คำถามที่ตรงไปตรงมาและเกือบจะเสียมารยาทเช่นนี้ กลับทำให้ตงฟางโยวหนักใจอยู่ไม่น้อย นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แล้วจึงเอ่ยว่า “แต่ติ้งอ๋องเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ในอนาคตที่ข้าเลือก ย่อมต้องการให้ข้ามาช่วยอยู่แล้ว”
สวีชิงเหยียนกรอกตามองบน เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่มีเจ้ามาช่วย ตำหนักติ้งอ๋องก็ดำรงอยู่ได้ดีมาโดยตลอด”
“หลังจากมีข้าแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องย่อมดียิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก” ในที่สุดตงฟางโยวก็ได้ความมั่นใจกลับคืนมา เอ่ยว่า “หลายปีเพียงนี้แล้ว ตำหนักติ้งอ๋องยังคงสลัดสถานการณ์อันยากลำบากจากศัตรูที่รายล้อมรอบด้านมิได้เลย หรือนี่ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าความสามารถของขุนนางข้างกายติ้งอ๋องนั้นไม่เพียงพอ”
“…” สองพี่น้องเงียบกริบ นี่มันไม่ต่างอันใดกับการโจมตีเลย เพียงประโยคเดียวก็ต่อว่าทุกคนทั้งหัวหงอกหัวดำ ตำแหน่งน้อยไปจนถึงตำแหน่งสูงสุดของตำหนักติ้งอ๋อง สถานการณ์ลำบากมารดาเจ้าสิ สวีชิงเหยียนสบถอยู่ในใจ ตงฟางโยวนางนี้ตาบอดเสียแล้วกระมัง ยามนี้พื้นที่ของตำหนักติ้งอ๋องต่อให้ไม่นับว่ามากที่สุดในใต้หล้า แต่อย่างน้อยก็เป็นที่สองของใต้หล้าเชียวนะ ความแข็งแกร่งของกองทัพก็ยิ่งทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายไม่กล้ามาท้าทายอำนาจ แล้วยังจะต้องการอะไรอีก ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้านรับศัตรูจากทั่วทุกสารทิศ กวาดล้างใต้หล้าในชั่วพริบตา ในหนังสือนิทานยังไม่เคยมีใครเขียนไว้ได้มหัศจรรย์พันลึกเช่นนี้เลย
สวีชิงเหยียนลอบไม่พอใจอยู่เงียบๆ เขามองตงฟางโยวที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว อันที่จริงแม่นางตงฟางยินยอมช่วยเหลือติ้งอ๋อง พวกเรานั้นล้วนปราบปลื้มใจ”
สวีชิงเฉินที่ลูบถ้วยชาไปมาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปยังน้องห้าที่ฉลาดหลักแหลมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่พูดอะไร ตงฟางโยวมองสวีชิงเหยียนด้วยความฉงน
สวีชิงเหยียนกระแอมขึ้นเบาๆ เอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า “หัวหน้าพ่อบ้านม่อของตำหนักติ้งอ๋องสูญเสียภรรยาไปนานหลายปีแล้ว จากนั้นก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด ทว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ท่านอ๋องไว้วางใจ หากแม่นางตงฟางยอมลดเกียรติลงเขามาแต่งงานล่ะก็ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นติ้งอ๋องหรือพระชายาล้วนเชื่อมั่นในความจริงใจของแม่นางและเขาซางหมางเป็นแน่ พี่ใหญ่ พี่ว่าอย่างไร”
ครั้งนี้ถึงคราวคุณชายชิงเฉินต่อมุมปากกระตุกบ้างแล้ว เพียงแต่เขาเก่งกาจในการปกปิดอะไรเช่นนี้ จึงย่อมยกถ้วยชาขึ้นมาบังริมฝีปากเอาไว้ พยักหน้าเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่งว่า “น้องห้าพูดได้มีเหตุผลยิ่ง”
“หะ…หัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือ” ตงฟางโยวพลันงุนงง นึกไม่ค่อยออกว่าหัวหน้าพ่อบ้านม่อเป็นคนเช่นไร อันที่จริงตงฟงโยวเคยเห็นหัวหน้าพ่อบ้านม่อมาหลายครั้ง แต่นางเย่อหยิ่งถึงขนาดที่จะพยักหน้าทักทายกับเพียงคุณชายสวีห้าเท่านั้น ต่อให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อมีตำแหน่งพิเศษอย่างไรแต่ในสายตานางแล้วก็เป็นเพียงคนรับใช้ในตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น นางย่อมไม่เก็บมาจำใส่ใจ
สวีชิงเหยียนพยักหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจอย่างมาก “ใช่น่ะสิ เป็นท่านลุงที่อยู่ในชุดสีดำคนนั้น จะว่าไปแล้วทั่วทั้งเมืองหลีก็มีเพียงเขาคนเดียวที่ใส่ชุดสีดำของตำหนักติ้งอ๋อทั้งยังเป็นท่านลุงที่มีบุคลิกลักษณะที่องอาจผึ่งผายอย่างมากด้วย” คนที่อายุอานามมากสักหน่อยหากไม่ใช่ขุนนางสายบู๊ก็เป็นบัณฑิตสายบุ๋น มีเพียงหัวหน้าพ่อบ้านม่อคนนี้ที่แม้ว่าเกิดมาพร้อมกับการศึกษาด้านวรยุทธ แต่กลับได้ทำงานสายบุ๋นมาโดยตลอด มีเพียงคนอย่างเขาเท่านั้นถึงจะใส่ชุดสีดำสนิทได้อย่างองอาจผึ่งผายและสง่างามเช่นนี้
สมองตงฟางโยวพลันนึกไปถึงคราแรกที่นางมาที่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วได้พบหัวหน้าพ่อบ้านในชุดสีดำที่มีเส้นผมที่หงอกขาวผู้นั้น สีหน้าก็พลันย่ำแย่ขึ้นมาทันที เกรงว่าตอนที่ม่อซิวเหยาไล่นางต่อหน้าธารกำนัลในคราแรก สีหน้านางก็ยังไม่ถึงกับดูไม่ได้เพียงนี้
“คนอย่างเขา…จะแต่งกับข้าได้อย่างไร!” ตงฟางโยวปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแทบจะในทันที
สวีชิงเหยียนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “เหตุใดจะไม่ได้เล่า ตระกูลสวีของเราแม้จะบอกว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับติ้งอ๋อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังด้อยกว่าผู้อาวุโสหลายยุคหลายสมัยของตำหนักแห่งนี้ หัวหน้าพ่อบ้านม่อเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีให้ตำหนักติ้งอ๋องมาตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น…แม่นางตงฟางไม่ได้สนใจว่าจะแต่งกับผู้ใดมิใช่หรอกหรือ เช่นนั้นแล้วการแต่งกับหัวหน้าพ่อบ้านม่อก็มิใช่เรื่องที่เหมาะเจาะพอดีหรือไร เชื่อเถิดว่าหัวหน้าพ่อบ้านม่อแม้จะไม่มีความสนใจที่จะแต่งงาน แต่เพื่อตำหนักติ้งอ๋องแล้วเขาย่อมยอมพลีชีพโดยไม่พูดอะไรแม้สักคำอย่างแน่นอน ไม่เหมือนกับพี่ใหญ่ของข้า ตระกูลสวีของเราให้ความสนใจกับคนที่พี่ใหญ่จะแต่งงานด้วยอย่างมาก ท่านปู่ข้าบอกไว้ว่า…ยอมขาดแคลนดีกว่าได้ของด้อยค่า”
ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ตงฟางโยวได้เจอกับคนที่พูดจาเช่นนี้อย่างสวีชิงเหยียน สีหน้านางเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวเขียว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับจานเปลี่ยนสีอย่างไรอย่างนั้น
สวีชิงเฉินแอบส่งสายตาชื่นชมไปให้สวีชิงเหยียน เขาวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยกับตงฟางโยวว่า “แม่นางตงฟาง น้องห้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่ง หากแม่นางยินยอมล่ะก็ ทุกคนในตำหนักติ้งอ๋องย่อมยินดีต้อนรับ ข้าก็จะเชิญท่านอ๋องให้ไปสู่ขอกับผู้นำของเขาซางหมางด้วยตัวเอง แม่นางเห็นว่าอย่างไร”
“ไม่ได้!” ตงฟางโยวแทบจะกรีดร้องออกมา สีหน้าที่เปลี่ยนไปมาพลันทำให้ท่าทางลึกลับอันแปลกประหลาดที่มีอยู่บนตัวนางในคราแรกหายไปเป็นปลิดทิ้ง ราวกับเด็กสาวหยาบคายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่พอใจกับการแต่งงานของตัวเองจึงกรีดร้องออกมาด้วยความโมโหอย่างไรอย่างนั้น “นั่นมันคนแก่! ซ้ำยังเป็นเพียงคนรับใช้! จะเหมาะกับข้าได้อย่างไร”
สีหน้าสวีชิงเฉินกับสวีชิงเหยียนเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธต่อคำพูดของตงฟางโยว ต้องบอกว่าสตรีนางนี้ไม่เหมาะกับหัวหน้าพ่อบ้านม่อจึงจะถูก แม้ว่าหัวหน้าพ่อบ้านม่อจะอายุมากแล้ว แต่หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว ซ้ำยังไม่ได้ดูแก่ถึงเพียงนั้น เป็นถึงหัวหน้าผู้ดูแลตำหนักติ้งอ๋อง ย่อมเป็นคนสนิทของติ้งอ๋องอย่างแน่นอน แต่เขาไร้ความสนใจจะแต่งภรรยา หากคิดจะแต่งภรรยาจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงมีหลายตระกูลในเมืองหลีที่จะรีบแจ้นเอาลูกสาวใส่พานมายื่นให้อย่างแน่นอน
