เห็นได้ชัดว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยมิได้ชอบใจท่าทางออดอ้อนออเซาะของสนมหลิ่วเท่าใดนัก เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เยี่ยหลียิ้มบางเอ่ยว่า “แม่นางชิงอีน่าคงไม่ได้อยากบอกว่าข้าส่งคนไปจับตัวเจ้ามาหรอกกระมัง”
สนมหลิ่วพลั้งปากไป นางมาตำหนักฉางซิ่งอ๋องด้วยตัวเองจริงๆ ทว่าเหตุผลที่นางมากลับมิอาจพูดต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ได้ เยี่ยหลีมองเยียหลี่ว์เหยี่ยด้วยสีหน้าไม่แยแส เอ่ยว่า “องค์ชายเยียหลี่ว์ เมื่อครู่แม่นางชิงอีน่ากล่าวโทษข้ากับท่านอ๋องอย่างไร้เหตุไร้ผลว่าพวกข้าบงการให้องค์หญิงหนิงเจินลอบสังหารนาง ยามนี้ข้าจึงอยากจะบอกว่าเป็นนางที่บุกเข้าตำหนักฉางซิ่งอ๋องมาทำร้ายองค์หญิงกับฉางซิ่งอ๋องอย่างไรเหตุผลแล้วป้ายความผิดมาให้ข้า”
เยียหลี่ว์เหยี่ยขมวดคิ้วมุ่น แม้ว่าความจริงแล้วในสายตาเขาสถานการณ์เบื้องหน้านี้เขาจะเอนเอียงเชื่อในสิ่งที่สนมหลิ่วกล่าวมามากกว่า ทว่าคำพูดของเยี่ยหลีกลับทำเขาพูดอันใดไม่ออก ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบใจที่สนมหลิ่วมาที่ตำหนักฉางซิ่งอ๋องโดยพลการ เยียหลี่ว์หงที่นั่งอยู่อีกด้านเห็นเยี่ยหลีสร้างความลำบากใจให้แก่เยียหลี่ว์เหยี่ย สีหน้ากลับเรียบเฉยอย่างมาก เขาทำเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องกับพระชายาเป็นถึงเจ้าบ้าน คงไม่ไร้มารยาทกับผู้เป็นแขกอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นบงการองค์หญิงเจินหนิงให้สังหารชิงอีน่าก็อาจจะพูดคลุมเครือเกินไปหน่อย แต่น้องเจ็ด ชิงอีน่าอยู่กับเจ้าตลอดมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาที่ตำหนักฉางซิ่งอ๋องได้เล่า” เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาบงการองค์หญิงเจินหนิงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลสักนิด ทว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยกลับมองข้ามความจริงที่ว่าองค์หญิงเจินหนิงสังหารสนมหลิ่วไป เห็นได้ชัดว่าเขาผลักโทษไปให้แก่สนมหลิ่วเต็มๆ
เยียหลี่ว์เหยี่ยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ท่านพี่พูดถูกขอรับ เรื่องวันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน”
องค์หญิงหรงหวาปิดปากหัวเราะ เอ่ยว่า “น้องเจ็ดพูดถูก ชิงอีน่าคล้ายคลึงกับสนมหลิ่วเช่นนี้ จึงเกิดการเข้าใจผิดกันได้ เมื่อสองวันก่อนฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิงยังมาถวายพระพรอยู่เลย หรือฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงยามนี้ยัง…” ม่อเซียวอวิ๋นเอ่ยอย่างเคารพนบนอบกับองค์หญิงหรงหวาว่า “ท่านอาหรงหวาสั่งสอนได้ถูกต้องยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้ากับพี่หญิงบุ่มบ่ามกันเกินไป ยามนี้เรื่องราวชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว เราสองพี่น้องมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับแม่นางชิงอีน่าแม้แต่น้อย เป็นพวกข้าจำคนผิดเองขอรับ” กล่าวจบ ม่อเซียวอวิ๋นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แอบจับมือองค์หญิงเจินหนิงไว้เงียบๆ องค์หญิงก้มหน้าซ่อนแววตาเคียดแค้นไว้ ในที่สุดก็มิได้พูดอันใดให้มากความอีก เพียงนิ่งเงียบเป็นยอมรับในสิ่งที่ม่อเซียวอวิ๋นพูด
