[โอ๊ย เหนื่อยจัง!]
ผมพูดทันทีที่กลับถึงบ้าน แล้วก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา โดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า
วันนี้ผมเหนื่อยมาก
สาเหตุก็คงหนีไม่พ้น การกินข้าวเที่ยงกับรุ่นพี่คาบูรากิ
ถึงผมจะรู้สึกขอบคุณ ที่ได้กินของอร่อยๆ แต่การอยู่กับเธอสองต่อสอง มันก็ทำให้ผมประหม่า
แถมยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนพักเที่ยง ที่ปกติผมจะใช้พักผ่อน
พักเที่ยงมีไว้ เพื่อให้หายเหนื่อยจากคาบเรียน แล้วเตรียมตัวเรียนต่อตอนบ่าย แต่ถ้าช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ผมเครียดที่สุด ผมก็คงไม่มีสมาธิเรียนคาบบ่าย
ผมตั้งใจเรียนไม่ได้เลย ในคาบที่ 5-6… โชคดีที่อากิระให้ผมยืมสมุด
[ต้องรีบจดให้เสร็จ ก่อนพรุ่งนี้… เฮ้อ…]
ถึงจะรู้ แต่ผมก็ไม่มีแรงทำอะไร
ผมนอนแผ่หลา บนโซฟา
[รุ่นพี่คาบูรากิ…]
ทำไมเธอถึงเลือกผมนะ?
ไม่ใช่เหตุผลบ้าๆ อย่างเรื่องชีวิตรอบ2 แต่เป็นเหตุผลที่… สมเหตุสมผลกว่านั้น…
… การได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี สำหรับการเขียนนิยาย
ประสบการณ์…
คำพูดของรุ่นพี่ ตอนพักเที่ยง มันติดอยู่ในใจผม
ตอนนั้น รุ่นพี่บอกว่า การทำกิจกรรมชมรม เป็นประสบการณ์ แต่… อาจจะมีอย่างอื่นด้วย
เช่น… [เด็กหนุ่มม.ปลาย ที่โดนรุ่นพี่ ที่เป็นถึงนักเขียนชื่อดัง ขอแต่งงาน ทั้งๆ ที่เธอมีชีวิตมาแล้ว 2 รอบ แถมยังเคยเป็นภรรยาของเขา ในครั้งก่อน]
รุ่นพี่เป็นนักเขียน ถึงผมจะไม่เคยอ่านนิยายของเธอ แต่เธอก็อาจจะเขียนนิยาย ด้วยพล็อตแปลกๆ แบบนี้
วันที่ผมไปชมรมวรรณกรรมครั้งแรก บนโต๊ะมีกระดาษเยอะแยะ รุ่นพี่บอกว่า เธอกำลัง [หาไอเดีย]
รุ่นพี่อาจจะคิดพล็อตไม่ออก เลยลงมือหาข้อมูลเอง ผมอาจจะเป็น… หนูทดลอง เพื่อให้นิยายของเธอ ออกมาดีที่สุด
ถ้างั้น ที่อากิระบอกว่า ผมถูกเลือกแบบสุ่ม ก็คงไม่ถูก
อย่างน้อย มันก็สมเหตุสมผลกว่า เรื่องข้ามเวลามาเยอะ
ถึงจะ… ผิดหวังนิดหน่อยก็เถอะ…
[กลับมาเเล้ว~…เอ๊ะพี่จ๋า?]
เสียงใครบางคน ขัดความคิดของผม
ผมเพิ่งสังเกตว่า ข้างนอกมืดแล้ว ห้องนั่งเล่นก็มืดสนิท ผมมัวแต่คิด จนไม่ได้สังเกต หรือบางที ผมอาจจะเผลอหลับไป
[ได้ยินเสียงหายใจ… พี่จ๋า!]
ไฟในห้องนั่งเล่นเปิดขึ้น
ผมตกใจ รีบเอามือปิดหน้า… แล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ ที่เหมือนเอือมระอา
[พี่จ๋า ถ้ามัวแต่นอนตรงนี้ ระวังจะเป็นหวัดนะ?]
