เสิ่นหยางมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่นอนไม่ได้สติอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วจึงพึมพำแนะนำม่ออู๋โยวไปสองสามคำ ปล่อยให้ม่ออู๋โยวจัดการส่วนตัวเขาไปนั่งพักอยู่ข้างๆ
“ดูๆ แล้วม่ออู๋โยวร่ำเรียนจากท่านอาจารย์เสิ่นไม่เลวทีเดียว” เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ย เห็นท่าทางที่เสิ่นหยางมีต่อม่ออู๋โยวก็รู้ได้ว่าเขาพอใจต่อศิษย์ผู้นี้เพียงใด เสิ่นหยางเอ่ยเสียงเรียบว่า “มีพรสวรรค์กว่าพระชายาอยู่เล็กน้อย” อันที่จริงพรสวรรค์ที่เยี่ยหลีมีก็ถือว่าไม่เลวนัก เพียงแต่วิชาแพทย์นี้ต้องการจิตใจอันสงบและนิสัยที่อดทน เยี่ยหลีเป็นถึงพระชายาติ้งอ๋องมีกิจธุระรัดตัว ไหนเลยจะมีเวลามาตั้งใจร่ำเรียน ส่วนการสืบทอดวิชาจากอาจารย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ครานั้นทำเอาเสิ่นหยางกับหมอหลินเสียดายกันอยู่นานทีเดียว
ม่อเสี้ยวอวิ๋นที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าหลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่ตาย ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าในใจยามนี้กำลังดีใจหรือเสียใจกันแน่ เขามองพี่สาวที่นั่งสติเลื่อนลอยอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านอาติ้งอ๋อง พระชายา…เรื่อง…เรื่องคืนนี้…”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เจ้ายังอยากจะบอกว่าเจ้าทำร้ายนางอีกหรือ”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นตกใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “เป็นข้าที่โกรธบันดาลโทสะขึ้นมา…เสี้ยวอวิ๋นขอท่านอาติ้งอ๋องลงโทษด้วย”
ม่อซิวเหยาพินิจพิเคราะห์เขาอย่างสนใจครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่า…ม่อจิ่งฉีจะมีลูกชายเช่นนี้กับเขาอยู่ด้วย นับว่าไม่เลวทีเดียว เพียงแต่…เหตุใดเจ้าจึงได้หยิบปิ่นทองขององค์หญิงเจินหนิงไปสังหารสตรีนางนั้นได้เล่า”
“ขะ…ข้า…ตอนนั้นพลัน…”
“น้องชาย” องค์หญิงเจินหนิงที่เหม่อลอยมาตลอดพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยขัดม่อเสี้ยวอวิ๋น นางเงยหน้ามองตรงไปยังม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอาติ้งอ๋อง เป็นข้าที่ลงมือเอง พวกท่านอย่าได้ช่วยนางเลย หากนางตายไปข้ายินดีชดใช้ด้วยชีวิต!”