เยียหลี่ว์หงยิ้มเอ่ยว่า “เข้าใจผิดกันก็ดีแล้ว เช่นนั้นเรื่องคืนนี้…”
ม่อเซียวอวิ๋นเอ่ยว่า “คืนนี้ก็เข้าใจผิดเช่นกัน แม่นางชิงอีน่ามาถึงอย่างกะทันหัน เรามีปากเสียงกันนิดหน่อย พี่หญิงคิดว่าแม่นางชิงอีน่าจะทำร้ายพวกเรา นางจึงได้ลงมือทำร้ายแม่นางเข้า ขอท่านอ๋องเยียหลี่ว์เหยี่ยโปรดอภัยด้วย หากต้องได้รับการลงโทษ เซียวอวิ๋นก็ยินดีรับไว้”
พูดถึงเพียงนี้แล้ว เยียหลี่ว์เหยี่ยย่อมมิอาจรังแกเด็กที่เพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปีได้ จึงจำต้องให้จบลงเช่นนี้ เรียกได้ว่าสนมหลิ่วโดนปิ่นแทงไปโดยสูญเปล่า เยียหลี่ว์เหยี่ยกล่าวลาม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีด้วยใบหน้านิ่งขรึมแล้วประคองสนมหลิ่วเดินจากไป
“ช้าก่อน” เสิ่นหยางที่ยืนชมความคึกคักอยู่อีกด้านมาโดยตลอดเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
แม้ว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยจะไม่คุ้นเคยกับเสินหย่าง ทว่าก็ทราบดีว่าเขามีตำแหน่งพิเศษในตำหนักติ้งอ๋อง จึงหันกลับมารอฟังเขาพูดอย่างอดทน ก็เห็นเสิ่นหยางรับใบสั่งยาที่ม่ออู๋โยวเขียนไว้เรียบร้อยแล้วส่งมาให้เขา เอ่ยว่า “โบราณว่าไว้ แพทย์ห่วงใยผู้ป่วยดุจบิดามารดาห่วงใยบุตร ในเมื่อเจ็บป่วย ข้าจึงมิอาจเมินเฉยได้ แม่นางผู้นี้แท้งมาหลายคราเกินไป เมื่อครู่ก็บาดเจ็บไม่น้อย ใบสั่งยานี้ท่านนำกลับไปหายาให้นางทานเถิด แม้จะมิอาจรับรองได้ว่าในอนาคตจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกหรือไม่ แต่ก็ดีต่อร่างกายไม่น้อย”
พอประโยคนี้จบลง คนทั่วทั้งโถงใหญ่พลันมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมาทันที อันที่จริงพวกเยี่ยหลีต่างรู้กันก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อยามนี้ได้มาเห็นเสิ่นหยางพูดเรื่องนี้กับเยียหลี่ว์เหยี่ยด้วยท่าทางจริงจัง รอยยิ้มของเยี่ยหลีก็แข็งค้างขึ้นมาอย่างอดมิได้ สีหน้าเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ยิ่งถมึงทึงจนน่าตกใจ ต่อให้ชาวเป่ยหรงจะมิได้สนใจปัญหาด้านนี้ของสตรีเป็นพิเศษนัก แต่นั่นก็หมายความถึงประชาชนคนธรรมดาของเป่ยหรงเท่านั้น บรรดาราชวงศ์และชนชั้นสูงของเป่ยหรงต่างในความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าชาวจงหยวนเลย ต่อให้เยียหลี่ว์เหยี่ยกับสนมหลิ่วจะไม่ได้มีสัมพันธ์กันในแง่นั้น แต่ให้คนพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าขายหน้าอย่างมาก
กับสนมหลิ่วด้วยแล้วยิ่งถูกคำพูดอันน่าตกใจของเสิ่นหยางนี้ทำเอาหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม นางถลึงตามองเสิ่นหยางกับม่ออู๋โยวด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินตามเยียหลี่ว์เหยี่ยไปด้วยความร้อนรน
เมื่อเยียหลี่ว์เหยี่ยจากไปแล้ว เยียหลี่ว์หงกับองค์หญิงหรงหวาก็มิอาจอยู่ต่อได้ จึงลุกขึ้นขอตัวลาตามกันไป เสิ่นหยางเห็นว่าไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับตนแล้วก็ลุกขึ้นพาม่ออู๋โยวเดินออกไปเช่นกัน ขณะที่เดินผ่านองค์หญิงเจินหนิงนั้นเขาหยุดฝีเท้าลง มองนางแล้วเอ่ยว่า “เด็กสาวเยี่ยงเจ้าน่าสนใจนัก ไว้ไปหาข้าที่ตำหนักติ้งอ๋องเถิด” พูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมา องค์หญิงเจินหนิงกับม่อเซียวอวิ๋นไม่เข้าใจว่าเสิ่นหยางหมายความว่าอย่างไร ทว่าม่ออู๋โยวกลับรู้ดี แต่บาดแผลขององค์หญิงเจินหนิงนั้นสาหัสนัก แม้ว่าม่ออู๋โยวที่มั่นใจในฝีมือแพทย์ของท่านอาจารย์ตัวเองเป็นอย่างมากก็มิอาจรับรองว่าจะรักษาให้หายสนิทได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจินหนิง จำคำของท่านอาจารย์ไว้ หากมีเวลาต้องมาที่ตำหนักติ้งอ๋องให้ได้นะ” เมื่อเห็นองค์หญิงพยักหน้าแล้วจึงได้คำนับม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีแล้วเดินตามอาจารย์ไป
เพียงไม่นาน ภายในห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงพวกม่อซิวเหยาสี่คน ห้องโถงที่เดิมทีมีบรรยากาศตึงเครียดเคร่งขรึมพลันเงียบสงบลงไปทันใด ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เรื่องในคืนนี้แม้ว่าจะไม่มากมายนัก ทว่าเกิดขึ้นติดๆ กันถึงสองเรื่องเช่นนี้ก็ทำให้ม่อซิวเหยาไม่สบอารมณ์นัก สายตาที่มองม่อเซียวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงจึงฉายแววไม่ดีอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้ตั้งใจแผ่รังสีออกมา แต่แรงกดดันจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเช่นนี้ก็ทำเอาองค์หญิงเจินหนิงกับม่อเซียวอวิ๋นมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาเต็มหน้าผาก
เยี่ยหลีที่เห็นท่าทางฝืนทนของสองพี่น้องก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ยื่นมือไปจับมือม่อซิวเหยาไว้ เอ่ยกับทั้งสองเสียงเบาว่า “พวกเจ้าก็เหนื่อยกันมามากแล้ว ไปพักผ่อนเถิด ต่อไปก็อย่าได้บุ่มบ่ามก่อเรื่องเช่นนี้อีก”
ม่อเซียวอวิ๋นพยักหน้าเอ่ยรับคำ ม่อซิวเหยาจ้ององค์หญิงเจินหนิงเขม็งแล้วเอ่ยว่า “ในใจเจ้ายังเคียดแค้นนางอยู่หรือไม่”
องค์หญิงเจินหนิงกัดฟันตอบว่า “แค้นที่มิอาจสับนางให้เป็นหมื่นชิ้นได้!”
ม่อซิวเหยายิ้มเย็น เอ่ยถามว่า “เจ้ามีสิทธิอันใด” องค์หญิงเจินหนิงตกตะลึง มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้ามีความสามารถที่จะสับนางให้เป็นหมื่นชิ้นหรือ เกรงว่าครั้งหน้าคนที่จะตกไปอยู่ในเงื้อมมือนางแล้วกลายเป็นศพหมื่นชิ้นคงจะเป็นเจ้าเสียมากกว่า” องค์หญิงเจินหนิงกัดฟัน หากว่ากันที่ความสามารถแล้ว นางสู้สนมหลิ่วไม่ได้จริงๆ ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีให้ลุกขึ้นแล้วมองทั้งคู่ด้วยสายตาเรียบเฉย เอ่ยว่า “พวกเจ้าอย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของสนมหลิ่วอีก แล้วก็…ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าช่วยเหลือนางเช่นกัน หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำเรื่องที่ไม่ควรทำล่ะก็…อย่ามาโทษว่าข้าไร้ปรานีก็แล้วกัน”
ม่อเซียวอวิ๋นใจกระตุก ความหมายของติ้งอ๋องคือตั้งใจจะจัดการสนมหลิ่วแล้ว ม่อเซียวอวิ๋นพยุงองค์หญิงเจินหนิงไว้แล้วเอ่ยว่า “เซียวอวิ๋นกับพี่หญิงน้อมรับคำสั่งสอนของท่านอาติ้งอ๋อง พวกเราจะไม่บุ่มบ่ามก่อเรื่อง นางมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราอีกแล้ว”
“ดีมาก” ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ จูงมือเยี่ยหลีเดินออกไป
พอกลับมาถึงตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีกับม่อเซียวเหยาก็ต่างออกคำสั่งไม่อนุญาตให้บอกเรื่องในคืนนี้แก่ท่านชิงอวิ๋น อันที่จริงท่านชิงอวิ๋นที่อายุอานามเพียงนี้แล้วย่อมไม่เก็บเรื่องมากมายของโลกมาใส่ใจ หนำซ้ำยังออกจะเปิดใจกว้างยอมรับได้มากด้วยซ้ำ แต่ความกตัญญูในฐานะลูกหลานก็ย่อมไม่อยากให้ท่านต้องมากังวลกับเรื่องที่พวกเขาจัดการกันเองได้เช่นนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเพิ่งจะตื่น องครักษ์ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า “แม่นางตงฟางมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีชะงักไป ไม่ค่อแน่ใจว่าแม่นางตงฟางผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ ม่อเซียวเหยาเบะปากด้วยความดูแคลนเอ่ยว่า “คนจากเขาซางหมางซานนางนั้น ไปขอให้คุณชายชิงเฉินจัดการเถิด ข้ากับพระชายายังมีเรื่องต้องทำ” องครักษ์รับคำสั่งแล้วออกไป เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเรามีเรื่องให้ทำด้วยหรือ” ม่อซิวเหยายิ้มตอบว่า “เราไปหาองค์หญิงน้อยของเรากัน ไปสร้างความผูกพันกับนางดีหรือไม่”
ณ ห้องโถงใหญ่ในตำหนักติ้งอ๋อง สตรีในอาภรณ์ขาวนั่งจิบชาอยู่เงียบๆ ราวกับว่าไร้ซึ่งความโกรธเคืองที่ม่อซิวเหยาปฏิบัติอย่างเย็นชา นางเพียงนั่งรออย่างเงียบสงบ ครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอก มุมปากนางแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มที่งดงามสมบูรณ์แบบ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมองกลับมิใช่บุรุษรูปงามในอาภรณ์และเกศาขาวผู้นั้น แต่เป็นบุรุษเกศาดำขลับในอาภรณ์สีขาวราวหิมะงดงามบริสุทธิ์เหนือแดนโลกีย์ แม้ว่าคุณชายชิงเฉินจะดึงดูดสายตาให้จับจ้อง ทว่าเมื่อคืนวานนางกลับเพ่งความสนใจทั้งหมดไปกับม่อซิวเหยา แม้ว่าจะไม่เห็นสวีชิงเฉินที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนตระกูลสวี แต่มองเพียงท่วงท่าอันสง่างามภายในอาภรณ์ขาวที่พริ้วไหวอยู่นั้น กลับทำให้นางเดาได้ว่าผู้มาใหม่คนนี้เป็นใคร นางลุกขึ้น ยิ้มบางเอ่ยว่า “ตงฟางโยวคำนับคุณชายชิงเฉิน”
สวีชิงเฉินยิ้มบางๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “แม่นางตงฟางไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด”
ตงฟางโยวพยักหน้าแล้วนั่งลง นางมองสวีชิงเฉินพลางเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าติ้งอ๋องอยู่หรือไม่”
สวีชิงเฉินยิ้มตอบ “ติ้งอ๋องมีเรื่องต้องจัดการ ไม่มีเวลามาต้อนรับแม่นาง โปรดอภัยด้วย”
ตงฟางโยวเลิกคิ้วมองสวีชิงเฉิน เอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินมีอันใดไม่ชอบใจข้าหรือ ไม่ทราบว่าข้าทำสิ่งใดให้คุณชายไม่พอใจเข้าหรือไม่” สวีชิงเฉินยิ้มแต่ไม่ตอบคำ ตงฟางโยวถอนใจออกมาอย่างจนใจ “ข้าทราบแล้ว คุณชายชิงเฉินเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระชายาติ้งอ๋อง ก็ไม่แปลกที่คุณชายจะไม่พอใจข้า”
สวีชิงเฉินส่ายหน้าเอ่ยเสียงเรียบว่า “เกรงว่าแม่นางตงฟางจะคิดไปเองว่าข้าไม่ชอบแม่นางกระมัง แม่นางตงฟางคิดมากเกินไปแล้ว ความรู้สึกระหว่างหลีเอ๋อร์กับติ้งอ๋องนั้นเป็นเรื่องของพวกเขา จะดีร้ายอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา ตระกูลสวีมิอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้” ตงฟางโยวเอ่ยว่า “ข้ามิได้มีเจตนาเข้าไปยุ่งในความสัมพันธ์ของติ้งอ๋องกับพระชายา”
สวีชิงเฉินเอ่ย “นั่นก็เป็นเรื่องของแม่นางตงฟาง”