[… มานากะ กลับมาแล้วเหรอ]
[อรุณสวัสดิ์ค่ะ]
เด็กผู้หญิงที่ยืนยิ้ม มองผม ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ คือ ฮิโนมิยะ มานากะ
น้องสาวจอมแก่น ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ต่างจากพี่ชายขี้เกียจ ที่ไม่ได้เข้าชมรมอะไร เธอเป็นนักแสดง ที่โด่งดังในชมรมการละคร
ถึงจะเป็นน้องสาวผม แต่ผมก็ยอมรับว่า เธอเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มแสดงละคร ตอนเข้า ม.ต้น แต่เธอก็แสดงได้อย่างโดดเด่น ไม่แพ้รุ่นพี่ ผมไม่ใช่มืออาชีพ เลยพูดอะไรมากไม่ได้ แต่เธอรู้วิธีดึงดูดความสนใจ ได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่ละครเวทีเรื่องแรก ชื่อเสียงของมานากะ ก็โด่งดังไปทั่ว แม้แต่ผมที่อยู่ ม.3 ก็ยังได้ยิน ในชมรม เธอเป็นเหมือนดาวรุ่ง มีแฟนคลับมากมาย… น้องสาวผมนี่มันสุดยอดจริงๆ
[ไม่เคยเห็นพี่จ๋านอนกลางวันเลย แถมยังใส่ชุดนักเรียนอยู่ด้วย ถ้าเป็นหนู พี่จ๋าต้องบ่นหนูแน่ๆ!]
[ฉันไม่ได้บ่นสักหน่อย]
[พี่จ๋าบ่นหนูบ่อยจะตาย บ่นยิ่งกว่าพ่อแม่อีก]
[ก็พ่อแม่ตามใจเธอมากเกินไป ฉันเลยต้องบ่นแทน]
[ตามใจมากเกินไป?]
[มะ… มากเกินไป]
มานากะหัวเราะ เหมือนเด็กๆ
ที่โรงเรียน เธออาจจะเป็นนักแสดงชื่อดัง แต่สำหรับผม เธอก็เป็นแค่น้องสาวจอมซน ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ เวลาอยู่กับผม เธอคงไม่จำเป็นต้องแอ๊บ หรือ… เธอคงไม่อยาก เสียเวลากับการเอาใจผม… ทั้งๆ ที่ผมไปดูละครเวที ที่เธอแสดง ทุกเรื่องแท้ๆ
[มีอะไรเหรอคะ?]
มานากะเอียงคอ เมื่อเห็นผมจ้องเธอ
เธอนั่งคุกเข่า เท้าแขนกับโซฟา… เหมือนตั้งใจจะนั่งแช่อยู่ตรงนั้น
[… ขอโทษนะ แต่พี่ขอ นอนต่ออีกหน่อย พี่เหนื่อย]
[โห พี่จ๋าเนี่ยนะ? คนที่ไม่ได้เข้าชมรม ว่างตลอดเวลา จะเหนื่อย?]
เป็นน้องสาวที่แสนตรงไปตรงมา ที่ไม่เคารพพี่ชาย เลยสักนิด
[ฝันดี]
[เดี๋ยวก่อนสิ! อย่านอน ทั้งๆ ที่มีน้องสาวน่ารักๆ อยู่ตรงหน้าสิ!]
ผมพลิกตัวหนี เพื่อไม่ให้เห็นหน้าเธอ และแสงไฟ
แต่มานากะก็รีบเขย่าตัวผม
[อย่านอนนนน!]
[นอนกลางวัน มันก็ไม่ผิดนี่… ว่าแต่… เธอชมตัวเองว่าน่ารัก เนี่ยนะ?]
[แน่นอนสิ! หนูไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่… การที่หนูเป็นน้องสาวที่น่ารักของพี่จ๋า มันเป็นความจริง ที่ใครๆ ก็รู้]
มานากะพูดอย่างมั่นใจ แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรักน้องสาว อะไรขนาดนั้น
[… ว่าแต่ พี่จ๋า ไม่สบายรึเปล่า? เป็นหวัด…? ถ้าเป็นหวัด อย่าแพร่เชื้อมานะ! หนูไม่เหมือนพี่จ๋า หนูยุ่งมาก]
ตอนแรกผมรู้สึกซาบซึ้ง ที่เธอเป็นห่วงผม [เธอช่างเป็นเด็กดี] แต่… มานากะก็ยังเป็นมานากะ อยู่วันยังค่ำ
[อ่า ขอโทษ พี่คงไม่เป็นไร ปล่อยพี่ไว้คนเดียวเถอะ…]
[หา? พี่จ๋าไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ? จะให้หนูเอายามาให้ไหม? ไปหาหมอไหม? วัดไข้ก่อน!]
[มานากะ?]
มานากะคงสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของผม เธอเลยเป็นห่วง แล้วก็วิ่งไปหยิบปรอทวัดไข้
ผมไม่ได้เป็นไข้ แค่เหนื่อย
[นี่ค่ะ พี่จ๋า! วัดเลย!]
