งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของท่านชิงอวิ๋นนับว่าปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบ แขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงานต่างทยอยกันเดินทางกลับ รวมถึงสวีชิงปั๋วและท่านอาจารย์ซิ่วถิงที่รีบเดินทางกลับไปยังซีหลิงโดยทันที อย่างไรเสียทางซีหลิงก็เพิ่งจะยอมพ่ายแพ้ไปไม่นาน ยังจำเป็นต้องมีคนคอยรักษาการณ์ดูแล ส่วนบรรดาผู้มีอำนาจของแต่ละแคว้น รวมถึงเจิ้นหนานอ๋องและม่อจิ่งหลีกลับไม่มีทีท่าว่าจะเดินทางกลับ ทุกคนต่างรู้ดีว่าการเจรจาต่อรองและการแย่งชิงผลประโยชน์ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันนี้ ผู้ใดกลับไปในเวลานี้ก็แสดงว่าคนผู้นั้นจะถูกกีดกันออกไป และสูญเสียโอกาสที่จะคว้าโอกาสแรกเอาไว้ในมือ
เดิมทีในเมืองหลีก็มีความปั่นป่วนซ่อนอยู่ภายในอยู่แล้ว เพราะในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านชิงอวิ๋นอยู่ๆ ก็มีการปรากฏตัวของทายาทเขาซางหมางขึ้นมา ถึงทำให้ยิ่งดูลึกลับขึ้นไปอีก
ณ ตำหนักติ้งอ๋อง เหลยเจิ้นถิงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ ดื่มชาพลางพินิจดูเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน แม้ว่าในตอนที่พาตงฟางโยวมายังเมืองหลีนั้นเขาก็คิดไว้แล้วว่าม่อซิวเหยาอาจจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของม่อซิวเหยาจริงๆ ในใจเขากลับตกตะลึงขึ้นมาอย่างยากจะเลี่ยง พูดตามตรง หากมิใช่เพราะเวลาไม่เหมาะสม หากมิใช่เพราะราชวงศ์ซีหลิงเคยมีฮองเฮาที่มาจากเขาซางหมางมาก่อนล่ะก็ เหลยเจิ้นถิงก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าตัวเองจะสามารถปฏิเสธสิ่งดึงดูดใจเช่นนี้ได้ ทว่า ในเมื่อม่อซิวเหยาปฏิเสธไปแล้ว แม้จะทำให้เขาตกใจอยู่บ้างแต่สถานการณ์โดยรวมกลับเอื้อประโยชน์ให้แก่เขา เขาย่อมไม่ซื่อบื้อขนาดจะยัดเยียดอำนาจของเขาซางหมางซานไปให้ม่อซิวเหยาจริงๆ แน่
“การตัดสินใจของติ้งอ๋องในทุกๆ ครั้งล้วนทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เสมอ” เหลยเจิ้นถิงยกถ้วยชาในมือไปทางม่อซิวเหยาเพื่อแสดงถึงการเคารพ
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เจิ้นหนานอ๋องชมเกินไปแล้ว เจิ้นหนานอ๋องเองก็มิได้สนใจเช่นกันมิใช่หรือ”
เหลยเจิ้นถิงถอนใจออกมาอย่างเสียดายอยู่เล็กน้อย “หากบอกว่าไม่สนใจในอำนาจของเขาซางหมางจริงๆ นั่นก็คงเป็นการโกหก เพียงแต่…ไม่เหมาะสมเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็อายุอานามปูนนี้แล้ว หากจะให้มาถูกคนครอบงำอีก สู้ตายไปเช่นนี้จะดีกว่า” หากเขาซางหมางมีเพียงตงฟางโยวคนเดียว เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใด แต่หลังจากตงฟางโยวแล้วย่อมต้องมีคนเข้ามาข้องเกี่ยวเพิ่มอีก ท่านยายของเหลยเจิ้นถิงก็เป็นคนซางหมาง เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่รู้เรื่องของเขาซางหมางดีที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว จึงย่อมมิอาจทำเรื่องที่ทำให้ตนโดนควบคุมจนกลายเป็นหุ่นเชิดได้
“ได้ยินว่าติ้งอ๋องปฏิเสธตงฟางโยวไปอย่างเป็นทางการแล้ว แต่เท่าที่ข้ารู้จักนาง เกรงว่านางคงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ” เหลยเจิ้นถิงเอ่ยเตือนเสียงเรียบ แม้ว่าม่อซิวเหยาจะมองเขาเป็นศัตรูไปแล้ว แต่ว่า…ในบางครั้งบางคราก็ยังสามารถร่วมมือกันได้
