บรรยากาศในตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนทั้งโลกนี้กำลังเงียบสงบลง และห้องศิลปะที่ผมอยู่กับคุณน้ำก็ดูราวกับเป็นโลกใบเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ นอกจากเราสองคน ใช่ โลกที่ถูกสร้างขึ้นมาผ่านการวางแผนอย่างแยบยลของใครสักคน
ผมเหลือบตามองดูเหล่าเงาข้างนอกที่ตอนนี้ยังคงเคลื่อนไหวไปมา แอบสอดส่องดูกันอย่างสนุกสนานประดุจเหล่าแม่บ้านในตลาดที่กำลังแอบดูละครฉากเด็ด แต่ว่าไม่ทันที่จะได้ว่าอะไรก็ต้องหยุดทุกอย่างเมื่อมือบางได้เคลื่อนมือมาหาผม ดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องมองมาทำเอาให้จิตใจนั้นว้าวุ่นไปหมด
“ถ้างั้น มาเริ่มกันดีกว่านะคะ”
ราวกับไม่สนใจเสียงนกเสียงกา ในแววตาของเด็กสาวตรงหน้าสะท้อนเพียงภาพของเด็กสาวผมสีดำเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟ้าตัวน้อย ๆ ที่กำลังสั่นเทาคนนี้นี่เอง
“ดะ….ได้”
ตอนนี้ในหัวของผมมันตื้อไปหมด เพียงแค่มือบางนั่นสัมผัสเบา ๆ สติที่เคยมีอยู่ก็เตลิดไปไกลก่อนจะจับผู่กันอย่างว่าง่ายแล้วเคลื่อนไปตามแรกของมือคุณน้ำที่ประคองมือของผมเคลื่อนไปมา
ในขณะที่ผมยังคงจับพู่กันแน่นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ คุณน้ำก็ยิ้มอย่างใจเย็น ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ร่างของพวกเราสัมผัสกันจนทำเอาตัวของผมเกร็งกระตุกไปชั่วขณะ
“ฟ้าคะ ไม่ต้องเกร็งนะคะ ปล่อยมือให้สบาย เดี๋ยวเราจะพาลากเส้นนี้เอง”
เสียงของเธออ่อนโยนเหมือนสายลมอันอบอุ่นที่พัดยามฤดูใบไม้ผลิ มันทำให้ใจของผมที่กำลังเต้นตึกตักอยู่ลึก ๆ คล้อยตามไปราวกับต้องมนต์สะกด
“อ่า…คะ…ค่ะ”
ผมพึมพำตอบอย่างขัดเขินและทำตามทุกอย่างอย่างว่าง่าย แต่ในใจนั้นแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
คุณน้ำค่อย ๆ ลากพู่กันไปตามเส้นของเธอ แต่ผมรู้สึกเหมือนจะไม่สามารถตั้งสมาธิได้เลยเมื่อมือของเราสัมผัสกันอย่างแนบชิดขนาดนี้ แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเธอที่ใกล้มาก ทำให้รู้สึกเหมือนทั้งหัวใจกำลังเต้นระรัวจนแทบควบคุมไม่ได้
“นี่ คุณฟ้าเคยวาดอะไรแบบนี้มาก่อนไหมคะ?”
น้ำถามขึ้นมาพร้อมมองตาผมด้วยแววตาที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นอย่างสดใส
“ไม่เคยเลย… เอ่อ… เราวาดเป็นแต่ก้างปลาเอง”
โอ้ยยยย นี่ตอบอะไรไปเนี่ย!!!
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเบา ๆ แบบยอมรับในฝีมือตัวเอง แต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้กับความซื่อบื้อตรงนี้ของตัวเองทว่าคุณกลับน้ำหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันค่ะ”
โอ้ย เขินนนนน
อายจริง ๆ อยากจะเอาหน้าตัวเองมุดปี๊ปให้ดิ้นตาย แล้วไหนคุณน้ำจะยังมาพูดแบบนี้อีก พลังทำลายล้างมันสูงเกินไปแล้ว แบบนี้หัวใจดวงน้อย ๆ นี้ของฟ้ามันจะรับไม่อยู่เอานะ!!!