[อืม…]
มานากะวิ่งกลับมา พร้อมกับยื่นปรอทวัดไข้ให้ผม ผมเลยต้องลุกขึ้นนั่ง แล้วก็วัดไข้
มานากะมองผม ด้วยสีหน้ากังวล
[… 36.2 องศา ปกติดี]
[ปกติ? ดีจัง…]
[พี่บอกแล้วไง ว่าพี่ไม่เป็นไร แค่เหนื่อย]
[หืมมม… แต่ไม่ค่อยเห็นพี่จ๋าเป็นแบบนี้… เฮ้อ! เป็นห่วงฟรี!]
พอรู้ว่าผมไม่ได้เป็นไข้ มานากะก็นั่งลงข้างๆ ผม
เธอนั่งชิดมาก… พอรู้ว่าไม่ติดโรค เธอก็เปลี่ยนไปเลยนะ
[แต่… พี่จ๋ายังดูแปลกๆ]
[เหรอ…]
[พี่จ๋า นี่ พี่จ๋า!]
[อะไร?]
[หืมมม… พี่จ๋า ปกติพี่จ๋าจะ… นี่ หนูเรียกพี่ว่า ‘พี่จ๋า’ นะ?]
[… เธอต้องเรียกพี่จ๋าว่า ‘พี่’สิ]
[ใช่! แต่พี่จ๋าไม่พูด หนูเลยคิดว่า พี่จ๋าคงแย่แล้ว]
[นี่มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?]
มานากะเรียกผมว่า [พี่จ๋า] ผมว่ามันฟังดูเด็กๆ ไม่เหมาะกับเด็ก ม.ต้น เลยพยายามแก้ให้เธอทุกครั้ง
แต่เมื่อกี้… ผมไม่ได้สังเกตเลย สงสัยผมจะมัวแต่คิดถึงรุ่นพี่คาบูรากิ
[พี่จ๋านี่ ชอบเรื่องแปลกๆ จริงๆ เลย]
[แปลก? ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าการเรียก ‘พี่จ๋า’ มันแปลก ฟังดูเด็กเกินไป]
[ก็หนูเป็นเด็กนี่]
[อย่าดันสิ!]
มานากะดันไหล่ผม อย่างสนุกสนาน
เธอยังคง เต็มไปด้วยพลัง ทั้งๆ ที่น่าจะเหนื่อยจากการซ้อมละคร แต่พอกลับถึงบ้าน เธอก็ดูไม่เหนื่อยเลย
แต่… ถึงเธอจะอยู่ ม.2 แต่เธอก็เพิ่งจะเลิกสะพายกระเป๋า เมื่อปีที่แล้วเอง
ตอนนี้เธออยู่ในช่วง เปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ดีกว่าเมื่อก่อน ที่เธอจะร้องไห้ ถ้าไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา แต่เธอก็ยังคงอยากอ้อนผมอยู่
แต่ช่วงนี้เธอก็เริ่ม ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ อีกไม่นาน เธอคงจะเข้าสู่วัยต่อต้าน แล้วก็ไม่มาอ้อนผมแบบนี้แล้ว
[นี่ มานากะ]
[อะไรเหรอ?]
[เธอ… มีแฟนรึยัง?]
[หา?]
น้ำเสียงของเธอ ดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที
[ทำไมหนูต้องตอบพี่จ๋าด้วย?]
[เปล่า ไม่มีเหตุผล แค่สงสัย]
[อย่ามายุ่ง น่าขยะแขยง]
[อึก]
เธอพูดจาเย็นชา แล้วก็หยิกผม ผมเจ็บ!
ผมก็รู้นะ ว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ควร แต่… การที่เธอไม่สนใจเลย มันก็… เอ่อ…
[ก็… หนูน่ารัก เป็นที่นิยม ก็มีคนมาชอบบ้าง… แต่น่าเสียดาย ที่หนูยังไม่มีแฟน]
อ๊ะ เธอยอมตอบผมด้วย
[ทำไมล่ะ?]
[ก็… ถึงมีคนมาสารภาพรัก แต่หนูก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แบบ… แฟนคนแรก ต่อให้เลิกกัน เขาก็ยังเป็นแฟนคนแรก หนูไม่อยากคบกับใคร แบบขอไปที]
[แบบนั้นเหรอ?]
