ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดของตัวเองที่มีอยู่ก่อนจะพูดออกไปตรง ๆ กับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า นี่มันคงเป็นความกล้าทั้งหมดในชีวิตที่ตัวผมผู้แสนจะขลาดเขลาคนนี้พอจะรวบรวมมันมาได้
“สำหรับเรื่องเมื่อวาน…. เราขอเวลาคิดอีกหน่อยนะคะ”
ผมพูดไปพร้อมด้วยร่างที่กำลังสั่นอย่างกับลูกนก ความกลัวในหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นการทำให้คนอื่นผิดหวังหรือเสียใจ หรือแม้แต่อ่าวไทยมันทำเอาทำแค่คิดก็ทำร่างสั่นไปทั่วร่างแล้ว
ตุบ ๆ
มือนุ่ม ๆ ได้ยื่นออกมาก่อนจะลูบหัวผมอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ตามมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและความอบอุ่น
“อืม… เอาแบบที่ฟ้าสบายใจเถอะ สำหรับฉันในตอนนี้น่ะ แค่ฟ้ารับรู้ความรู้สึกก็เพียงพอแล้วล่ะ”
“เรื่องนั้น….”
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไปสักอย่าง มันราวกับว่าตัวผมเองไม่สามารถตอบสนองต่อความหวังดีเช่นนี้ได้ คิดแบบนั้นมันก็ทำเอารู้สึกจิตใจมันหม่นหมองลงไปแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะมือบางนั่นได้ประคองหน้าของผมขึ้นมาโดยใบหน้านั้นก็ยังคงยิ้มให้เช่นเดิม
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิฟ้า ฟ้าน่ะเหมาะกับรอยยิ้มน่ารัก ๆ นะ”
อึกกกก
อะไรมันจะหล่อได้หล่อดีขนาดนี้นะคุณบีม ให้ตายสิ แบบนี้มันช่างอันตรายต่อหัวใจจริง ๆ ยิ่งแบบนั้นล่ะทำให้ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษงก ๆ รัว ๆ ทว่าไม่ทันจะได้พูดอะไรก็มีเสียงมาขัดพวกเราซะก่อน
“แหม ทั้งสองคนสนิทกันจังเลยนะคะ”
วูบบบบ
น้ำเสียงอันเสียงนุ่มนวลน่ารักดุจกระดิ่งแก้วที่กังวาลทว่าเมื่อฟังแล้วไม่รู้ทำไมกับรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งสันหลังประดุจกำลังถูกจ้องด้วยฆาตกรโรคจิตจากหนังสยองขวัญ ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกก่อนหันหลังไปอย่างตกใจก็พบกับเด็กสาวผมสีทองที่แสนคุ้นเคยกำลังยิ้มให้อยู่
“เมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นเหรอเปล่าคะ?”
ใบหน้านั้นยังคงถามมาด้วยรอยยิ้มแต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าดวงตาสีฟ้าสวยนั่นกลับไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลยสักนิด ดวงตานั่นยังคงจับจ้องมาที่ผมและคุณบีมซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพที่เอ่อ…เหมือนคู่รักในหนังรักโรแมนติก มือก็ประคองหน้า ตาก็สบกัน ยิ่งทำเอาผมขาสั่นเข้าไปใหญ่ ในใจก็พยายามคิดว่าจะพูดอะไรดีแต่ว่าตอนนั้นเองที่คุณบีมก็ถอยมือของตัวเองออก
“นิดหน่อยน่ะ….”
“นิดหน่อยสินะคะ”
“อืม”
ทั้งสองจ้องหน้ากันโดยไม่พูดอะไรมาก ใบหน้าสวยของสองผู้อยู่จุดสูงสุดของโรงเรียนต่างยิ้มให้กันอย่างราวกับเพื่อนรักที่มีมิตรไมตรีต่อกันแต่ตานั้นช่างสวนทางมันเหมือนกับดวงตาของทั้งคู่กำลังยิงลำแสงต้านกันไปมาตลอดเวลา
“เอ่อทั้งคู่คือว่า….”
“แล้วฟ้าว่าอย่างไรบ้างล่ะคะ”
นี่สรุปรู้อยู่แล้วนี่นา!!
คำพูดเมื่อครู่นี้มันบอกชัด ๆ เลยว่าคุณน้ำรู้อยู่แล้วว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น นี่อะไร พี่ทิพย์แอบเอาเรื่องของผมไปเมาท์มอยงั้นเหรอ ไม่สิ เรื่องนี้น่าจะยังไม่ถึงหูพี่ทิพย์….