ผมรู้สึกได้เลยว่าแก้มของตัวเองเริ่มร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมา แถมแสงแดดยามเย็นที่ทอผ่านหน้าต่างก็ทำให้บรรยากาศนี้ดูอบอุ่นขึ้นไปอีก แล้วอีกอย่างเหมือนผมจะได้ยินมันอย่างชัดเจนเลย เสียงถ่ายรูปจากข้างนอก แต่ว่าตอนนี้อะไรก็ช่างมันแล้ว เอาตัวรอดจากตอนนี้ให้ได้ก่อนเถอะ
“เอาล่ะ ลองวาดเส้นต่อไปนี้เองเลยนะคะ ไม่ต้องกลัว”
คุณน้ำค่อย ๆ ปล่อยมือจากพู่กันและจ้องมองด้วยสายตาเป็นกำลังใจให้ ผมเริ่มลากเส้นตามคำสอนอย่างเงอะงะ กล้า ๆ กลัว ๆ แต่พอจะหันไปเพื่อบอกว่าไม่ไหวก็มองเห็นคุณน้ำที่กำลังมองผมอยู่ด้วยรอยยิ้มเบา ๆ ทำเอาผมรีบหันกลับมาพยายามตั้งสติกับผู่กันในมืออีกครั้ง
แล้วจะวาดอะไรล่ะเนี่ย…..
ถ้าดูไม่ผิด เหมือนคุณน้ำจะขึ้นโครงเป็นรูปท้องฟ้าให้โดยวาดสีฟ้าเป็นพื้นให้ก่อน อาจจะเหลือแค่ผมวาดระบายสีขาวหรือสีน้ำเงินเข้มประดับประดาลงไปก็เป็นอันใช้ได้
หากคิดดี ๆ แล้วก็เหมือนราวกับเธออยากให้ผมได้วาดอะไรง่าย ๆ เพื่อพบกับความสำเร็จในการวาดรูป จะได้ทำลายความไม่มั่นใจที่มีอยู่ไป ซึ่งความห่วงใยที่เธอมีให้นั้นส่งผ่านภาพที่ร่างขึ้นมาได้อย่างชัดเจนจนอดทำให้ผมประทับใจไม่ได้
ผมค่อย ๆ ใช้พู่กันจุ่มสีขาวก่อนจะค่อย ๆ วาดเมฆลงไป แต่ด้วยความอ่อนด้อยในเชิงศิลป์ของตัวเอง แม้จะเป็นภาพวาดง่าย ๆ ก็ยังยากจนสีขาวที่ระบายลงไปนั้น แทนที่จะเหมือนเมฆที่ประดับประดาบนท้องฟ้ากลับกลายเป็นเพียงรอยเปื้อนภาพไปซะอย่างงั้น
“อืม…”
เสียงของคุณน้ำทำให้ผมหยุดระบายสีแล้วหันไปมองด้วยสีหน้าเหมือนนักเรียนที่ทำการบ้านพลาด และรอครูมาตรวจด้วยใจที่สั่นกลัว
เธอเพียงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ราวกับจะช่วยปรับแก้ไขความยุ่งเหยิงของผมให้กลายเป็นงานศิลป์ที่ดูดี เธอค่อย ๆ วางมือลงบนหลังมือของผมอีกครั้ง ให้สัมผัสที่อ่อนโยนแต่มั่นคง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ อย่างปราณี
“ไม่เป็นไรค่ะฟ้า แบบนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบนะ เหมือนฟ้าที่กำลังเปลี่ยนแปลง ยังไงก็ลองปล่อยอารมณ์แล้วระบายออกมาอย่างที่ใจคิดก็พอค่ะ”
รอยยิ้มของเธอที่เปี่ยมด้วยกำลังใจและไม่เคยมีแม้แต่เงาของการตำหนิ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผมพยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมทำตามที่เธอบอก ระบายสีขาวเพิ่มลงไปด้วยความระมัดระวัง แต่ในหัวใจก็ยังเต้นระรัวด้วยความเขิน
“โหย คนมีความรักจะอะไรก็ดูดีไปหมดเลยเนาะ”
“คุณเจ้าหญิงที่เคร่งกับความสมบูรณ์ยังยอมปล่อยผ่านขนาดนั้น นี่สินะความรักมันบังตา”
“แต่เอาน่า นี่มันฉากเด็ดเลยนะแก”
เสียงของเหล่าแม่ยกทั้งหลายต่างกรี๊ดกร๊าดดังออกมายิ่งเรียกให้ผมรู้สึกใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิมจากการตกเป็นเป้าสายตา แต่ตอนนี้จะทำอะไรก็ไม่ได้เพราะดูเหมือนคุณน้ำเองก็ไม่สนใจ ส่วนผมที่ตอนนี้หัวมันตื้อไปหมดก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไรดีเลยได้แต่ปล่อยเสียงเชียร์เหล่านั้นไป
