เทียบกับท่าทางก่นด่าเหน็บแนมอย่างไร้ปรานีของม่อซิวเหยาแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่าทางห่างเหินที่สุภาพอ่อนโยนของสวีชิงเฉินทำตงฟางโยวทำอันใดไม่ถูกได้มากกว่า นางมองเขาอยู่นานสองนาน แล้วจึงถอนใจออกมาเงียบๆ ก่อนเอ่ยถามว่า “คุณชายชิงเฉินไม่เชื่อที่ข้าพูดหรือเจ้าคะ” สวีชิงเฉินอมยิ้มไม่ตอบว่าใช่หรือไม่
ตงฟางโยวคิดเอาเองว่าการเงียบของสวีชิงเฉินเห็นได้ชัดว่าเป็นการยอมรับ นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “คุณชายชิงเฉินวางใจก็พอแล้ว ที่ข้าเลือกจะแต่งเข้ามาเป็นชายารองของติ้งอ๋อง มิใช่เพราะอยากจะได้รับความรักความโปรดปรานของติ้งอ๋องหรือสิ่งอื่นใด แต่เพียงเพื่อจะช่วยเหลือติ้งอ๋องเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ติ้งอ๋องได้ปกครองใต้หล้า ก็เป็นอันว่าภารกิจของตงฟางโยวเสร็จสิ้น และจะจากไปเพื่อตามหาความสุขของตัวเองต่อไป จะไม่อาลัยอาวรณ์ติ้งอ๋องและจะไม่นำความเดือดร้อนต่างๆ มาให้พระชายาติ้งอ๋องแน่นอน”
สวีชิงเฉินอมยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางตงฟางยามนี้ก็สามารถไปเสาะแสวงหาความสุขของตัวเองได้ โปรดอภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง ดูๆ แล้วติ้งอ๋องไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า อีกทั้งแม่นางตงฟางคงมิได้ลงเขามาเสียนานกระมัง จึงไม่ทราบถึงกฎเกณฑ์ของการแต่งตั้งบางอย่างในโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่น ชายารอง…มิอาจใช้คำว่าแต่งเข้าได้ แต่ต้องใช้คำว่ารับเข้า” สตรีที่สามารถพูดคำว่าแต่งเข้ามาเป็นชายารองของติ้งอ๋อได้อย่างตรงไปตรงมา จะไม่ต้องการยื้อแย้งสิ่งใดดังเช่นที่นางพูดได้อย่างไร บางทีนางอาจจะไม่ต้องการความโปรดปรานจากติ้งอ๋องจริงๆ นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่นางต้องการนั้นสำคัญกว่าความรักจากติ้งอ๋องอยู่มาก สวีชิงเฉินไม่ชอบตระกูลในตำนานที่ซ่อนเร้นจากโลกหล้ามาแต่ไหนแต่ไร ส่วนที่กล่าวว่าเป็นตัวแทนสวรรค์ในการเลือกประมุขนั้น ยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระเข้าไปใหญ่ หากมีสายตาหลักแหลมเพียงนั้นจริงก็น่าจะปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว แม้ว่ายามนี้อำนาจยิ่งใหญ่ของใต้หล้าจะยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าม่อซิวเหยามีโอกาสมากที่สุด เมื่อผนวกรวมกับอำนาจของเขาซางหมางแล้ว การจะสร้างจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมขึ้นเพื่อปกครองใต้หล้าจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่กระนั้นสิ่งเหล่านี้ ต่อให้ไม่มีชาวซางหมาง ตำหนักติ้งอ๋องก็ยังสามารถทำได้อยู่ดี แล้วเหตุใดจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชื่อเสียงของพวกนางกัน
ดวงตาตงฟางโยวฉายแววโกรธขึ้ง สวีชิงเฉินไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ก็ยากที่จะสงบจิตสงบใจไว้ได้ ทว่าท่าทางของสวีชิงเฉินกลับยิ่งทำให้นางไร้หนทางจะระบายความโกรธเคืองนี้ออกมา สีหน้านางจึงพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนจนยากจะมองออก
ตงฟางโยวรู้ถึงจุดแข็งกับความสามารถของตนเองมาโดยตลอด แต่นางก็ทราบเช่นกันว่าพรสวรรค์ที่นางมีมาแต่กำเนิดนั้นใช้ไม่ได้ผลกับคนประเภทม่อซิวเหยาและสวีชิงเฉินที่มีปณิธานมุ่งมั่นแข็งกล้า ดังนั้นก็จะไม่หาเรื่องให้ตนต้องถูกดูแคลนอีกต่อไป นางสงบจิตสงบใจมองสวีชิงเฉิน เอ่ยว่า “ข้าคิดว่ามีเรื่องบางเรื่องที่จำต้องพูดคุยต่อหน้าติ้งอ๋อง บางทีติ้งอ๋องอาจจะให้คำตอบที่ต่างออกไป เพราะถึงอย่างไร…คุณชายชิงเฉินก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว มิใช่หรือเจ้าคะ” คิ้วคมของสวีชิงเฉินเลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ติ้งอ๋องยามนี้ไม่ว่าง”
ตงฟางโยวก็ไม่รีบไม่ร้อน “ข้ารอได้”
สวีชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่นมองสตรีตรงหน้า ทันใดนั้นในใจลึกๆ ก็พลันรู้สึกว่าสตรีนางนี้เป็นตัวปัญหา ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าสตรีนางนี้เป็นตัวปัญหาจริงๆ เพียงแต่มิใช่ตัวปัญหาของม่อซิวเหยา
ตงฟางโยวมีน้ำอดน้ำทนมหาศาลจริงดังที่พูด สวีชิงเฉินนั่งอยู่ในห้องโถงเป็นเพื่อนนางจนดื่มชาไปแล้วหกเจ็ดถ้วย แม้แต่คุณชายชิงเฉินที่สงบเยือกเย็นมาโดยตลอดก็ยังเริ่มทนไม่ไหวที่ต้องมานั่งประจันหน้ากับสตรีเช่นนางโดยไม่พูดไม่จากันสักคำเช่นนี้ แต่ตงฟางโยวกลับดูจะไม่หมดความอดทนเลยสักนิด นางนั่งอยู่ภายในห้องโถงด้วยท่าทางสงบนิ่งและยกชาขึ้นจิบเป็นครั้งคราวเท่านั้น
จนกระทั่งใกล้จะถึงยามเที่ยงวัน ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีถึงได้เดินเข้ามา เมื่อเห็นสีหน้าสุภาพอ่อนโยนของสวีชิงเฉินที่แฝงไว้ด้วยความเหลืออดและแข็งทื่อ อารมณ์ของม่อซิวเหยาก็ดูดีขึ้นไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด พอแขกและเจ้าบ้านนั่งลงกันแล้ว ม่อซิวเหยาก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ยกอำนาจของผู้นำไปให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีอมยิ้มมองตงฟางโยวแล้วเอ่ยว่า “ยังมิได้ถามชื่อถามนามของแม่นางเลย”
ตงฟางโยวลุกขึ้นทำความเคารพ เอ่ยว่า “ถวายพระพรพระชายา ข้ามีนามว่าตงฟางโยวเพคะ”
เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางตงฟางไม่ต้องมากพิธี ข้ากับติ้งอ๋องติดธุระ ทำแม่นางรอนานแล้ว” ตงฟางโยวยิ้มบาง “หามิได้เจ้าค่ะ มีคุณชายชิงเฉินมาต้อนรับ ข้ากับคุณชายพูดคุยกันถูกคอมากทีเดียว” ม่อซิวเหยายิ้มพลางมองสวีชิงเฉินแล้วเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดแม่นางตงฟางจึงไม่บอกกล่าวธุระกับคุณชายชิงเฉินไปโดยตรงเลยเล่า ยามนี้เรื่องราวน้อยใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋องล้วนมีคุณชายชิงเฉินเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น” ตงฟางโยวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยว่า “ท่านอ๋องเพคะ โปรดอภัยที่ข้าต้องเรียนตามตรง แม้ว่าติ้งอ๋องกับพระชายาจะสมัครรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งท่านอ๋องยังให้ความไว้วางใจต่อตระกูลสวีเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นการผูกขาดอำนาจให้แก่ครอบครัวภรรยาก็เป็นสาเหตุของความไม่สงบมาตั้งแต่อดีต ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ท่านอ๋องยังมิได้บรรลุในอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง หากในอนาคต…”
สามคนที่เหลือภายในห้องโถงต่างมองตงฟางโยวที่พล่ามคำพูดโน้มน้าวออกมาเป็นคุ้งเป็นแควอย่างหมดคำจะพูด มิได้จะบอกว่าคำพูดเหล่านี้มีปัญหาแต่อย่างใด หากอยู่ในบางช่วงเวลาคำพูดเหล่านี้อาจเรียกได้ว่าเป็นคำแนะนำอันจริงใจที่ล้ำค่าเสียยิ่งกว่าทองและหยก ทว่าปัญหาคือ ยามนี้แม่นางตงฟางผู้นี้ไม่ใช่ทั้งญาติพี่น้องในตำหนักติ้งอ๋องและไม่ใช่คนที่ตำหนักติ้งอ๋องไว้วางใจ การกล่าวให้ร้ายผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าคนในตระกูลสวีกับพระชายาติ้งอ๋องเช่นนี้เป็นการดีแล้วหรือ ความจริงแล้วคำพูดเหล่านี้ของนางคงท่องมาจากตำราเล่มไหนสักเล่มกระมัง