ติ๊ด ๆ
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ตอนนั้นเองที่มือถือของผมดังขึ้นก่อนที่จะมีข้อความส่งมาจากพี่ทิพย์ ผมจึงกดไปที่ข้อความนั้นเพื่อเปิดดู…แค่นั้นล่ะปิดแทบไม่ทัน
ใช่ รูปนั้นมันเป็นรูปของผมกับคุณบีมที่อยู่ในช่วงที่เธอได้สารภาพรักกับผม และด้วยฝีมืออันเลิศล้ำของช่างกล้องที่ถ่ายมันมา ไม่ว่าจะมุมกล้องหรือแสงต่าง ๆ กลับถูกจัดไว้เป็นอย่างดีราวกับฉากจากหนังเกาหลีก็ไม่ปาน
โห น้องชมรมฉัน เด็ดใช้ได้นี่หว่า หมดคาบเรียนเอามาเมาท์ด้วยนะ คนในชมรมอยากฟังกันจะแย่แล้วเนี่ย
แล้วนี่ไปเอาภาพมาจากไหนก่อนนน!!!… ไม่สิ ส่งมาทำไมตอนนี้!!!!
“เห… ภาพสวยดีนะคะ”
เสียงอันเย็นเยียบดังขึ้นมาจากที่ด้านหลังทำเอาผมรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทั้งร่าง คล้ายมีใครจับผมโยนไปอยู่แถวขั้วโลกเหนือแล้วทะลุไปต่อขั้วโลกใต้แบบต่อเนื่องเลยทีเดียว
“สวยมากเลยล่ะ… นี่ฟ้าฝากส่งให้ทีนะ จะเอามาตั้งเป็นหน้าจอมือถือน่ะ แบบนี้จะได้เห็นหน้าน่ารัก ๆ ของฟ้าทุกวันไง”
โอ้โห ไฟมันยังไม่แรงพอเหรอคุณบีม ทำไมต้องราดน้ำมันเข้ากองไฟด้วยเนี่ย!!! แต่นั่นล่ะ ผมก็ได้แต่ส่งภาพจากพี่ทิพย์ต่อไปให้คุณบีมแบบกล้า ๆ กลัว ๆ สายตาของคุณน้ำที่จับจ้องมาอย่างไม่วางตา
กริ้งงงงง
ทว่าก่อนที่สงครามมันจะดุเดือดไปมากกว่านี้ เสียงสวรรค์มันก็ได้ดังขึ้น เสียงกริ่งเป็นการบอกเริ่มคาบเรียนพร้อมกับการเดินเข้ามาของอาจารย์ประจำคาบทำให้เวลาแห่งการพักยกได้มาถึง
ทว่าการเรียนใช่ว่าจะเป็นไปได้อย่างสงบสุข เพราะตอนนี้ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงสายตาทั้งหลายที่จ้องมาทางผม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ๆ คุณบีม หรือคุณน้ำ ยิ่งรายหลังนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแทบจะหาโอกาสมองมาที่ผมทุกครั้งที่มีโอกาสเลยทีเดียว
นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย… มันเกิดอะไรขึ้น..
จนจบวัน สถานการณ์มันก็วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ คุณน้ำกับคุณบีมต่างเข้ามาคุยกับผมแบบไม่มีใครยอมใคร แถมยิ่งทั้งสองคนใกล้กันก็ยิ่งเหมือนมีประกายไฟที่ถูกจุดขึ้นตลอดเวลาจนผมได้แต่สงสัยถึงไอ้สถานการณ์ที่ช่างราวกับนิยายนี่ว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างไร
“นี่มันอะไรกันเนี่ย…วุ่นวายตั้งแต่ต้นวันยันจบวันเลย”
“แหม ดูพูดเข้าสิคุณนางเอกของพวกเรา”
“อย่าแซวจะได้ไหม”
ตอนนี้ผมกับพลอยซึ่งลงวิชาเลือกเสรีเดียวกันหรือก็คือจัดสวนถาด กำลังเดินกลับมาที่ห้องของตัวเองหลังจากจบวิชาซึ่งพวกเราวางแผนว่าจะเตรียมของสำหรับทำสวนถาดกันคร่าว ๆ แต่ว่าตลอดทาง พลอยดูเหมือนจะสนุกสนานกับการแซวผมไม่หยุดแบบนี้
“แหม ก็ใครใช้ให้ฟ้าเสน่ห์แรง ตกได้ทั้งเจ้าหญิงกับเจ้าชายของโรงเรียนกันล่ะ”
“เห้อ…. ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด”
“เครียดอะไรกัน ออกจะดีไม่ใช่เหรอ”
“ลองมาเจอเองมันแล้วจะรู้อะพลอย เหมือนเดินกลางดงระเบิดเลย”
“เวอร์ไปปะ”
ไม่ได้เวอร์เกินไปเลยสักนิด ทุกย่างก้าวที่พูดคุยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอาฆาตจากอีกฝ่ายแบบไม่คิดเก็บเอาไว้ แน่นอนว่ามันไม่ได้เล็งมาที่ผม แต่แค่วิ่งผ่านหน้า มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ขนลุกขนพองสยองเกล้า
“แล้วนี่สรุปตอบคุณเจ้าชายไปว่าไงบ้างอะ”
“ก็บอกขอเวลาคิดก่อนน่ะ”
“โห… นางเอกสุด ๆ”
“ก็ของแบบนี้มันปุปปับเกินไปนี่นา แล้วนี่ก็เพิ่งรู้จักกันได้อาทิตย์เดียวเอง ของแบบนี้…. มันจะไปรู้ได้ไงล่ะว่าควรจะตอบรับไงดี อีกอย่างเราก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่”
“แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่ารักแรกพบ โรแมนติกสุด ๆ”
ใครจะไปคิดว่ายัยพลอยจะเป็นคนที่เสพติดเรื่องรักใคร่ ๆ แบบพวกนิยายรักเอาเรื่อง ตั้งแต่ผมเผลอเล่าเรื่องที่คุณบีมสารภาพรักมาตอนเธอถามว่าเกิดอะไรขึ้นนี่ก็พูดเรื่องนี้กันแทบจะตลอดเวลา แถมแม่คุณยังมีพูดเสริมนู่นนี่นั่นตลอดอีก
“แต่ก็นั่นสินะ.. อีกฝ่ายก็บอกเองนี่ว่าค่อยเป็นค่อยไป ไว้รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ค่อยพูดไปก็ไม่เสียหาย”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ไลฟ์โค๊ชพลอย”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งจ้า…. อ๊ะ”
“มีอะไรเหรอ?”
“เหมือนเราจะลืมของที่ห้องเรียนน่ะ ฟ้ากลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราไปเอาของแปปนึง”
“อ่า ได้ ๆ”
จู่ ๆ พลอยที่เหมือนจะลืมของก็แยกตัวออกไปโดยพวกเราโบกมือลากันสักพัก นั่นทำให้ผมต้องกลับมาเดินเตร็ดเตร่คนเดียวอีกครา……และปัญหาตอนนี้ก็คือ….
“แล้วเราอยู่ไหนแล้วเนี่ย…..”
ผมมองไปรอบ ๆ ตัวเองที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาคารจำนวนมากประดุจเขาวงกตซึ่งมองแล้วก็แทบไม่รู้เหนือรู้ใต้ เส้นทางก่อนหน้านี้ก็ให้พลอยเป็นคนนำ พอที่พึ่งหายไปก็เท่ากับผมหลงทางไปโดยปริยาย…. เศร้า
ลองเดินไปรอบ ๆ ก่อนแล้วกัน
จะถามทางคนอื่นก็ไม่กล้าคุยกับคนที่ตัวเองไม่รู้จัก สรุปก็เลยได้แต่เดินมั่วไปมั่วมาอยู่อย่างงั้นและตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งทักขึ้น
“น้องคนนั้นน่ะ หลงทางเหรอ”
“เอ่อใช่ค่ะ รู้ได้ไงเหรอคะ”
“อืม ๆ เห็นด้อมมอง ๆ อยู่ตั้งนานคิดว่าน่าจะหลงแหละ ถ้าจะกลับไปอาคารหลักก็เดินตรงไปแล้วเลี้ยวทางนั้นนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
โชคดีจัด ๆ
ว่าแล้วผมก็เดินตามทางที่รุ่นพี่คนนนั้นบอก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเดินกลับยิ่งหลงคล้ายว่าที่รอบ ๆ แทบไม่คุ้นตากว่าเดิมและซ้ำร้ายไปกว่านั้น อาคารนี่ผมแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน… หรือว่าพี่แกชี้ทางผิดหว่า
และตอนนั้นเองระหว่างที่กำลังสับสนหาทางออกไม่ได้ ตาของผมก็มองไปเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย
เส้นผมสีทองที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นเปล่งประกายราวกับเส้นไหมทองคำ กำลังไหวเอนเบา ๆ ตามการขยับของเจ้าของร่างที่กำลังนั่งจรดพู่กันลงบนผืนกระดาษอย่างตั้งใจ
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างนั้นถูกกลืนหายไป มีเพียงเธอคนเดียวที่ดูโดดเด่นท่ามกลางแสงสีส้มอ่อน ๆ ที่ทอดยาวลงมาจากหน้าต่าง โอบล้อมเธอให้ดูราวกับเป็นภาพวาดที่ใครบางคนบรรจงวาดขึ้นมาด้วยความพิถีพิถัน
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เงียบสงบของเธอ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่กระดาษตรงหน้าอย่างมีสมาธิ ดวงตาสีน้ำทะเลอันสงบเงียบที่สะท้อนแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ฉากตรงหน้าแทบทำเอาผมลืมหายใจไปชั่วขณะ
เสียงจรดพู่กันลงบนกระดาษเบา ๆ ราวกับท่วงทำนองของดนตรีที่ทำให้บรรยากาศสงบเงียบนี้ดูน่าหลงใหล จนมันทำให้ผมเผลอก้าวเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว แม้จะกลัวการทำลายความเงียบสงบนี้ แต่ก็หยุดตัวเองไม่ให้ขยับเข้าหาเธอไม่ได้ จนกระทั่ง…
น้ำเงยหน้าขึ้นมาพบกับผม ดวงตาสีฟ้าที่สะท้อนแสงนั้นหันมามอง พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ใจผมเต้นแรงกว่าเดิม
“คุณฟ้า?… มีธุระอะไรที่ห้องศิลปะหรือเปล่าคะ?”
คุณน้ำถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลในขณะเดียวกัน สติของผมก็กลับมาอีกครั้ง และเมื่อได้จ้องใบหน้าที่ตอนนี้ถูกประดับไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นจนราวกับภาพวาดนั้นก็ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกขึ้นมาและเผลอตอบไปอย่างก้ง ๆ ว่า
“อ่า… คะ คือ… เราหลงทางน่ะ”
นี่เราพูดอะไรไปเนี่ย… รู้ถึงไหน อายถึงนั่น
“หลงทาง? ฮิ ๆ แบบนี้นี่เอง”
คุณน้ำทวนคำเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและหัวเราะออกมา ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าหงอย ๆ พร้อมกับปิดหน้าของตัวเองด้วยความเขินอาย
“หลงทางในโรงเรียนแบบนี้ น่าอายสุด ๆ ไปเลยค่ะ”
“อย่าว่าแบบนั้นสิคะคุณฟ้า โรงเรียนเราก็ออกใหญ่ คุณฟ้าก็เพิ่งมาไม่นาน จะหลงทางก็ไม่แปลก”
เหมือนเด็กสาวตรงหน้ากำลังพยายามปลอบผมอยู่ ซึ่งนั่นมันก็พอช่วยได้บ้างเล็กน้อยแต่ว่าตอนนั้นเองที่เธอใช้มือบางข้างที่ว่างอยู่ตบเบา ๆ ที่เก้าอี้ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ตัวเอง
“เดี๋ยวเราวาดรูปเสร็จจะพากลับห้องนะคะ ระหว่างนั้นมานั่งพักก่อนดีกว่าค่ะ”
“เอ่อ…จะดีเหรอ จะรบกวนเปล่า ๆ นะ”
“ถ้าสำหรับฟ้าแล้วไม่มีอะไรที่รบกวนทั้งนั้นค่ะ…เพราะงั้น…มาเถอะค่ะ”
คุณเจ้าหญิงยังคงพูดเน้นย้ำเช่นเดิม นั่นทำให้ผมได้แต่พยักหน้ารับเพราะขืนปฏิเสธไปมันคงดูไม่ค่อยดีต่อความหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้เท่าไหร่ พอตัดสินใจได้แบบนั้นก็เดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ คุณน้ำอย่างว่าง่าย
เมื่อนั่งลงกับเก้าอี้ก็มองเห็นสิ่งที่เด็กสาวกำลังวาดอยู่อย่างชัดเจน ภาพตรงหน้านั้นมันคือภาพของท้องฟ้าอันแสนกว้างใหญ่ซึ่งถูกประดับประดาไปด้วยหมู่เมฆสีขาวมากมาย และด้านใต้นั้นคือท้องทะเลสีฟ้าซึ่งสะท้อนสีฟ้าของท้องฟ้านั่นอยู่
“สวยมากเลยค่ะ”
“คะ?”
“เอ่อ หมายถึงรูปน่ะค่ะสวยมาก ๆ เลย”
ถึงแม้ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องศิลปะเท่าไหร่ แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าผลงานตรงหน้านั้นผ่านการวาดและลงสีอย่างพิถีพิถันขนาดไหน และก็ยังบ่งบอกความสามารถที่มีมากมายของคนตรงหน้าได้อีกด้วย
“ถ้างั้นจะลองวาดดูหน่อยไหมคะ?”