หางคิ้วม่อซิวเหยากระตุกน้อยๆ เอ่ยอย่างเหยียดหยามว่า “ไม่ยอมแพ้แล้วจะทำอันใดได้ นึกไม่ถึงว่าทายาทจากเขาซางหมางจะมีอุปนิสัยและคุณธรรมเพียงนั้น เช่นนั้นเขาซางหมางที่เรียกขานกันก็คงใกล้จะอยู่ไม่รอดแล้วกระมัง” ตงฟางโยวเก่งกาจมากจริงๆ อย่างน้อยในด้านวรยุทธก็ไม่มีสตรีที่ม่อซิวเหยาเคยพบคนใดมีฝีมือสูงกว่านางเลย แม้แต่ในหมู่บุรุษ นางก็เพียงพอที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้แล้ว ในเมื่อเกิดในเขาซางหมาง การเล่นฉิน หมากรุก เขียนพู่กันและวาดรูปก็คงไม่ด้อย อีกทั้งมีเหลยเจิ้นถิงรับรองว่านางยังเก่งกาจในฝีมือแพทย์อีก น่าเสียดายก็เพียงตงฟางโยวล้วนดีไปหมดทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่สมอง
เหลยเจิ้นถิงมองม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีที่มองหน้ากันแล้วยิ้ม บรรยากาศความสนิทชิดเชื้อที่คล้ายมีคล้ายไม่มีระหว่างทั้งคู่นั้นทำเอารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมาห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ชั้นหนึ่ง แตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิงและผู้อื่นก็ไร้หนทางที่จะแทรกเข้าไประหว่างกลางของพวกเขาได้ เหลยเจิ้นถิงหลุบตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ “ในเมื่อคนของเขาซางหมางปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ก็ต้องเลือกเป้าหมายที่ช่วยเหลือ ในเมื่อติ้งอ๋องปฏิเสธไปแล้ว เช่นนั้นคนที่มีความเป็นไปได้คนต่อไปจะเป็นใครกัน”
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ม่อจิ่งหลี”
เหลยเจิ้นถิงสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ม่อจิ่งหลียามนี้คุมเชิงอยู่ที่แม่น้ำอวิ๋นหลัน หากมีเขาซางหมางคอยช่วยล่ะก็ คนที่จะแย่ก็คือตัวเขาเอง ม่อซิวเหยาอยู่ไกลออกไป ภายในช่วงเวลาอันใกล้จึงย่อมไม่เกี่ยวกับเขา เยี่ยหลีมองสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเหลยเจิ้นถิงก็ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เจิ้นหนานอ๋องไม่ต้องกังวลไป หากม่อจิ่งหลีแข็งแกร่งเกินไป ก็ไม่เป็นผลดีต่อตำหนักติ้งอ๋องของเราด้วยเช่นกัน เราย่อมไม่อาจอยู่เฉยได้”
เหลยเจิ้นถิงไม่ใช่คนที่จะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมด้วยได้ง่าย เขามองเยี่ยหลีแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ให้เขาซางหมางสนับสนุนม่อจิ่งหลี จากนั้นข้าค่อยตัดสินชะตากับเขา ส่วนตำหนักติ้งอ๋องก็ได้เป็นคนกอบโกยผลประโยชน์ไป ท่านทั้งสองวางแผนได้ดีนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากลับคิดว่าเหรินฉีหนิงเหมาะสมยิ่งกว่า เด็กกำพร้าจากราชวงศ์ที่มีสิทธิ์ถูกต้องเหมาะสม จะไม่ยิ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมของเขาซางหมางหรือ”
รอยยิ้มม่อซิวเหยาเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย “เหรินฉีหนิงไม่มีชะตาเช่นนั้น”
เหลยเจิ้นถิงแววตาเคร่งขรึม ตีความนัยจากประโยคนี้ของม่อซิวเหยาอย่างเร็วรี่ ตำหนักติ้งอ๋องตัดสินใจจะลงมือกับเป่ยจิ้งหรือ เขายังนึกว่าศัตรูตัวฉกาจของตำหนักติ้งอ๋องยามนี้จะเป็นเป่ยหรงเสียอีก
ม่อซิวเหยาเห็นเหลยเจิ้นถิงกำลังคาดเดาและสงสัย แต่เขากลับไม่อธิบายอันใด เอ่ยเสียงเรียบว่า “เจิ้นหนานอ๋องเพียงแค่มองดูก็พอแล้ว ม่อจิ่งหลีเป็นตัวเลือกหนึ่งเดียวของเขาซางหมาง แต่แน่นอนว่า…เจิ้นหนานอ๋องยังมีอีกตัวเลือกหนึ่ง”
