แม้จะรู้ดีว่าเรื่องที่นางเสนอขึ้นมาจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่ตงฟางฮุ่ยกลับไม่อาจยอมแพ้ในยามนี้ได้ ไม่เพียงแต่เพื่อความโกรธที่ยากจะกล้ำกลืนลงไปจากการดูถูกอย่างไร้ปรานีของสวีชิงเฉินเท่านั้น แต่ฐานะของนาง มิอาจทำให้นางกลับไปทั้งแบบนี้ได้ ยามนี้ในเมืองหลียังมีกลุ่มผู้มีอำนาจมากความสามารถรวมตัวกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นตำหนักติ้งอ๋องก็จริงแต่ก็ไม่กล้าพูดได้ว่าจะไม่มีสายตาของคนอื่นอยู่ เกรงว่าข่าวคราวที่พวกนางก้าวเข้ามาเหยียบประตูใหญ่ตำหนักติ้งอ๋อง ศิษย์ของผู้นำเขาซางหมางขอหมั้นหมายกับคุณชายชิงเฉินแต่ก็ยังถูกปฏิเสธคงจะเลื่องลือกันไปทั่วเมืองหลีแล้ว ไม่ใช่ว่าตงฟางฮุ่ยไม่อยากกลับ แต่ยามนี้นางที่ขึ้นหลังเสือนั้น ยากที่จะลงเสียแล้วเช่นกัน
ตงฟางฮุ่ยเงียบไปครู่ใหญ่ พยายามกำจัดความคิดส่วนเกินออกไปอย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้าเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าข้าจะขอพบท่านหงอวี่กับฮูหยินใหญ่ได้หรือไม่ จะว่าไปแล้ว ข้ากับท่านหงอวี่ก็ไม่ได้พบหน้ากันเกือบยี่สิบปีแล้ว”
เยี่ยหลีกำลังคิดจะปฏิเสธ แต่กลับเห็นสวีชิงเฉินลอบพยักหน้าให้นางโดยที่คนอื่นไม่เห็น แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่สวีชิงเฉินคิด แต่เยี่ยหลีก็ไม่ได้ถามให้มากความ นางเรียกจั๋วจิ้งมาถามว่ายามนี้สวีหงอวี่กับฮูหยินใหญ่อยู่ที่ใด จั๋วจิ้งตอบว่า “ท่านหงอวี่อยู่ที่ห้องหนังสือ ส่วนฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองพูดคุยกับหยางฮูหยินอยู่ในเรือนรับแขกพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ไปเชิญท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้มาที”
จั๋วจิ้งรับคำสั่งแล้วออกไป ภายในห้องโถงพลันเงียบลง ตงฟางฮุ่ยวิตกกังวลอยู่ในใจ เมื่อครู่เพิ่งถูกสวีชิงเฉินพูดตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ยามนี้จึงไม่มีอารมณ์จะพูดคุย ส่วนม่อซิวเหยาที่เป็นเจ้าบ้านกลับล้มตัวลงนอนบนตักเยี่ยหลีหลับตาพักผ่อนไปแล้ว เกศาสีเงินขาวแผ่สยายอยู่บนตั่งและหน้าตักอ่อนนุ่มของเยี่ยหลี ไม่สนใจสักนิดว่ายังมีแขกนั่งอยู่ สวีชิงเฉินกับเยี่ยหลีก็เงียบกริบเสียราวกับกลั้นหายใจ แต่ละคนนั่งจิบชาท่าทางสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน ส่วนตงฟางโยว แม้จะเตรียมใจในการถูกสวีชิงเฉินปฏิเสธอีกครั้งมาแล้ว แต่ในตอนที่ได้ยินสวีชิงเฉินเอ่ยปฏิเสธอีกครั้งกลับเลี่ยงที่จะจิตตกและเจ็บปวดอยู่ในใจขึ้นมามากกว่าเดิมมิได้ สายตาที่มองสวีชิงเฉินจึงแฝงไว้ด้วยความขมขื่นคับแค้นอยู่ในใจ
