นางต้องการจะช่วยเหลือตำหนักติ้งอ๋องแท้ๆ นางกับเขาซางหมางสามารถยังประโยชน์มาให้แก่ตำหนักติ้งอ๋องได้มาเท่าใด นางไม่เชื่อว่าติ้งอ๋องและสวีชิงเฉินจะไม่รู้ แต่เป็นที่พวกเขาไม่สนใจนางเสียมากกว่า ชั่วขณะนั้น ตงฟางโยวทั้งแค้นที่ติ้งอ๋องมีตาหามีแววไม่ ทั้งยังแค้นที่ตระกูลสวีปฏิเสธนางโดยมองข้ามความหวังดีของนางไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงแทบจะปีนขึ้นเขาซางหมางมาเจริญสัมพันธไมตรีด้วยแล้ว คนของตำหนักติ้งอ๋องกลับเย่อหยิ่งและไร้มารยาท! แต่ทว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ ปณิธานกับความตั้งใจของนางก็ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ก่อนจะลงเขามานางได้สาบานกับอาจารย์ไว้แล้วว่าจะต้องทำให้สำเร็จยิ่งกว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ที่เคยทำเอาไว้ให้ได้ นางจะช่วยสร้างจักรพรรดิที่สามารถปกครองทั่วทั้งใต้หล้าออกมาให้จงได้ ให้ทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้ถึงชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาซางหมาง
“แม่นางตงฟางหรือนั่น” ตงฟางโยวเดินออกจากตำหนักติ้งอ๋องมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง นางหันไปมองก็เห็นม่อจิ่งหลีที่ยืนมองตนอยู่ไม่ไกล ทันใดนั้นนางก็เก็บงำความโศกเศร้าแค้นเคืองกลับลงไปแล้วเงยหน้ามองม่อจิ่งหลีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าวิชาลับนั่นของตงฟางโยวฝึกฝนมาดีไม่น้อย เพียงแค่ชั่วขณะที่เงยหน้านั้น ก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้างดงามเรียบเฉยไร้รอยยิ้มแต่งแต้ม แต่กลับมีแรงดึงดูดทำให้คนมองไม่อาจละสายตาไปไหนได้ ประดุจเทพเซียนที่ร่างทั้งร่างอาบไล้ด้วยแสงตะวันอ่อนๆ อันลึกลับ ให้สีสันงดงามตา ครู่ต่อมา ม่อจิ่งหลีก็รู้สึกว่าใจกระตุกไปหนึ่งจังหวะ
“หลีอ๋อง มีธุระอันใดหรือ”
ม่อจิ่งหลีสงวนท่าที เดินไปหานางอย่างเชื่องช้า ก้มหน้ามองนางแล้วเอ่ยว่า “แม่นางตงฟางกำลังอารมณ์ไม่ดีหรือ”
ตงฟางโยวไม่ใช่คนโง่ เหตุใดนางจะมองไม่ออกว่าม่อจิ่งหลีอยากจะตีสนิทกับตน แต่นางรู้ตัวเร็ว การทำดีเพื่อหวังผลของหลีอ๋องกลับมิได้ทำให้นางดีใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันยิ่งทำให้นึกถึงตำหนักติ้งอ๋องและตระกูลสวีที่ปฏิเสธนางอย่างไร้ปรานีมากขึ้นไปอีก จึงรู้สึกหมดสนุกลงไปในพริบตา นางมองม่อจิ่งหลีคราหนึ่งแล้วหลุบตาลง
ขอเพียงไม่สบตาและมองหน้าตงฟางโยว ความรู้สึกของม่อจิ่งหลีก็จะยังคงเป็นดังเดิม จึงย่อมสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ตงฟางโยวมีต่อตน
“แม่นางตงฟางไปที่ตำหนักติ้งอ๋องอีกแล้วหรือ” ม่อจิ่งหลีกลับไม่สนใจ เขาเดินไปข้างกายนางอย่างไม่สะทกสะท้านพลางเอ่ยถาม