ถึงแม้การนำเรื่องเช่นนี้มาทำให้สตรีนางหนึ่งโกรธเคืองจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนัก แต่หลายวันมานี้สวีชิงเฉินถูกตงฟางโยวก่อกวนให้รำคาญใจจนแทบจะทนไม่ได้แล้ว ยิ่งยามนี้ได้มาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ความไม่พอใจบนใบหน้าเขาก็ยิ่งฉายชัด
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูท่าแม่นางตงฟางก็คงมิได้มีความจริงใจอันใด ตำหนักติ้งอ๋องเดิมทีก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรอยู่แล้ว เชิญแม่นางกลับไปเถิด” สวีชิงเฉินเอ่ยเสียงเรียบพลางยกชาส่งแขก
ตงฟางโยวพ่ายแพ้กลับไปอีกครั้ง นางถลึงตามองสวีชิงเหยียนด้วยความคับแค้นใจ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่าข้าไม่ยอมแพ้หรอก แล้วก็หมุนตัวเดินออกไป
พอนางไปแล้ว ภายในห้องหนังสือก็เงียบสงบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดสวีชิงเหยียนก็ทนไม่ไหวกุมท้องหัวเราะเสียงดังออกมา สวีชิงเฉินเห็นน้องชายหัวเราะจนงอหายก็อมยิ้มส่ายหน้าไม่กล่าวอะไร สวีชิงเหยียนลูบท้องไปพลางเช็ดน้ำตาจากหางตาไปพลาง เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ สตรีนางนี้เป็นชาวซางหมางจริงๆ หรือ นี่มันช่าง…”
สวีชิงเฉินเอ่ยเสียงเรียบว่า “จะใช่หรือไม่ ไม่นานก็จะได้รู้เอง แต่น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า…มนุษย์ไม่ควรปลีกตัวจากแดนโลกีย์ไปนานเกินไป มิฉะนั้นหากไม่ทันระวังจะสอนคนให้ออกมาแปลกประหลาดเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าหากผู้นำของเขาซางหมางได้มาเห็นแม่นางตงฟางเช่นนี้แล้วจะเสียใจภายหลังหรือไม่”
“คุณชายใหญ่ คุณชายห้า ท่านอ๋องกับพระชายาให้มาเชิญขอรับ” ไม่รู้ว่าหัวหน้าพ่อบ้านม่อมายืนอยู่ตรงหน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด เขามองทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
คนที่ไร้วรยุทธทั้งสองหันมาสบตากัน คุณชายสวีห้านึกย้อนไปว่าได้พูดถึงเขาไปเมื่อครู่ก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อ...มาตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตั้งแต่ตอนที่คุณชายห้าบอกว่าข้ายอมเสียสละเพื่อตำหนักติ้งอ๋องโดยไม่พูดอะไรแม้สักคำขอรับ ขอบพระคุณคุณชายห้าที่เอ่ยชื่นชมเช่นนี้”
สวีชิงเหยียนเหงื่อเต็มหน้า “หัวหน้าพ่อบ้านเกรงใจเกินไปแล้ว”
ตงฟางโยวออกมาจากตำหนักติ้งอ๋องแล้วแต่สีหน้ายังคงดูไม่ดีอย่างมาก สายตาที่พินิจมองนางตลอดทางก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงให้ทรมานมากขึ้นกว่าเดิม นางมิใช่หุ่นไล่กาที่จะไร้ความรู้สึก แน่นอนว่าก็รับรู้ได้ถึงสายตาและคำพูดของคนรอบข้างที่มีต่อตัวเอง ถึงแม้คนโดยมากจะมองว่าเป็นเรื่องน่าขันของสวีชิงเฉิน แต่เรื่องนี้เดิมทีสวีชิงเฉินโดนลูกหลงโดยที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตนด้วย ฉะนั้นเอาเข้าจริงคนที่ทุกคนนึกดูแคลน นึกเยาะหยันก็มีเพียงตงฟางโยวเท่านั้น แต่ตงฟางโยวก็มองว่านี่คืออุปสรรคและการล้มลุกคลุกคลานที่นางต้องเจอบนหนทางแห่งความสำเร็จ ดังนั้นจึงมักจะกัดฟันตั้งใจ ทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันนี้เมื่อถูกสวีชิงเหยียนเยาะเย้ยและหยอกนางอย่างไม่ละอายใจเช่นนี้ ต่อให้นางหน้าด้านกว่านี้ก็คงอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้แล้ว