[ก็… รักครั้งแรก จูบแรก มันเป็นสิ่งที่พิเศษ หนูว่าหลายๆ คน ก็คงคิดแบบหนู]
[ฟังดูเป็นปัญหา ของคนมีทางเลือกเยอะนะ]
[หึๆๆๆ พี่จ๋าไม่มีใครมาชอบนี่?]
[มะ… ไม่มีทาง…]
ถึงจะไม่มีใครมาสารภาพรัก แต่…
(รุ่นพี่ จริงจังกับการแต่งงานกับผมเหรอครับ?)
(อืม จริงจังสิ)
[อะ…]
นั่น… ถือว่าเป็นคำสารภาพรักรึเปล่านะ?
… ไม่สิ! ผมเพิ่งจะคิดได้ ว่าเธอแค่สังเกตปฏิกิริยาของผม เพื่อเอาไปเขียนนิยาย! นั่นมันเหมือน… การสารภาพรัก แบบเกมลงโทษ ถ้าผมคิดจริงจัง ผมคงเสียใจทีหลัง!
[อะ… อะไรเหรอ? พี่จ๋า? มีอะไรในใจรึเปล่า?]
[ปะ… เปล่า ไม่มีเลย สักนิด!]
[ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย?]
[ฉันไม่ได้ขึ้นเสียงสักหน่อย ก็พูดปกติ]
[น่าสงสัยยยย น่าสงสัย น่าสงสัย น่าสงสัย!]
[หยุดนะ! อย่ามาดัน!]
ผมพยายามห้ามน้องสาว ที่จู่ๆ ก็อาละวาด
ผมนั่งอยู่ริมโซฟา โดนมานากะกับพนักพิง หนีบอยู่ ลุกไม่ได้
แต่ถ้าผมหนี สถานการณ์คงแย่กว่าเดิม
[พี่จ๋า สารภาพมา!]
[จู่ๆ พูดอะไรเนี่ย!?]
[ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ! แบบว่า… พี่จ๋าเป็นนักเรียนม.ปลายแล้ว เลยทำตัวเป็นผู้ใหญ่ คงคิดเเต่เรื่องผู้หญิง จนน้ำลายไหล]
[ไม่ได้คิด!]
ผมรีบปฏิเสธ เพราะไม่อยากเชื่อว่าเป็นแบบนั้น
ถ้าแค่คิดถึงเธอ ผมก็ น้ำลายไหล แล้วถ้าอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่คาบูรากิ ผมคง…
แต่เธอก็อาจจะ หัวเราะ แล้วก็ไม่สนใจ
[แล้ว ฉันไปคิดเรื่องผู้หญิงตอนไหน?]
[หนูรู้น่า หนูรู้ว่าพี่จ๋าคิดอะไรอยู่ หนูเป็นน้องสาวพี่จ๋ามาตั้งนาน จะไม่รู้เหรอ?]
[… เรียกฉันว่า ‘พี่’]
ให้ตายสิ… ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว
เธออายุน้อยกว่าผม 2 ปี แต่เธอก็มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิง มากกว่าผม ผมไม่มั่นใจว่าจะรับมือเธอได้
[เอาล่ะ ฉันง่วงแล้ว ไปล้างข้าวกล่องดีกว่า!]
[เดี๋ยวก่อนสิ พี่จ๋า! อย่าเปลี่ยนเรื่องหนี!]
[ฉันไม่ได้หนี แล้วก็ เธอต้องเรียก ‘พี่’]
[น่ารำคาญ]
ผมไม่สนใจมานากะ แล้วก็เดินไปที่ครัว เพื่อล้างข้าวกล่อง จริงๆ แล้ว รุ่นพี่คาบูรากิ เป็นคนกินข้าวกล่องนี้หมด
ปกติผมจะล้างจาน พร้อมกับของพ่อแม่ แต่… ผมต้องหาทางหนีจากมานากะ
(ว่าแต่… ตะเกียบคู่นี้ รุ่นพี่ใช้แล้วนี่)
ผมหยิบตะเกียบออกมา แล้วก็นึกขึ้นได้
พอนึกแบบนั้น ตะเกียบก็ดู… พิเศษขึ้นมา… มะ… ไม่ได้หมายความว่า ผมจะ เลีย หรืออะไรแบบนั้นนะ
[มองตะเกียบทำไม?]
[เฮ้ย!? มานากะ!?]
[ตกใจอะไร? หนูก็อยู่นี่ตลอด]
[อ่า… ก็… จริงด้วย…]
ดูเหมือนว่าเธอจะตามผมมา
ผมมัวแต่คิดว่าหนีพ้นแล้ว แล้วก็มัวแต่สนใจตะเกียบที่รุ่นพี่ใช้ เลยลืมเธอไปเลย
[แล้วก็… พี่จ๋า ทำตัวน่าสงสัยมากเลยนะ เมื่อกี้]
[น่าสงสัย? ก็แค่… มีคราบติดอยู่]
[หืมมม?]
ผมแก้ตัว พลางล้างข้าวกล่อง
ผมโทษรุ่นพี่ไม่ได้ ผมทำตัวเอง แต่ถ้าผมยังคิดถึงรุ่นพี่คาบูรากิ แม้กระทั่งตอนอยู่บ้าน ผมก็คงไม่มีที่สงบใจแล้ว ผมต้องตั้งสติ ใจเย็นๆ
[ว่าแต่ มานากะ เธอเองก็น่าสงสัยนะ ปกติเธอจะ เล่นนู่นเล่นนี่ ไม่ใช่เหรอ?]
[หนูกำลัง สะกดรอยตามพี่จ๋า อยู่ต่างหาก… แต่ถ้าจะสะกดรอยตาม หนูก็เลือก คนที่น่าสนใจกว่านี้ดีกว่า]
[เล่นมุกอะไรของเธอ…]
[หนูไม่เคยพูดคำว่า ‘สะกดรอยตาม’ บ่อยขนาดนี้มาก่อนเลย]
ช่างเถอะ
[เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว พี่จ๋า ดู Connec รึยัง?]
[เรื่องอะไร?]
[พ่อกับแม่ส่งมา พี่จ๋าคงไม่ได้ดูสินะ พวกท่านบอกว่า จะกลับบ้านดึก ให้พี่จ๋าหาข้าวเย็นกินเอง]
[เหรอ งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้ออะไรกิน]
[แล้ว… เรื่องนั้นน่ะ!]
มานากะเข้ามาใกล้ผม ผมกำลังล้างจานอยู่นะ… เกะกะ
[พี่จ๋า ทำข้าวเย็นให้หน่อย!]
หาาาาา…
[ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย? พี่จ๋าทำอาหารเป็นนี่!]
[ฝีมือฉันไม่ได้ดีขนาดนั้น… แล้วก็ ต้องไปซื้อของก่อน เหนื่อย…]
[อย่าพูดจา เหมือนคนแก่สิ!]
[โอ๊ย!]
เธอเตะก้นผม
[นานๆ ที ไม่ได้เหรอ? หนูกินข้าวกล่องของพี่จ๋าไม่ได้นี่!]
[อาหารกลางวันที่โรงเรียน น่าจะอร่อยกว่านะ]
[หนูชอบอาหารที่พี่จ๋าทำ มัน… มีรสชาติ]
หา? เธอชอบอาหารที่ผมทำ…? ผมเขินนะเนี่ย
[มีรสชาติ เหมือนอาหาร]
ความซาบซึ้ง หายวับไปกับตา เหมือนอาหาร
[พี่จ๋าาา หนูอยากกิน มะเขือม่วงผัดเต้าเจี้ยววว]
[รสชาติก็เหมือน ของสำเร็จรูปนั่นแหละ]
เดี๋ยวนี้มีซอสสำเร็จรูป ที่แค่ใส่ ก็ทำอาหารอร่อยๆ ได้ ไม่ต้องปรุงรสเอง ชื่อว่า [Specialité ง่ายๆ]! แค่ใช้ซอสนี้ ใครๆ ก็ทำอาหารระดับเชฟได้ มันเว่อร์ไปหน่อย แต่ก็จริง ว่ามันทำให้อาหารอร่อยขึ้น ได้ง่ายๆ
จะบอกว่า ทักษะการทำอาหารของผม คือการซื้อซอสสำเร็จรูป ก็คงไม่ผิด
[แล้วก็… ยังไงพี่จ๋าต้องออกไปซื้อข้าวเย็น แวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็เหมือนกันเเหละ]
[อืม… ก็จริง]
[ใช่ไหมล่ะ? ฮิๆๆๆ ชมหนูว่าเป็นอัจฉริยะ ก็ได้นะ]
[อ่า อัจฉริยะ อัจฉริยะ … ช่วยไม่ได้ล่ะนะ การทำอาหาร อาจจะช่วยให้พี่ลืมเรื่องบางอย่างได้]
[ลืมเรื่องบางอย่าง? ]
[เปล่า ไม่มีอะไร งั้นไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตกัน]
อ่านตอนใหม่ๆ ก่อนได้ที่เพจ Suraの夜