“ข้ารอฟังด้วยความเคารพ” เหลยเจิ้นถิงเอ่ยอย่างระมัดระวัง ม่อซิวเหยาอมยิ้ม เอ่ยขึ้นราวกับไม่ใส่ใจว่า “ก่อนที่เขาซางหมางจะเลือกเป้าหมายในการสนับสนุนได้ ก็ชิงทำลายพวกเขาเสียก่อน”
เหลยเจิ้นถิงอดจะสูดหายใจเข้าลึกๆ มิได้ เขาเบิกตามองม่อซิวเหยาอยู่นานจนในที่สุดก็มั่นใจว่าม่อซิวเหยาไม่ได้ล้อเล่น แต่กำลังเสนอความคิดนี้ขึ้นมาจริงๆ ผ่านไปพักใหญ่ เหลยเจิ้นจึงได้ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องมิได้รู้จักเขาซางหมางอย่างถ่องแท้ จึงย่อมไม่รู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขา” ม่อซิวเหยาพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้จักเขาหมางซานอย่างถ่องแท้จริงๆ” แต่ไหนแต่ไรมาทายาทเขาซางหมางในอดีตไม่เคยยั่วยุคนของตำหนักติ้งอ๋องมาก่อน ดังนั้นสำหรับตำหนักติ้งอ๋องแล้ว สิ่งที่เรียกว่าเขาซานหมางเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีอยู่จริงเท่านั้น บางทีคนของเขาซางหมางเองก็น่าจะรู้ดีว่าผู้นำของตำหนักติ้งอ๋องในอดีตมิใช่เป้าหมายที่เหมาะสมที่จะให้พวกนางควบคุม “แต่ทว่า…ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาซางหมางก็คงไม่มีศักยภาพพอที่จะต่อสู้กับแคว้นแคว้นหนึ่งกระมัง” ในเมื่อวางแผนต่างๆ ไว้มากมายเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าชาวซางหมางก็มีความทะเยอทะยานเช่นกัน มีความทะเยอทะยานอยู่เต็มอกแต่กลับแฝงไว้กับตัวผู้อื่น เช่นนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าอีกฝ่ายยังไม่มีความสามารถที่จะช่วงชิงใต้หล้ามาไว้ได้
เหลยเจิ้นถิงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ที่ชาวซางหมางไม่เข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์มาโดยตลอดนั้นมิใช่เพราะพวกเขาไร้ซึ่งศักยภาพ แต่เป็น…” เหลยเจิ้นถิงลังเลครู่หนึ่ง ราวกับตัดสินใจไม่ได้ว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด เขาเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ที่พวกเขาซ่อนเร้นจากโลกภายนอกมาโดยตลอดก็เพราะผู้นำในอดีตของเขาซางหมางล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น พววกเขาย่อมมิอาจมาช่วงชิงบัลลังก์มังกรมาได้ จงหยวนไม่เหมือนหนานเจียง ที่ไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนธรรมดา นักปราชญ์หรือผู้มีวรยุทธ ล้วนไม่ยอมรับให้สตรีขึ้นมานั่งในตำแหน่งฮ่องเต้ได้ ดังนั้น พวกนางจึงทำได้เพียงเลือกที่จะแอบควบคุมอยู่เงียบๆ เป็นเช่นนี้หลายร้อยปี อำนาจของเขาซางหมางกระจายไปทั่วต้าฉู่ ซีหลิงหรือแม้กระทั่งหนานจ้าวและเป่ยหรงแล้ว กระทั่งแต่ละแคว้นในแดนตะวันตกก็มีร่องรอยของพวกนาง ติ้งอ๋องรู้หรือไม่ว่าตงฟางโยวจึงได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วไม่ตอบคำ
เหลยเจิ้นถิงเอ่ยเสียงเย็นว่า “นั่นเพราะในบรรดาคนที่ติ้งอ๋องสังหารที่เมืองซีหลิงนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้มีอำนาจจากเขาซางหมาง นี่จึงทำให้ผู้นำคนปัจจุบันของเขาซางหมางตื่นตระหนก ติ้งอ๋องพูดถูกแล้ว อันที่จริงยามนี้ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาซางหมางซานคือม่อจิ่งหลี เพราะยามนี้…อำนาจของเขาซางหมางมีอยู่ในราชวงศ์ต้าฉู่มากที่สุด อีกทั้ง…กระทั่งตำหนักติ้งอ๋องของท่าน ข้าก็ไม่กล้ารับรองว่าจะไร้ซึ่งคนจากเขาซางหมาง”