ไม่ง่ายเลยที่จะรอจนกระทั่งนางกล่าวจบ เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณสำหรับคำโน้มน้าวของแม่นางตงฟางมาก เรื่องเหล่านี้ท่านอ๋องคงทราบแก่ใจดีอยู่แล้ว”
ตงฟางโยวขมวดคิ้วบางๆ มองเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ เอ่ยว่า “พระชายาติ้งอ๋อง แม้ว่าตระกูลสวีจะเป็นตระกูลฝั่งมารดาของท่าน แต่โบราณว่าไว้ลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็มิใช่ลูกสาวบ้านนั้นอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็มิใช่ลูกสาวของตระกูลสวี หรือว่าท่านจะไม่ใคร่ครวญเพื่อประโยชน์ของตำหนักติ้งอ๋องเลยหรือ เรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวให้แก่ตระกูลเช่นนี้ ใช่คุณธรรมของผู้เป็นภรรยาและพระชายาหรือ”
เยี่ยหลีเงียบไป แม่นางคนนี้ไม่เพียงอยากจะเป็นผู้เสียสละที่ภักดี นางยังคิดจะเลียนแบบฮองเฮาเจาจ่างซุนอีกด้วย หากทายาทของเขาซางหมางล้วนเป็นเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ยังนึกสงสัยว่าพวกนางไต่เต้าจนได้ขึ้นตำแหน่งเป็นฮองเฮากันได้อย่างไร น่าจะถูกฮ่องเต้สั่งประหารเพราะคำพูดขัดหูไปเสียตั้งนานแล้วมากกว่า
“แม่นางตงฟาง เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นกังวล สู้เจ้าพูดออกมาเลยดีกว่าว่าที่เจ้ามาที่ตำหนักติ้งอ๋องนี้ด้วยเพราะเรื่องใด ดีหรือไม่” ในที่สุดเยี่ยหลีก็เอ่ยขัดนางขึ้นมาอย่างอดมิได้ ใบหน้างดงามของตงฟางโยวปรากฏแววไม่คาดฝันขึ้น นางจ้องมองเยี่ยหลีเขม็ง “พระชายา ท่านยังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ” เยี่ยหลีพบว่าสติปัญญาของตนถูกคนสงสัยเข้าเสียแล้วจึงถามอย่างใสซื่อว่า “ข้าควรฟังสิ่งใดให้เข้าใจหรือ”
ตงฟางโยวเอ่ยว่า “ที่ข้าลงเขามาก็เพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิองค์ใหม่”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาจักรพรรดิองค์ใหม่ของเจ้าเสียสิ” เยี่ยหลีเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง นางตอบไปเสียงเรียบ ตงฟางโยวถูกตอกหน้าจนคับอกคับใจไปหมด จนนางลืมเยี่ยหลีไปชั่วขณะ ครู่ต่อมาจึงยิ้มบางเอ่ยว่า “จักรพรรดิที่ถูกเลือกโดยเขาซางหมางก็คือติ้งอ๋อง ข้าคือทายาทรุ่นนี้ของเขาซางหมาง และได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาช่วยเหลือติ้งอ๋อง”
เยี่ยหลีมองนางแล้วเอ่ยถามว่า “สิ่งที่แม่นางตงฟางเรียกว่าช่วยเหลือนั้น คือการเข้าจวนติ้งอ๋องมาเป็นชายารองของติ้งอ๋องหรือ” ตงฟางโยวตอบอย่างไม่ไยดีว่า “นี่เป็นเพียงแผนการเฉพาะหน้าเท่านั้น ในเมื่อติ้งอ๋องได้แต่งพระชายาไปแล้ว ข้าก็ย่อมไม่เข้าไปแทรกกลาง ไว้รอให้ติ้งอ๋องได้ปกครองใต้หล้าแล้ว ข้าย่อมบรรลุเป้าหมายและจากไป” เยี่ยหลีหันไปโยนปัญหาให้ม่อซิวเหยา “ท่านอ๋อง ท่านจัดการเอาเองเถิด จะรับนางไว้เป็นที่ปรึกษาหรือไม่”
ม่อซิวเหยาตอบอย่างไร้ปรานีว่า “โยนนางออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ เสียเวลาข้า”
“ติ้งอ๋อง!” ตงฟางโยวถลึงตาโตมองเขาด้วยความตกใจ นางจ้องม่อซิวเหยาเขม็งเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องไม่อยากรู้จริงๆ หรือว่าข้าสามารถให้ประโยชน์อันใดแก่ท่านได้บ้าง อำนาจของเขาซางหมางมีมากกว่าที่ท่านคิดเอาไว้มากนัก” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่เงยหน้ามองนางแม้แต่น้อย “ข้าไม่สนใจเขาซางหมางอะไรของเจ้าแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น…มีทายาทเช่นเจ้า เกรงว่าต่อให้เขาซางหมางสามารถต้านทานทหารกล้านับล้านได้ก็คงไร้ประโยชน์”