แรกเริ่มเดิมทีที่นางบอกว่าจะแต่งให้สวีชิงเฉินนั้นเป็นแผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสมเท่านั้น แม้ว่าตงฟางโยวเองจะไม่รู้สึกว่าต้องแต่งให้ได้ก็เถอะ เพียงแต่เห็นว่าสวีชิงเฉินเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่านั้น ทว่าหลังจากถูกสวีชิงเฉินปฏิเสธคราแล้วคราเล่า ก็กลับทำให้ตงฟางโยวนึกสนใจในตัวเขาขึ้นมา หากบอกว่าเดิมทีที่ตงฟางโยวเลือกจะแต่งงานให้สวีชิงเฉิน เหตุผลแรกคือเพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระชายาติ้งอ๋องและมีฐานะเป็นที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว แต่ในตอนหลังเหตุผลกลัยอยู่ที่ตัวของสวีชิงเฉินเอง ความจริงแล้วความยึดติดของนางยามนี้ไม่เกี่ยวกับฐานะของสวีชิงเฉินแล้ว
เยี่ยหลีเห็นท่าทางของตงฟางโยวแล้วก็แอบถอนหายใจเงียบๆ เป็นไปตามที่สวีชิงเหยียนว่าไว้ไม่ผิด ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นตงฟางโยวเองที่ทำให้บานปลายเช่นนี้ แรกเริ่มเดิมทีเกรงว่านางคงไม่คิดว่าตนเองจะรู้สึกพึงใจในตัวสวีชิงเฉิน จึงได้พูดอย่างกล้าได้กล้าเสียไปเช่นนั้น ก็เหมือนที่นางได้ว่าไว้ แค่เพียงให้ร่วมมือกันแล้วได้รับผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ทว่าในเมื่อคุณชายชิงเฉินมีฉายาว่าคุณชายเทพเซียน การที่สตรีจะมาตกหลุมรักเขานั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หากตงฟางโยวหลงรักเขาขึ้นมาจริงๆ นางก็คงต้องรับผิดชอบตัวเองทั้งหมด
เพียงไม่นาน สวีหงอวี่ก็จูงมือฮูหยินใหญ่เดินเข้ามา คนที่เดินตามพวกเขามาด้านหลังย่อมเป็นผู้ที่กลัวว่าใต้หล้านี้จะสงบสุขเกินไปอย่างสวีชิงเหยียน
ตงฟางฮุ่ยเห็นสวีหงอวี่จึงลุกขึ้นยืนพลางยิ้มเอ่ยว่า “พี่ใหญ่สวี ไม่พบกันนานพี่ยังสง่าผ่าเผยไม่เปลี่ยน”ตงฟางฮุ่ยเป็นสตรีที่มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก แม้ว่านางจะอายุไม่น้อยแล้วก็ตาม บางทีอาจเพราะมีตำแหน่งเป็นผู้นำแห่งเขาซางหมาง ทำให้นางมีความมั่นใจและเรียบร้อยต่างจากสตรีธรรมดาทั่วไป ทว่ากลับมิได้ทำให้คนรู้สึกว่าเผด็จการและน่ารังเกียจ ความรู้สึกเช่นนี้มีเพียงซุนฮูหยินอย่างซุนฮุ่ยเหนียงจากเมืองหลวงแห่งซีหลิงเท่านั้นที่คล้ายคลึงกัน แต่นางสง่างามและสุขุมนุ่มลึกกว่าซุนฮุ่ยเหนียง ซุนฮุ่ยเหนียงให้ความรู้สึกแค่ว่านางฉลาดมีไหวพริบและเผด็จการ แต่ตงฟางฮุ่ยกลับให้ความรู้สึกน่าเคารพยำเกรงและน่าชื่นชมนับถือ
สวีหงอวี่พยักหน้ายิ้มบางเอ่ยว่า “ฮูหยินตงฟาง”