ว่าแต่…. นี่มันแผนของพวกกองอวยหรือของคุณน้ำเองล่ะเนี่ย
“นี่ค่ะ ลองเพิ่มตรงนี้ดู”
คุณน้ำเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะนำพู่กันมาจุ่มสีแล้วเติมแต้มให้เล็กน้อยเป็นตัวอย่าง เส้นที่เธอสร้างนั้นดูอ่อนช้อยกว่า แต่สิ่งที่ทำให้ผมใจเต้นก็คือความใกล้ชิดระหว่างเราที่เธอเองดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมกลับตื่นเต้นจนแทบจะละลายไปแล้ว
“คุณฟ้ารู้ไหมคะ ว่าการวาดรูปน่ะคืองานอดิเรกที่เราชอบมากเลยค่ะ”
“ก็พอเดาได้อยู่…เพราะงั้นคุณน้ำถึงได้เข้าชมรมนี้ใช่ไหมล่ะ”
“ค่ะ เป็นแบบนั้นเลยค่ะ”
“พอบอกได้ไหมว่าเพราะอะไรถึงได้ชอบมันเหรอ”
ผมลองพยายามเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง เพราะจะปล่อยให้สุภาพสตรีเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาหมดมันคงจะไม่ใช่เรื่องที่บุรุษเช่นผมควรกระทำ ดังนั้นก็เลยเปิดถามไปแบบนั้น
“นั่นสินะคะ ถ้าจะถามว่าทำไมมันก็คงมีหลายเหตุผลอยู่นั่นล่ะค่ะ อย่างเช่นช่วงเวลาที่เราได้ใช้สมาธิจดจ่อกับการวาด มันก็ทำให้จิตใจเราสงบไปไม่คิดอะไรที่มันฟุ้งซ่านน่ะค่ะ”
“เฮ แบบนั้นเหรอ”
ทางฝั่งผมกลับตรงข้าม ยิ่งพยายามจะวาดสิ่งใดในหัวออกมามันก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตัวเองมันเลอะเทอะขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายสิ่งที่วาดออกมาก็แทบไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่บางทีคนที่มีความเป็นศิลปินอาจจะเห็นแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง
“และอีกอย่าง…..”
คุณน้ำเว้นจังหวะการพูดของตัวเองไปชั่วครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเธอนั้นเริ่มดูหวานหยดย้อยยิ่งกว่าน้ำผึ้งจนไม่ว่าใครฟังก็คงต้องใจละลาย
“อีกอย่าง?”
“บางครั้งการได้วาดในสิ่งที่เราชอบก็ทำให้เรามีความสุขไปด้วยนะคะ อย่างภาพท้อง “ฟ้า” นี่ไงล่ะคะ”
!!!!!
ไม่รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของผมมันเป็นอย่างไรแต่ว่าเลือดแทบทั้งร่างแทบจะพุ่งเข้ามารวมอยู่ที่หน้าที่เดียวจนผมรู้สึกได้เลยว่าหน้าของตัวเองนี้มันร้อนฉ่าราวกับกระทะถูกไฟเผา พอหันไปเพื่อจะพูดถามว่าเธอหมายถึงอะไรก็พบกับดวงตาสีฟ้าที่มองมาอย่างลึกซึ้ง ยิ่งทำเอาหน้าที่มันร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนขึ้นไปกว่าเก่า ตอนนี้สติทั้งหมดของผมได้แตกซ่านกระจายไปคนละทิศละทางเป็นที่เรียบร้อย
“ที่…ที่พูดมานั่นหมายถึงอะไรกันคะ”
“ก็หมายถึงรูปและสิ่งที่เราชอบไงล่ะคะ”
“อึยยยยยย”
ทันใดนั้น เสียงกระซิบแผ่ว ๆ ก็เล็ดลอดมาจากข้างนอกห้อง
“โอ๊ย ฟินนน! เจ้าหญิงรุกแรงไม่หยุดเลยแก!”
“ไม่แรงมันจะไปสู้เจ้าชายได้ไงล่ะ รายนั้นแล่นจับมือถือแขนซ้อมบาสเลยนะ”
ผมสะดุ้งเฮือก! แม่ยกทั้งหลายข้างนอกคงกำลังฟินเต็มที่ เหมือนพวกเธอได้ฉากเด็ดในนิยายรักสมใจ ว่าแต่สรุปรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณบีมนี่มันรู้ไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วงั้นเหรอ ฝีมือใครเนี่ยยยยย
“ว่าแต่คุณฟ้าคะ”
“มะ…มีอะไรงั้นเหรอคุณน้ำ”
“คุณฟ้ามีงานอดิเรกอะไรที่ชอบบ้างเหรอคะ”
“ทะ…ทำไมเหรอ”
“เราแค่อยากรู้เกี่ยวกับตัวคุณฟ้าเพิ่มขึ้น….ไม่ได้งั้นเหรอคะ”
น้ำเสียงออดอ้อนถูกส่งออกมาอย่างน่ารัก ดวงตาสีฟ้าสบเข้ามาด้วยแววตาร้องขอทำเอาไม่ว่าใครก็ยากที่จะปฏิเสธต่อคำถามนั้นของเธอ
“คะ..คือเราชอบเล่นเกมน่ะ”
“เล่นเกม?”
“พ…พวกตีดอท ตีเอลหรือเกมไฟท์ติ่งน่ะ….อ๊ะ”
แย่แล้วไง นั่นมันเกมเด็กผู้ชายเลยไม่ใช่เหรอ ตายแล้ว ๆ เผลอปากไปหน่อย แบบนี้ดูน่าสงสัยแหง ๆ เลย
“เห… นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าคุณฟ้าจะมีด้านนี้ด้วย เหมือนเด็กผู้ชายเลยนะคะ นึกว่าจะชอบอะไรน่ารัก ๆ กว่านี้ซะอีก”
ซวยแล้ว ๆ แบบนี้มีหวังทั้งคุณน้ำแล้วก็พวกแม่ยกได้มีสงสัยด้วยแน่เลย เอาไงดี ๆ
“แต่แบบนั้นก็น่ารักดีเหมือนกันค่ะ”
คุณน้ำพูดขึ้นมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะประหลาดใจหรือตะขิดตะขวงใจอะไรกับสิ่งที่ผมพูดเมื่อครู่นี้เลยสักนิด กลับกันเธอยังคงจับมือแล้วยิ้มออกมากว้างกว่าเดิม
“เอ๋..น่ารัก?มะ…ไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ”
“ถึงจะผิดจากที่คิดไปบ้าง แต่โรงเรียนเราก็มีหลายคนที่ชอบเล่นเกมหรือบางคนมีไปแข่งงานแข่งเลยก็มีนะคะ เพราะงั้นงานอดิเรกที่คุณฟ้าชอบน่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกนะคะ”
นี่ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย!!!
อาจเพราะมาจากโรงเรียนชายล้วนแบบไม่เคยได้สัมผัสเหล่าหญิงสาวมาก่อนในชีวิต ดังนั้นสังคมของพวกเธอจึงมีเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น นี่นับเป็นเรื่องใหม่ในคลังความรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตแบบสาวน้อยของผมเลยก็ว่าได้
“การทำสิ่งที่เราชอบน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือต้องอายอะไรหรอกนะคะ”
มือบางนั้นค่อย ๆ เคลื่อนมาประสานมือของผมที่วางอยู่ตรงเก้าอี้อย่างช้า ๆ ก่อนที่มืออีกข้างของเธอจะยกขึ้นมากุมมือของผมอย่างอ่อนโยน พร้อมกันนั้นก็มอบรอยยิ้มจนผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อีกฝ่ายพยายามส่งมาให้
“แต่ได้รู้มุมมองที่ไม่เคยเห็นแบบนี้ของคุณฟ้านี่ เราก็ดีใจเหมือนกันนะคะ ไว้ว่าง ๆ เราลองมาเล่นเกมด้วยกันดีไหมคะ”
“อะ…เอ๋ คุณน้ำเล่นเกมด้วยเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ… ไม่เคยเลย เพราะงั้นเมื่อถึงเวลานั้นคุณฟ้าช่วยสอนเราด้วยนะคะ”
คำพูดนั้นทำเอาให้รู้สึกหัวใจนี้มันอบอุ่นขึ้นมาไม่ใช่น้อย มันราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามเข้าใจในตัวเรา มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เพราะปกติแล้วเพื่อที่จะเข้ากับสังคมในโรงเรียน ส่วนใหญ่ผมนั้นจะเป็นฝ่ายที่พยายามปรับเข้าหาคนอื่น แต่พอมีคนที่พยายามเข้าหาเช่นนี้มันก็รู้สึกดีเหมือนกัน
“ดะ..ได้เลย เราพร้อมสอนคุณน้ำเสมอ เดี๋ยวเอาเครื่องเล่นเกมมาแล้วเรามาเล่นกันนะ”
“ได้แบบนั้นก็ดีไปเลยค่ะ”
เมื่อตกปากรับคำไปแบบนั้น ในใจผมก็ได้แต่สงสัยว่าโรงเรียนแห่งนี้มันอนุญาตให้เอาเครื่องเกมมาเล่นได้หรือเปล่า มันจะไม่ผิดกฎเอาเหรอ
“ถ้างั้นต้องใช้อะไรบ้างก็บอกนะคะ เดี๋ยวเราให้คนที่บ้านเตรียมไว้รอ วันหยุดคุณฟ้าก็มาสอนเราที่บ้านนะคะ”
“เอ๋ เอ๋ บ้านของคุณน้ำงั้นเหรอ มะ…มันจะไม่เป็นการรบกวนไปหน่อยเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ อย่างที่บอกไปว่าสำหรับเราแล้วการได้ใช้เวลากับฟ้าน่ะ ไม่ว่าจะอะไรก็ไม่เป็นการรบกวนทั้งนั้นค่ะ”
คำพูดนี้ผมได้ยินมาแล้วไม่รู้กี่สิบครั้งในตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่พวกเรารู้จักกัน ทุกครั้งเธอจะบอกว่ายินดีช่วยเสมอ ทุกครั้งเธอจะบอกว่าไม่เป็นการรบกวนเธอเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่จริงพวกเราเองก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน
ความปรารถนาดีและสิ่งต่าง ๆ ที่เธอทำให้มันทำให้หัวใจของผมรู้สึกผองโตแต่ว่าก็เต็มไปด้วยความสงสัย ความสงสัยแบบเดียวกับตอนที่ได้เคยออกปากถามคุณบีมไป
“ทำไมกันคะ…. ทำไมถึงได้…..”
“คะ?”
“ทำไมถึงได้ทำดีกับเราแบบนี้ล่ะคะ… พวกเราน่ะเพิ่งรู้จักกันได้แค่อาทิตย์เดียว ไม่สิ แค่เพียงวันแรกคุณน้ำก็ทำดีกับเราแล้ว….”
คุณน้ำชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำถามของผม ดวงตาสีฟ้าสดใสที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งมองผมอยู่ราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่าง รอยยิ้มที่มักปรากฏบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนหวานและอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม มือของเธอยังคงกุมมือผมไว้แน่น ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นแผ่มาจากมือนั่นจนรู้สึกมันได้อย่างชัดเจน
“เพราะว่า…ฟ้าเป็นคนที่น่ารักค่ะ” เธอพูดเบา ๆ แต่น้ำเสียงนั้นก็ยังคงหนักแน่น
“น่ารัก…เหรอคะ?” ผมกระพริบตางง ๆ เพราะคำนี้มันเป็นคำที่ผมได้ยินจากปากเธออยู่บ่อยครั้ง ส่วนคุณน้ำหัวเราะเล็กน้อยพลางส่ายหน้าราวกับกำลังขำในความเขินอายของผม
“ใช่ค่ะ ฟ้าน่ารักมาก… น่ารักจนเราอดไม่ได้ที่จะอยากอยู่ใกล้ ๆ อยากดูแล แล้วก็อยากทำให้ฟ้ามีความสุขไปเรื่อย ๆ แบบนี้”
หัวใจของผมเต้นรัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ความร้อนแล่นขึ้นมาจนรู้สึกว่าหน้าของตัวเองต้องแดงอยู่แน่ ๆ แม้สมองพยายามจะบอกให้พูดตอบอะไรออกไปสักอย่าง แต่กลับทำได้เพียงอ้ำอึ้งไปมา คุณน้ำยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนจะค่อย ๆ เอียงใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นจนผมแทบจะหยุดหายใจ
“คุณฟ้าคะ…” เสียงเรียกของเธอเบาและอบอุ่น
“รู้ไหมคะว่าเราน่ะมีความสุขแค่ไหนเวลาที่ได้อยู่กับคุณฟ้า เพียงแค่ได้พูดคุยกันก็หัวใจเต้นแรง เพียงแค่ได้จับมือก็หัวใจพองโต เพียงได้แค่มองหน้าก็รู้สึกว่าทั้งโลกมันสดใส…..ทั้งหมดนั้นมันทำให้เรารู้สึกมีความสุขมาก ๆ เลยค่ะ”
“ตะ….แต่เรารู้จักกันได้แค่อาทิตย์เดียวเองนะคะ ของแบบนี้มัน…”
มันจะเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ กับการที่ใครสักคนจะชอบคน ๆ หนึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์น่ะ
“มันเป็นไปได้สิคะ ตั้งแต่แรกที่เราได้เห็นคุณฟ้าที่สั่นเทาอย่างกับลูกนกตัวน้อย ๆ ตั้งแต่ที่เราได้พูดกันในเช้าวันนั้น เสียงใส ๆ ที่ได้ยิน….. คุณฟ้ารู้ไหมคะว่าหัวใจนี้มันเต้นแรงแค่ไหน”
เธอค่อย ๆ เคลื่อนมือของเธอมาสัมผัสที่อกของตัวเองอย่างช้า ๆ พร้อมกันใบหน้านั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีเจิดจ้าดุจพระอาทิตย์ในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น คุณน้ำมองตรงมาที่ผม ดวงตาสีฟ้าของเธอประกายอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น ค่อย ๆ เอียงใบหน้าเข้ามาใกล้จนใจของผมแทบหยุดเต้น มือของเธอที่ยังจับมือผมอยู่แน่น ขยับน้อย ๆ ราวกับต้องการถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดผ่านสัมผัสนี้
“ฟ้าคะ…..ฟ้าน่ะคือความสุขของเราค่ะ เพราะงั้น… เราอยากบอกให้ฟ้ารู้ว่าเรา…”
ราวกับโลกนั้นหยุดหมุนไปชั่วขณะ มีเพียงแค่ดวงตาสีน้ำทะเลที่สะท้อนสีฟ้าของท้องฟ้ามองกลับมา สายตาคู่นั้นดูอบอุ่น อ่อนโยน และลึกซึ้งจนผมรู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไปในโลกใบเล็ก ๆ ที่มีเพียงเรา เธอยิ้มบาง ๆ ให้กับผม ก่อนที่เสียงหัวใจของผมจะดังขึ้นในความเงียบของโลกที่มีเพียงเราสอง
“ชอบฟ้ามาก ๆ ค่ะ เราอยากให้ฟ้าอยู่ข้างเราตลอดไป”
**********************************************
เอาล่ะน้ำ เจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว บทหวานซึ้ง ๆ กับเด็กสาวที่น่ารักคนนี้ เช่นนั้นถึงเวลาปล่อยตัวประกันอย่างนักเขียนตาดำ ๆ คนนี้ได้แล้ว!!!!