
“อันนี้เป็นคลิปที่คนในชมรมบุกไปสัมภาษณ์มาตอนได้ยินข่าวว่ามีคนในโรงเรียนเล่นเช่าเหมายิมใหญ่แถวกลางเมืองเอาไว้ ใครจะไปคิดว่าจะเจอของดีเข้าให้”
ในคลิปนั้นคือบีมที่เช่าสนามบาสเกตบอลทั้งสนามไว้ และยืนอยู่กลางสนามพร้อมลูกบาสในมือ แสงไฟรอบ ๆ สว่างไสวเหมือนงานโชว์ แม้ไม่มีคำพูดมากมายในคลิป แต่สิ่งที่เธอพูดตอนท้ายก็ดังชัดเจน
“จะเล่นบาสกันก็ได้… หรือถ้าชอบอย่างอื่น ฉันก็ยินดีจัดให้… แค่อยากให้เธอมีช่วงเวลาที่ดีที่สุด”
“อื้อหือ…ใจป้ำเวอร์!” เพื่อนในชมรมคนหนึ่งอุทานออกมา “
ผมยิ้มเจื่อน ๆ หัวใจเต้นแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะเมื่อเห็นรอยยิ้มอันเจิดจ้าของคุณเจ้าชายที่ราวกับอยากจะส่งมาให้กับใครบางคนโดยเฉพาะ แต่ยังไม่จบ พี่ทิพย์กดเล่นคลิปถัดไป เป็นภาพบีมเล่นกีตาร์ที่ห้องดนตรีของโรงเรียน ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก เสียงเพลงที่เธอเล่นไม่ใช่เพลงที่คุ้นเคย แต่มันเต็มไปด้วยความตั้งใจ และท้ายเพลงนั้น บีมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
‘ให้เธอคนเดียว คนที่ฉันอยากอยู่ใกล้ตลอดไป’
เสียงหัวเราะเบา ๆ จากเพื่อนในชมรมหยุดลง เหลือเพียงความเงียบงันและเสียงหัวใจของผมที่เต้นแรงจนแทบจะดังออกมา พร้อมกับหน้าตัวเองที่แดงแบบไม่รู้จะแดงให้มากกว่านี้อย่างไรแล้ว พอเห็นภาพทั้งหมดนี้ ฉากที่ทั้งสองสารภาพรักกับตัวเองมันก็พลันลอยขึ้นมาทำเอาได้แต่ก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้ามองหน้าใคร
“เอาล่ะ ยัยตุ๊กตา” พี่ทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมตบบ่าผมเบา ๆ “ทั้งหมดนี่คิดว่าเขาล้อเล่นอยู่ไหม?”
“มะ…ไม่ค่ะ”
ผมได้แต่ส่ายหน้า ในขณะที่หัวใจยังเต้นรัว ความอบอุ่นในอกปะปนกับความสับสน ทว่านั่นเองที่ทำให้ความกังขามันเริ่มหมดไปพร้อมกับคำถามว่าเรานั้นมันมีอะไรดีก็พลางเข้ามาแทนที่ แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เสียงประตูห้องชมรมก็ถูกเคาะรัว ๆ ทำเอาพวกพี่ทิพย์รีบเก็บของกันโดยพลัน
ภาพโปรเจคเตอร์ถูกเปลี่ยนเป็นภาพข่าวสารดังประจำวัน พวกเพื่อน ๆ พี่ ๆ ต่างหยิบคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาทำท่าเป็นอ่านอย่างตั้งใจก่อนที่พี่ทิพย์จะตะโกนออกไป
“เข้ามาได้ค่ะ ประตูไม่ได้ล็อค”
ตรงนั้นเองที่ประตูได้ถูกเปิดออก เผยร่างอันแสนคุ้นเคยทั้งสองร่างที่อยู่ช่องว่างของประตู นั่นคือคุณน้ำและคุณบีมที่ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองคนจ้องมองมาที่ผมกันเป็นทางเดียว ในแววตาของทั้งสองนั้นมันแฝงไปด้วยความเหงาหงอยและความคิดถึง ทำเอาผมรู้สึกใจหล่นวูบไปชั่วขณะด้วยความรู้สึกผิด
“ขอรบกวนด้วยค่ะ”
“เชิญ ๆ ไม่นึกว่าคนดังทั้งสองจะมาหากันถึงที่ มีธุระอะไรล่ะ ถ้าเรื่องย้ายชมรมล่ะก็หมดสิทธิ์แล้วนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ พอดีมีธุระกับคุณฟ้านิดหน่อยเลยคิดว่าถ้ามาหาที่นี่น่าจะได้เจอน่ะค่ะ”
“โห…..”