“เสด็จพี่!” ม่อเสี้ยวอวิ๋นโมโหเดือดดาล หลิ่วกุ้ยเฟยจะเป็นอย่างไรเขาไม่สนใจแต่แรกแล้ว แต่เสด็จพี่ที่แก่กว่าเขาแค่เพียงสองสามปีเป็นผู้ที่เติบโตมากับเขา แม้ว่านางจะไม่ฉลาดเฉลียวและไร้ความสามารถ ทว่าในขณะที่พวกเขาถูกเสด็จแม่ทอดทิ้งนั้นนางกลับดูแลเอาใจใส่น้องชายทั้งสองอย่างดีเยี่ยม
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยว่า “พอได้แล้ว นางยังมิใช่พระชายาแห่งเป่ยหรง ต่อให้ตายไปเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ไม่มาเรียกให้พวกเจ้าชดใช้หรอก บอกข้ามาว่าเจ้าอยากจะให้นางตายจริงๆ ใช่หรือไม่” สีหน้าองค์หญิงเจินหนิงซีดเผือด จ้องมองสตรีชุดขาวนางนั้นอย่างดุดัน มุมปากสั่นระริกแต่กลับไม่กล่าวคำใดออกมาอยู่นาน ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากเจ้าอยากให้นางตายจริงๆ ก็เดินเข้าไปแล้วเอาปิ่นทองเล่มนั่นปักให้ลึกกว่านี้อีกเสีย”
ได้ยินประโยคนี้ของเขา ไม่เพียงแต่องค์หญิงเจินหนิงเท่านั้นที่ตกใจจนตัวสั่น หลิ่วกุ้ยเฟยที่สลบอยู่บนพื้นก็ถึงกับลืมตาโพรงขึ้นมาด้วย หันไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างไม่อยากจะเชื่อ เดิมทีที่หลิ่วกุ้ยเฟยไร้เรี่ยวแรงนั้นเป็นเพราะเสียเลือดมาก มิได้สลบลึก ยังพอจะได้ยินเสียงคนรอบข้างพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่ได้ยินคำพูดไร้ความปรานีของม่อซิวเหยาก็ทำให้นางได้สติตื่นตัวขึ้นมาโดยพลัน
ม่ออู๋โยวที่กำลังคิดหาวิธีดึงปิ่นออกจึงหันมองม่อซิวเหยาอย่างจนใจ “ท่านอาติ้งอ๋อง หากท่านแทงอีกรอบนางคงไม่รอดแน่แล้ว” องค์หญิงเจินหนิงแทงได้ไร้ความปรานีนัก หากทิ่มลงมาลึกอีกเพียงนิดเดียว หลิ่วกุ้ยเฟยคงได้สิ้นชื่อแน่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมิกล้าเคลื่อนย้ายนาง ทำได้เพียงรักษาให้บนพื้นเช่นนี้
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้ามิได้ล้อเล่น”
ม่ออู๋โยวแอบคิดในใจว่า “ข้าเชื่อว่าท่านมิได้ล้อเล่น แต่ยามนี้อย่าได้จริงจังเพียงนี้ได้หรือว่า สอนลูกสาวให้ไปฆ่ามารดาตนเองเช่นนี้ได้หรือ”
“พอได้แล้ว” เยี่ยหลีเหลือบมองม่อซิวเหยาให้เขาหุบปาก แล้วหันไปเอ่ยตอบว่า “อู๋โยว ยากมากเลยหรือ”
ม่ออู๋โยวลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ไม่ยาก เพียงแต่..”
“มีอันใดก็พูดมา” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ดึกดื่นค่อนคืนมิอาจกลับไปนอนกอดสตรีผู้เป็นที่รักให้อาหลีหลับสบาย ทำเอาเขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก หากมิใช่เห็นแก่ว่าพอมีประโยชน์ต่อม่อเสี้ยวอวิ๋นกับเจินหนิงอยู่บ้างล่ะก็ เขาคงโยนสตรีนางนี้ไปไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว ในเมืองหลีแห่งนี้เชื่อว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยคงไม่มีปัญญาจะหาตัวนางเจอ
ม่ออู๋โยวมององค์หญิงเจินหนิงและม่อเสี้ยวอวิ๋นแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นางถูกทำร้ายเฉพาะที่ อีกอย่าง…ดูเหมือนว่าครึ่งปีก่อนนางจะเพิ่งคลอดบุตร หากไม่ระวังล่ะก็ ต่อไปคงจะมีลูกมิได้อีกแล้ว” ในเมื่อนี่เป็นว่าที่พระชายาแห่งเป่ยหรง เรื่องมีบุตร จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เสิ่นหยางเลิกคิ้วมองม่ออู๋โยวแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์ วิชาแพทย์ของเจ้ายังต้องฝึกอีกมาก”