“อะไรนะคะ?”
คำชวนที่อีกฝ่ายพูดมาทำเอาผมแทบสะดุ้งเฮือก เพราะหากให้พูดแล้วนั้น ฝีมือด้านศิลปะของผมมันจัดอยู่ในขั้นพินาศเอามาก ๆ พินาศระดับที่ว่าวาดก้างปลาออกมายังบิดเบี้ยวดูจนแทบไม่ออก
“เอ่อ… เราออกจะไม่ค่อย..ถนัดด้านนี้เท่าไหร่ คงไม่ดีหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรายินดีสอน…นะคะ”
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน อีกทั้งมือข้างหนึ่งก็เคลื่อนมาจับมือเล็ก ๆ ของผมอย่างเบาเป็นเชิงขอร้องอย่างจริงจัง นั่นทำให้ผมยิ่งประหม่ามากขึ้นกว่าเดิม
“แต่มันออกจะเป็นการรบกวน…ไปหน่อย”
“อย่างที่บอกค่ะว่าถ้าเพื่อคุณฟ้าแล้ว เรายินดีเสมอ”
“แต่เราวาดเป็นแค่ก้างปลา”
“ยินดีสอนค่ะ….จับมือสอนเลยก็ได้นะคะ”
คำทิ้งท้ายของเธอนั้นพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มประดุจสัตว์นักล่าที่เผลอโผล่ร่างออกมาเพียงชั่วขณะก่อนที่มันจะกลับเป็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนอีกครั้งหนึ่ง
“ก็ได้ค่ะ ว่าแต่มันจะไม่เป็นการรบกวนคนอื่น….”
“คนอื่นที่ไหนเหรอคะ?”
หา……
เมื่อเธอพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมหันไปมองรอบ ๆ ก็พบว่าตอนนี้ทั้งห้องนั้นมีเพียงแค่ผมกับเธอนั่งก็อยู่เพียงลำพังสองคนเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อครู่จำได้ว่ายังมีคนอยู่นี่นา..แล้วนี่จู่ ๆ หายไปไหนกันหมด
“นี่ ๆ นั่นตุ๊กตาห้องสามใช่ไหม”
“ใช่ ๆ น่ารักแบบนี้เหมาะกับเจ้าหญิงเราเลย”
“ได้ข่าวเจอคุณเจ้าชายรุกหนักแล้วด้วยแบบนี้คุณน้ำต้องรีบทำแต้มแล้วล่ะ”
เฮ้ย…..!!!
ใช่ เมื่อเงี่ยหูฟังดี ๆ แล้วจะได้ยินเสียงจากข้างนอกดังเข้ามา เสียงของเหล่าสาวน้อยที่พูดกันไปมาประดุจเหล่าแม่บ้านดูละครหลังข่าวนั้นมันได้ยินอย่างชัดเจนและที่พูดกันก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของผมเสียด้วย…..
“ถ้างั้นตอนนี้ก็เวลาสวยเลยสินะ”
“ใช่ ๆ อย่าให้พลาดเชียวนะคุณน้ำ เราเอาใจช่วยอยู่”
ชัดเจนเลยนี่มัน……
พวกแม่ยกนี่หว่า!!!
“คุณฟ้าคะ…. มาค่ะ เดี๋ยวเราพาวาดเองนะ”
มือของคุณฟ้ากำแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเว้าวอนจนยากที่ใครจะกล้าปฏิเสธ
“คุ้มแล้วที่ลงทุนไปลากมาล่ะนะ”
“เยี่ยมมากเลยประธาน แบบนี้เจ้าหญิงเรามีหวังแน่นอน”
น้ำเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาคือคนที่ถูกเรียกว่าประธาน ซึ่งเสียงนั้นช่างคล้ายกับรุ่นพี่ที่ผมเจอตอนหลงทางแบบไม่มีผิดเพี้ยน….
ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ หัวของผมมันก็ประติประต่อเรื่องราวต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ปริศนาที่บอกทางผิด คนในชมรมที่จู่ ๆ ก็ลุกหนีกันไปแทบราวกับนัดกันมา แล้วไหนยังฉากบรรยากาศสวยงามที่ราวกับจัดวางมาอย่างดีนี่อีก
ชัดเลย…..
ผมโดนเหลี่ยมมมมมมมมมมมม
**************************************************************************************+
แหม ๆ ฟ้าคิดมากไปเองน่า ทั้งหมดมีแต่เรื่องบังเอฺญทั้งนั้นแหละ ไม่มีอะไรในก่อไผ่หรอก