เยี่ยหลียืนขึ้นเดินเข้าไปเอ่ยกับเขาเสียงเบาว่า “หลีเอ๋อร์กับท่านอ๋องจัดการได้ไม่รอบคอบ ลำบากท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้แล้ว” ฮูหยินใหญ่สวีดึงมือนางไว้แล้วยิ้มกล่าวว่า “เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรอย่างนั้น เรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานของชิงเฉินไหนเลยจะมาลำบากไม่ลำบากกัน หากทำให้พี่ใหญ่เจ้าได้แต่งกับสะใภ้ดีๆ ได้ ต่อให้ข้าต้องยุ่งวุ่นวายทุกวี่ทุกวันก็ยอม”
“ท่านแม่…” สวีชิงเฉินไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ดูท่าแล้วนางคงจะเจ็บแค้นน่าดูที่เขามีครอบครัวช้าไม่ยอมแต่งงานเสียที ไม่ว่าที่ไหนเวลาใดจึงไม่ลืมจะถากถางเขาอยู่ร่ำไปเช่นนี้
สวีฮูหยินใหญ่ปรายตามองเขาแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้ายังมีอันใดจะพูดอีกหรือ หากมิใช่เพราะเจ้าลีลาชักช้าไม่ยอมแต่งงานเสียที ไหนเลยจะมีเรื่องในวันนี้ได้”
คุณชายชิงเฉินถูจมูกยอมรับอยู่เงียบๆ สีหน้าของตงฟางฮุ่ยกับตงฟางโยวพลันเปลี่ยนไป แม้ว่าสวีฮูหยินใหญ่จะมิได้พูดกับพวกนาง แต่เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้เป็นการสั่งสอนสวีชิงเฉิน แต่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนว่ากำลังตำหนิตงฟางโยวที่ไม่รู้จักอับอาย จะยัดเยียดตัวเองให้สวีชิงเฉินให้ได้ท่าเดียว สีหน้าตงฟางฮุ่ยพลันแข็งทื่อ แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว หากมิใช่เพราะเยี่ยหลีมองนางอยู่ตลอดก็คงไม่เห็นเข้า ตงฟางฮุ่ยลูบไรผมสั้นของตัวเองแล้วยิ้มบางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่สวีกับพี่สะใภ้ช่างพูดจาได้เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างหาได้ยากยิ่ง”
สวีฮูหยินใหญ่ยามนี้จึงหันไปมองนางคราหนึ่ง แล้วหันไปมองสวีหงอวี่พลางเอ่ยว่า “ท่านพี่ บ้านเรามีน้องสาวด้วยหรือ” คิดว่าข้าฟังไม่ออกหรือไร ว่าเจ้าถากถางว่าข้าไม่เหมือนคุณนายจากตระกูลมั่งมี
สวีหงอวี่ยิ้มบางเอ่ยว่า “ฮูหยินพูดเหลวไหลอันใด เจ้าแต่งเข้าตระกูลสวีมาสามสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่าบ้านเรามีใครบ้าง สตรีนางนี้คือตงฟางฮูหยินแห่งเขาซางหมาง สมัยยังสาวๆ ตงฟางฮูหยินออกมาหาประสบการณ์ด้านนอกจึงเคยได้พบเจอกัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฮูหยินใหญ่พยักหน้า เอ่ยขึ้นอย่างขอลุแก่โทษ “ตงฟางฮูหยิน ข้าเสียมารยาทแล้ว ขออย่าได้ถือสาเลย”