“เอ๋ ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วย” ม่ออู๋โยวได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนี้ก็คิดว่าตัวเองวินิจฉัยผิดพลาดไป ใบหน้าปรากฏความเสียใจเล็กน้อย
เสิ่นหยางเอ่ยว่า “แม่นางผู้นี้เคยคลอดบุตรเมื่อครึ่งปีก่อนที่ไหนกัน ภายในสองปีมานี้นางคลอดอย่างน้อยสามคราแล้ว เจ้าวางใจดึงปิ่นนั้นออกเถิด ไม่ต้องสนใจว่านางจะมีบุตรไม่ได้อีกเพราะนั่นเป็นชะตาที่ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว ต่อให้ไม่ได้บาดเจ็บในครานี้ นางก็เป็นเยี่ยงนี้อยู่ดี” เสิ่นหยางมองหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ เขาย่อมทราบถึงสถานะของหลิ่วกุ้ยเฟย แต่นี่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เสิ่นหยางรังเกียจนาง ทว่าการลงมือฆ่าลูกของตัวเองทั้งที่ยังมิได้ออกมาลืมตาดูโลกนั้น เป็นสิ่งที่เสิ่นหยางมิอาจรับได้ ฝีมือด้านการแพทย์ของเสิ่นหยางโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด กระทั่งหลิ่วกุ้ยเฟยดื่มยาทำลายครรภ์แบบใดก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ นางดื่มยาทำลายครรภ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายตัวเอง ซ้ำยังให้ผลลัพธ์ที่พิเศษบางอย่างที่ทำลายแค่ครรภ์เพียงอย่างเดียว
“ท่านเสิ่น ท่านกำลังจะบอกว่านาง…” ม่อเสี้ยวอวิ๋นจ้องไปยังสตรีบนพื้น แต่สุดท้ายก็ไม่ถามอันใดออกมา
“นางใช้ลูกกลอนซ่านเซียง อีกทั้งมิใช่เพียงคราเดียว”
ทันใดนั้นม่อเสี้ยวอวิ๋นสีหน้าพลันซับซ้อนยากจะคาดเดา องค์หญิงเจินหนิงเป็นสตรีที่ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นคืออันใด แต่ม่อเสียวอวิ๋นถูกหลิ่วกุ้ยเฟยสอนสั่งมาตั้งแต่เด็ก เรื่องส่วนตัวมากมายเสนาบดีหลิ่วก็มิได้ปิดบังกับเขา ยาลูกกลอนซ่านเซียงนั้นเป็นยาทำแท้งบุตร เรียกให้ถูกคือเป็นยาบำรุงความงาม ทว่าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ค้นพบว่าสิ่งนี้ให้ผลที่ไม่คาดคิดกับสตรีในระยะตั้งครรภ์ สตรีหากได้ตั้งครรภ์แล้วหน้าตาจะไม่เหมือนดั่งเก่า ยาเช่นนี้จึงมีคนแห่ไปซื้อกันมากมาย แต่ไม่นานก็มีคนพบว่าสตรีมีครรภ์ที่ใช้ยานี้ต่างแท้งบุตรกันทุกรายไป พวกที่ใช้ในปริมาณน้อยจะคลอดบุตรที่ตายออกมา ทว่าผลลัพธ์ในการบำรุงใบหน้ากลับให้ผลได้ดีกว่ายามปกติที่มิได้ตั้งครรภ์ถึงสิบเท่า มีสตรีไม่น้อยที่ไม่สนเด็กในครรภ์เพราะความงาม ยานี้จึงค่อยๆ กลายเป็นยาต้องห้าม
สตรีที่สูญเสียบิดานางหนึ่ง ภายในสองปีเสียครรภ์ไปสามคราซึ่งล้วนทำตนเองทั้งสิ้น ม่อเสียวอวิ๋นไม่เข้าใจเสด็จแม่ผู้สูงส่งว่ากำลังทำอันใดกันแน่ แต่เมื่อเห็นใบหน้างดงามเนียนละเอียดของนางแล้ว ม่อเสี้ยวอวิ๋นก็พลันพุ่งตัวออกไปอาเจียนที่ด้านนอกทันที
องค์หญิงเจินหนิงแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร แต่เรื่องที่หลิ่วกุ้ยเฟยแท้งครรภ์ก็เพียงพอที่ส่งผลกระทบถึงนางอย่างรุนแรงได้แล้ว นางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างตกตะลึง ก้มมองสตรีงดงามบนพื้น องค์หญิงเจินหนิงพลันรู้สึกว่าความขุ่นเคืองในใจได้พลุ่งพล่านขึ้นมายิ่งกว่าเดิม “แพศยา!”