พี่ทิพย์แสยะยิ้มขึ้นพร้อมกับแอบสบตากับเหล่าคนในชมรมราวกับรู้กัน มือหนึ่งก็เตรียมมือถือพร้อมอัดเสียง อีกคนหนึ่งก็แอบหยิบกล้องพร้อมถ่ายรูป ทั้งหมดทำงานกันอย่างเป็นระบบจนมันน่าจับโยนไปหาอาจารย์ห้องปกครองซะให้หมด
“มิทราบว่ามีธุระอะไรกับตุ๊กตาประจำชมรมเราอย่างงั้นเหรอ”
“ค่ะ พอดีจะบอกคุณฟ้าว่าห้องเล่นเกมที่บ้านเราสร้างเสร็จแล้วเลยอยากจะชวนกันไปตามสัญญาน่ะค่ะ”
“อ๊ะ..เรื่องนั้น”
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ร่างของคุณน้ำก็พุ่งเดินตรงเข้ามา รังสีบางอย่างที่เธอปล่อยออกมานั้นทำเอาเหล่าคนในชมรมต่างถอยกรูดหลบกันออกไปประดุจเหมือนมีภัยพิบัติวิ่งผ่าน
แน่นอนว่าเป้าหมายของเจ้าหล่อนคงไม่ใช่ใครอื่น เมื่อรู้แบบนี้แล้วผมรีบมองซ้าย มองขวาหาทางหนีทีไล่ทว่า…..
ควับ
มือของผมถูกคว้าเอาไว้ จนสงสัยว่าเจ้าหล่อนต้องพุ่งตัวมาเร็วขนาดไหนกันถึงมาจับมือของผมที่อยู่ปลายห้องได้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือตัวของผมนั้นหนีไปไหนไม่ได้อีกต่อไปหลังจากที่หลบหน้าพวกเธอมาเป็นอาทิตย์
น้ำจับมือของผมไว้แน่น ใบหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาสีน้ำทะเลฉายชัดถึงความกังวล เธอไม่ได้พูดอะไรทันที แต่แค่การที่เธอจ้องมองมาโดยตรงก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสะกดให้อยู่กับที่
“คุณฟ้าคะ…” เสียงของเธอนุ่มนวล แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับมีความเศร้าสร้อยปะปนอยู่
“ทำไมช่วงนี้ถึงหลบหน้ากันล่ะคะ?เราทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า?”
“เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
ผมรีบตอบปฏิเสธ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนโดนแทงด้วยความรู้สึกผิดที่สะสมอยู่หลายวัน “เราแค่…กำลังสับสนอยู่น่ะ”
น้ำยังคงจับมือผมไว้ ใบหน้าของเธอขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเล็กน้อย “คุณฟ้าคะ ถ้ามีอะไร เราอยากให้เธอบอกเราได้นะคะ ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว เราเป็นเพื่อนกันนี่นา…ไม่สิ มากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ”
คำพูดนั้นทำให้ใจผมเต้นโครมครามจนแทบระเบิดออกมา ผมหลบสายตา หวังว่าเธอจะไม่เห็นว่าผมกำลังหน้าแดงเป็นมะเขือเทศอยู่
“พอดีว่า…ห้องเล่นเกมที่บ้านเราสร้างเสร็จแล้วค่ะ” คุณน้ำพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสดใสขึ้นเล็กน้อย “เราจำได้ว่าฟ้าสัญญาว่าจะมาสอนเราเล่นเกม ดังนั้น….เราเลยอยากมาชวนคุณฟ้าตามสัญญาค่ะ”
“อะ…เอ่อ”
ผมพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สมองกลับว่างเปล่า เหมือนว่าคำพูดทั้งหมดมันพากันหนีหายไป
“ถ้าฟ้าไม่อยากไป…ก็ไม่เป็นไรนะคะ”
คุณน้ำพูดแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าคำตอบของผมจะเป็นคำปฏิเสธ ใบหน้าของเธอที่เมื่อครู่ยังดูสดใสกลับเศร้าลงจนผมรู้สึกเหมือนโดนบีบหัวใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ!” ผมรีบพูดออกมาเสียงดังโดยไม่ทันคิด “เรายินดีไปค่ะ! ยินดีมาก ๆ เลยด้วย!”
แววตาของเจ้าหญิงเปลี่ยนไปทันที เธอยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ รอยยิ้มของเธอช่างสดใสจนทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ดูเหมือนจะอบอุ่นขึ้น ผมได้แต่ยืนตัวแข็งมองเธอพลางคิดในใจว่า…นี่เราพูดอะไรออกไปกันแน่
“ขอบคุณนะคะ คุณฟ้า” น้ำพูดเบา ๆ ก่อนจะกระชับมือของผมแน่นขึ้นเล็กน้อย “แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณฟ้า แต่ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน…เราก็ดีใจมากแล้วค่ะ”
“อื้อ…” ผมตอบรับเบา ๆ พลางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ
แต่แล้วเสียงกระแอมจากมุมห้องก็ทำให้ทั้งผมและน้ำสะดุ้ง
“แหม…ยัยน้ำรุกแรงเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงของบีมดังขึ้นมาพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาใกล้เราทั้งคู่ รอยยิ้มมาดมั่นของเธอทำให้ผมรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว
“คุณบีม…” น้ำพูดเบา ๆ แต่ยังคงจับมือผมไว้แน่น ส่วนผมนั้นก็หลบตาของคุณเจ้าชายที่เดินเข้ามาเพราะภาพที่เธอสารภาพในเย็นวันนั้นยังคงติดตาไม่เคยลืม
“อย่าหวงเลยน่า เราก็มีธุระกับฟ้าเหมือนกัน” บีมพูดพลางยื่นมือมาดึงแขนอีกข้างของผม “เราคิดถึงฟ้าเหมือนกันนะ รู้ไหม?”
“ดะ…เดี๋ยวค่ะ!” ผมร้องออกมาเสียงหลง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงไปทั้งสองทาง
“ขอโทษนะคะ คุณบีม….” น้ำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่หนักแน่น “ตอนนี้คุณฟ้ามีธุระกับเราอยู่ เพราะฉะนั้น..รอไปก่อนดีกว่านะคะ”
คุณบีมหรี่ตาเล็กน้อย รอยยิ้มมาดมั่นของเธอไม่หายไปไหน “แต่ฉันก็อยากจะคุยกับฟ้าเหมือนกัน จะไม่แบ่งเวลาให้หน่อยเหรอ? อาทิตย์ที่ผ่านมาแทบไม่ได้คุยกันเลยคิดถึงเสียงใส ๆ นี่จะแย่อยู่แล้ว”
ทั้งสองคนจ้องตากันเหมือนจะเปิดศึก ผมได้แต่มองซ้ายมองขวา หาทางหนีทีไล่แต่ก็หนีไม่ได้เพราะถูกจับไว้ทั้งสองข้าง
“แย่แล้ว…” ผมพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง หวังว่าใครสักคนในชมรมจะช่วยผมออกจากสถานการณ์นี้ แต่สิ่งที่ผมได้ยินกลับเป็นเสียงกระซิบกระซาบพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ของพวกพี่ทิพย์
“โอ้โห งานนี้มีแต่เด็ดกับเด็ด…ว่าแต่พี่ไม่ช่วยยัยตุ๊กตาหน่อยเหรอ”
“นั่นสินะ ปล่อยให้ตุ๊กตาน้อยของเราจัดการเองสงสัยได้มาปรับทุกข์กันอีกเป็นเดือนแหง ๆ ….. นี่ทั้งสองคนนั้นน่ะ!”
“มีอะไรเหรอคะพี่ทิพย์”
“ไงพี่ทิพย์”
เมื่อได้ยินเสียงของพี่ทิพย์ ทั้งสองคนก็หยุดปล่อยสายฟ้าใส่กันก่อนจะหันมามองที่เด็กสาวร่างเล็กซึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้
“ไหน ๆ ก็มีนัดเล่นเกมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นไม่เอาเกมที่ยัยนี่ชอบมาเป็นตัวตัดสินล่ะว่าใครจะได้เวลาส่วนตัวอันแสนมีค่าของยัยตุ๊กตาตัวน้อยของชมรมเราไป”
ล้อเล่นใช่ไหมพี่ทิพย์!!!!
ทั้งสองคนคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหันหน้ามามองกันสักพัก บรรยากาศกดดันระดับสูงได้ถูกแผ่ออกจากทั้งสองประดุจหนังการ์ตูนก็ไม่ปาน
“นั่นสินะคะ…. ปล่อยไว้แบบนี้มีแต่ทำให้คุณฟ้าต้องลำบากใจ”
“อ่า… อย่างที่เธอว่ามานั่นล่ะยัยน้ำ”
เดี๋ยว ๆ อย่าบอกนะว่าเอาจริงน่ะ ถามสุขภาพรางวัลอย่างผมสักคำจะได้ไหมว่าโอเคกับเขาเหรอเปล่า!!!!!
“ไหน ๆ คุณฟ้าก็จะไปเล่นเกมที่บ้านเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไปตัดสินกันที่นั่นแล้วกันค่ะ ตัดสินกันด้วยสิ่งที่คุณฟ้ารักและชื่นชอบ”
มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นซะหน่อยนะ!!!
“ไม่ได้ไปบ้านเธอมานานแล้วสินะ ได้ ถ้างั้นไปกันเถอะฟ้า เอาให้รู้ว่าใครกันแน่ที่คู่ควรกับเธอ”
ไม่รอช้า ทั้งสองก็ลากผมไปโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะกลัวว่าจะทำให้เห็นใบหน้าอันเศร้าหมองเมื่อครู่นั่นอีก เพราะไม่อยากรู้สึกผิดแบบนั้น สุดท้ายก็เลยได้แต่ปล่อยเลยไปตามเลย…
ส่วนพี่ทิพย์ที่เป็นตัวต้นเรื่องน่ะเหรอ ตอนนี้เอาแต่โบกมือลาอย่างมีความสุขพร้อมกับกดถ่ายภาพมือถือรัว ๆ ร่วมกับคนในชมรมไปเรียบร้อย
“โชคดีนะยัยตุ๊กตา เจ้รอฟังข่าวดีอยู่นะ”
“พี่ทิพย์!!!ฝากไว้ก่อนเถอะ!!!!”