ตงฟางโยวหยุดฝีเท้าลง มองม่อจิ่งหลีด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยถามว่า “หลีอ๋องกำลังดูถูกข้าอยู่หรือ” ม่อจิ่งหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ข้ามีคำเตือนอยากจะบอกแม่นางเอาไว้ แม่นางจะได้ไม่ถูกปฏิเสธอีกก็เท่านั้น”
ตงฟางโยวนิ่งอึ้ง “ลองว่ามา”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยว่า “ความรู้สึกที่ม่อซิวเหยามีให้เยี่ยหลีนั้นลึกซึ้งเพียงใดทุกคนต่างรู้ดี ม่อซิวเหยาไม่มีวันทำในทุกๆ ความเป็นไปได้ที่จะทำให้พระชายาติ้งอ๋องไม่ชอบใจ” ตงฟางโยวพยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าทราบดี ดังนั้นข้าจึงไม่คิดจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างติ้งอ๋องกับพระชายา” ม่อจิ่งหลีเอ่ยต่อว่า “ข้ารู้ว่าแม่นางคิดว่าสวีชิงเฉินก็ไม่เลว แต่…คนตระกูลสวี โดยเฉพาะสวีชิงเฉินที่ดูเหมือนจะสุภาพอ่อนโยน แต่ภายในใจนั้นเกรงว่าจะหยิ่งทระนงเสียยิ่งกว่าม่อซิวเหยาเสียอีก เขาเป็นคนที่ไม่ยอมรับการแต่งงานที่ไร้ซึ่งความรัก ดังนั้นหลายปีเพียงนี้ ถึงแม้สวีชิงเฉินจะอายุเลยสามสิบปีไปแล้วแต่ก็ยังคงไม่แต่งงาน แม้แต่ท่านชิงอวิ๋นหรือท่านหงอวี่ก็ยังไม่อาจบีบบังคับเขาได้ แม่นางไปตอแยเขาเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ไปมากกว่าเดิม”
ตงฟางโยวใจกระตุก ท่าทางเหมือนกำลังคิดอันใดอยู่ “เป็นเยี่ยงนี้เองหรือ เช่นนั้นถ้าหากว่า…” หากว่าทำให้สวีชิงเฉินหลงรักนางได้เล่า
ม่อจิ่งหลีเห็นสีหน้าของนางก็เข้าใจความหมายในประโยคนั้นของนางทันที เขายิ้มบางเอ่ยว่า “แล้วก็ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง การอบรมสั่งสอนภายในตระกูลสวีเข้มงวดมาก แม้ว่าตระกูลสวีจะรักใคร่เอ็นดูพระชายาติ้งอ๋องมาก มิได้กวดขันควบคุมอันใดนาง แต่ความจริงก็เพราะว่าพระชายาติ้งอ๋องเดิมแซ่เยี่ย ออกเรือนโดยใช้แซ่เยี่ยมิใช่แซ่สวี สตรีตระกูลสวีไม่ว่าจะมีความสามารถโดดเด่นเพียงใด สุดท้ายก็ต้องอยู่แต่บ้านเลี้ยงลูกดูแลสามีอยู่ดี สวีฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองหรือกระทั่งฮูหยินเล็กในวันนี้มีคนใดบ้างที่มิใช่สตรีที่มีความสามารถโด่งดังเมื่อในอดีต แต่ยามนี้กลับเงียบหายไร้ชื่อเสียงใดๆ ดังนั้น หากแม่นางคิดจะแต่งเข้าตรกลสวีจริง เกรงว่าคงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบจึงจะดี”
ตงฟางโยวมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ แต่ข้าเลือกตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ต่อให้เจ้าคิดให้มากมายกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์”
รอยยิ้มบนใบหน้าของม่อจิ่งหลีพลันแข็งทื่อ เขาฝืนยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางล้อเล่นแล้ว ข้าเพียงแค่หวังดีมาตักเตือนแม่นางก็เท่านั้น”
ตงฟางโยวส่งเสียงเฮอะออกมาเบาๆ เดินไปยังที่พักชั่วคราวของตนโดยไม่สนใจม่อจิ่งหลีอีก
ม่อจิ่งหลีที่อยู่ด้านหลังมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของนางด้วยแววตาที่เป็นประกายแห่งความมุ่งมั่นที่จะเอชนะให้ได้
ตงฟางโยวไม่ได้ตามเจิ้นหนานอ๋องไปพักในหอพักม้า เจิ้นหนานอ๋องพูดไว้ไม่มีผิด อำนาจของเขาซางหมางกระจายอยู่ทั่วหล้า แม้ว่าในเมืองหลีจะมีฐานที่มั่นของพวกเขาซางหมางอยู่ แต่ที่ที่ตงฟางโยวใช้พักในเมืองหลีแห่งนี้กลับเป็นคฤหาสน์ว่างเปล่าหลังใหญ่ ปีนั้นในตอนที่ทหารตระกูลม่อมาถึงเมืองหลีเฉิง ทั้งขุนนางทั้งพ่อค้าที่ร่ำรวยมากมายต่างหลบหนีเข้าด่านไป บ้านเรือนมากมายภายในเมืองจึงว่างเปล่า คฤหาสน์หลังนี้ก็ถูกคนซื้อไว้ตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่ไม่มีใครมาพักเลย พอรู้ว่าตงฟางโยวมา คนรับใช้จึงเข้ามาต้อนรับ
ตงฟางโยวโบกมือไล่คนรับใช้ที่เข้ามาต้อนรับ นางเดินไปยังห้องของตัวเอง พอปิดประตูหันหลังมาก็เห็นเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงตัวเอง แสงภายในห้องมืดสลัว อีกทั้งยังมีผ้าผืนบางๆ กั้นไว้อีกชั้นหนึ่งทำให้นางเห็นไม่ชัดว่าผู้มาเยือนเป็นใคร นางพลิกฝ่ามือขึ้น มีดสั้นสองเล่มก็เข้ามาอยู่ในมือ ตงฟางโยวชี้ไปยังคนผู้นั้นแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “ใคร” ไม่รอให้ผู้มาใหม่ได้ตอบ นางพุ่งเข้าไปหาทันที มีดสั้นในมือกลายเป็นสายรุ้งสีเงินสองสายฟาดฟันผ้ากั้นผืนบางให้ขาดสะบั้น
“โยวเอ๋อร์” เสียงสตรีที่ทุ่มต่ำเจือความแหบพร่าดังขึ้นภายในห้อง ตงฟางโยวแอบตกใจอยู่เงียบๆ นางรีบหยุดการโจมตี ทิ้งตัวลงกับพื้น เห็นเงานั้นเดินออกมาจากด้านในก็รีบคุกเข่าลงคำนับ “ท่านอาจารย์”
ผู้มาเยือนคือสตรีวัยกลางคนที่ลักษณะท่าทางน่าจะอายุสักสี่สิบห้าสิบปี ใบหน้าโดดเด่นสง่างามกว่าตงฟางโยวไม่น้อย เสน่ห์ของวัยที่งดงามที่สุดนั้นยังคงอยู่ นางมองตงฟางโยวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าใจกล้าบ้าบิ่นไม่น้อย”
ตงฟางโยวอึ้งไป เอ่ยอย่างลนลานว่า “ท่านอาจารย์…โยวเอ๋อร์ทำอันใดผิดหรือ”
สตรีนางนั้นจ้องตงฟางโยวอยู่ครู่ใหญ่ ยกมือขึ้นสูงก่อนตบลงบนหน้านางอย่างแรง ใบหน้าขาวผ่องดุจหยกของตงฟางโยวพลันแดงเถือก แต่พอได้สบตาอันเรียบเฉยเยือกเย็นของสตรีนางนั้นกลับไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา ได้ยินเพียงสตรีนางนั้นเอ่ยว่า “เจ้าแอบฟังข้ากับผู้อาวุโสพูดคุยกันได้เพียงสองสามคำก็กล้าแอบลงเขามาแล้วหรือ แค่ลงเขามายังพอทำเนา ด้วยวรยุทธของเจ้า จะออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกก็ไม่มีใครมารังแกเจ้าได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าไปหาติ้งอ๋อง! ใครให้เจ้าบังอาจถึงเพียงนี้ หลายปีมานี้เขาซางหมางไม่เคยเลือกตำหนักติ้งอ๋องเลยสักครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”