ตงฟางฮุ่ยรู้สึกถึงกะเพราะที่ปวดขึ้นมาเป็นพักๆ นางมิได้ลงเขามายี่สิบปีนั้นไม่ผิด แต่หลายปีมานี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะชวนให้คนนึกรังเกียจได้ถึงเพียงนี้มาก่อน หรือว่ายี่สิบปีมานี้คนที่อยู่ข้างล่างเขาเปลี่ยนไปกันหมดแล้ว หากจะบอกว่าสวีชิงเฉินมีความไม่ชอบใจแฝงไว้ล่ะก็ สวีฮูหยินใหญ่นางนี้ก็แสดงออกให้รู้อย่างชัดเจนว่ามองนางเป็นศัตรู ตงฟางฮุ่ยมองสวีหงอวี่ที่ยืนอยู่ข้างกายสวีฮูหยินใหญ่ก็พลันรู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นมา ทว่าในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งถูกเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว แม้ว่าในยามสาวๆ นางจะคิดกับสวีหงอวี่ไปไกลก็จริง แต่พอรู้ว่าสวีหงอวี่แต่งงานแล้วซ้ำตัวนางยังต้องกลับเขาซางหมางเพื่อขึ้นรับตำแหน่ง นางก็ตัดขาดความคิดนี้ไปจนสิ้น หากสวีฮูหยินใหญ่มองนางเป็นศัตรูเพียงเพราะเรื่องนี้ก็คงจะใจคับแคบไปสักหน่อย
พอผู้หลักผู้ใหญ่นั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว สวีฮูหยินใหญ่ก็มองตงฟางฮุ่ยด้วยความสงบนิ่งแล้วยิ้มบางเอ่ยว่า “เมื่อครู่หลีเอ๋อร์ส่งคนไปบอกว่าตงฟางฮูหยินอยากจะเจรจาเรื่องการแต่งงานของชิงเฉินกับพวกเรา ไม่ทราบว่าฮูหยินมีสิ่งใดจะกล่าวหรือ”
แม้ว่าตงฟางฮุ่ยจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็บอกเจตนาของตนไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง นางเอ่ยอย่างอ้อมค้อมเป็นอย่างมากว่าเขาซางหมางยินยอมแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลสวี ฮูหยินใหญ่สวีมองตงฟางโยวคราหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพลางเอ่ยว่า “ตงฟางฮูหยินคงจะทราบถึงขั้นตอนการแต่งงานของคนธรรมดาทั่วไปกระมัง”
ตงฟางฮุ่ยพลันชะงัก ยังมิทันจะได้ตอบก็ได้ยินสวีฮูหยินใหญ่เอ่ยต่อว่า “ทาบทาม ถามชื่อและวันเดือนปีเกิด ดูดวงสมพงษ์ หมั้น ดูฤกษ์ รับตัวเจ้าสาว ต่อให้เป็นราชวงศ์ชนชั้นสูงหรือสมรสพระราชทาน เรื่องในห้องส่วนตัวของสตรีก็มีเพียงคนสนิทมากๆ เท่านั้นที่จะรู้ได้ แม่นางตงฟางยังมิทันได้หมั้นหมายด้วยซ้ำ ชื่อเสียงเรียงนามของนางก็รู้กันไปทั่วหล้าแล้ว หากหมั้นกันจริงๆ ขั้นตอนถามชื่อและวันเดือนปีเกิดนี้คงไม่ต้องทำแล้ว แต่ก็ช่างเถิด สตรีที่งดงามความสามารถโดดเด่นมักจะอะลุ้มอล่วยได้ไม่น้อย ในอดีตที่ผ่านๆ มาชื่อของสตรีที่มีชื่อเสียงในฉู่จิงก็มีที่เลื่องลือกันออกมาบ้าง เพียงแต่มิได้เอิกเกริกโด่งดังเท่าแม่นางตงฟางเท่านั้น ทว่า ว่าที่สะใภ้ของตระกูลสวีนั้นไม่ขอให้มีหน้าตางดงามปานล่มเมือง และไม่ขอให้มีความสามารถเลื่องลือระบือไกล มีเพียงเรื่องเดียวที่ขอ นั่นคือจะต้องทำตามกฎและธรรมเนียม เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านในเรือนจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน”