บทที่ 474: เรื่องสำคัญเรื่องที่สอง
“ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น” ตี้ทิงสามารถบอกได้เลยว่าฉินเย่เข้าใจถึงความหมายแฝงของบทสนทนาที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ “แนวคิดเรื่องยันต์หยินยังสามารถนำมาประยุกต์ได้ในหลาย ๆ ด้าน ตั้งแต่เทคโนโลยีป้องกัน ไปจนถึงรูปแบบของยุทโธปกรณ์ และการพัฒนามาตรฐานในการใช้ชีวิต สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์ในแดนมนุษย์…โลกใต้พิภพที่มีความสามารถเข้าใจยันต์หยินได้มากที่สุดจะถือว่าเป็นโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ด้วยเหตุนั้น โลกใต้พิภพทั้งสี่ที่สามารถพัฒนาในด้านนี้ได้จึงเป็นที่รู้จักในหมู่สหยมโลกในฐานะของสี่เสาหลัก นี่อาจจะเป็นคำที่ดัดแปลงมาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่มันก็เป็นประโยชน์ในแง่ของการอ้างอิง นอกจากนี้ จีนยังถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้งสี่นี้…”
“พื้นฐานสำหรับการเปรียบเทียบนั้นค่อนข้างแตกต่างไปจากแดนมนุษย์ ในแดนมนุษย์ เจ้าดูจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างเช่นเศรษฐกิจของชาติ แต่ในโลกใต้พิภพ โลกใต้พิภพที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดจะเป็นที่รู้จักในฐานะของโลกใต้พิภพที่แข็งแกร่งที่สุด แต่การจัดการเกี่ยวกับการพัฒนาของยมโลกนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเจ้าสร้างกงล้อแห่งสังสารวัฏแล้ว เจ้าจะต้องตัดสินใจว่าจะให้ผู้ใดไปเป็นทหารวิญญาณ และผู้ใดจะต้องถูกส่งกลับไปเกิดใหม่…นี่จึงเป็นสิทธิพิเศษที่โลกใต้พิภพที่มีขนาดเล็กไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่สำหรับเรา เราสามารถร่วมมือกับแดนมนุษย์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดให้กับประชากรของเราได้ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าการปันผลทางประชากร”
ตี้ทิงหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อปล่อยให้ฉินเย่ได้ทำความเข้าใจกับข้อมูลทั้งหมด เด็กหนุ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด
ศาสตร์แห่งยันต์… ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบดำเนินเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดหลังจากที่จัดการเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากสงครามเสร็จแล้ว…
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ศาสตร์ต้องห้ามจำนวนมากจอตรงมาที่ยมโลกทันทีที่อาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าคลายออก เพราะอย่างไรแล้ว เขาก็สามารถบอกได้ว่าศาสตร์ต้องห้ามของเสาหลักทั้งสี่นั้นทรงพลังกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่มีในชาติต่าง ๆ ของแดนมนุษย์มาก! มันเป็นเหมือนปุ่มสำหรับกดรีเซ็ตสำหรับทั้งพื้นที่!
“แต่…ข้าควรจะเริ่มต้นอย่างไร?” เขาถอนหายใจออกมาขณะที่หันไปหาอาร์ทิส
ไร้ประโยชน์จริงๆ!
นางไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับศาสตร์แห่งยันต์! แล้วเขาจะสามารถใช้ประโยชน์อะไรจากคนที่ดีแต่อ่านหนังสือได้?!
ฉินเย่รู้ดีว่าเขาไม่สามารถปรากฏตัวที่การประชุมโลกใต้พิภพได้ในตอนนี้ เพราะนั่นจะเป็นการเสี่ยงที่จะเปิดเผยสถานการณ์ที่แท้จริงของยมโลกในทันที
เขาจะต้องยืดมันออกไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังอยากจะใช้เวลา 150 ปีเต็มในการก่อตั้งยมโลกให้กลับมายิ่งใหญ่ดังเดิม…
ตี้ทิงหัวเราะ “ข้าได้เห็นภาพการล่มสลายครั้งใหญ่ของยมโลกกับตาของตัวเอง และข้ายังอยู่ที่นั่นในตอนที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เอ่ยขอให้ท่านจ้าวนรกองค์ที่สองก้าวเข้ามาเพื่อช่วยเหลือยมโลกจากความตายนั้น”
“จ้าวนรกองค์ที่สองนั้นดุร้ายและโหดเหี้ยม แต่ก็เฉลียวฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของท่านก็คือท่านเป็นคนเกียจคร้าน ท่านได้รับการสืบทอดบัลลังก์ในฐานะของจ้าวนรกองค์ที่สองก็เพราะว่าท่านถูกหลอกล่อโดยจ้าวนรกองค์แรก ดังนั้น ท่านจึงไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการเติบโตของยมโลก และอาศัยความเด็ดขาดในการปกครองยมโลก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับท่าน”
มันแย้มยิ้มกว้าง “และนั่นก็คือการที่ท่านเป็นคนที่ตามทันยุคสมัย…”
“ในช่วงที่ท่านอยู่บนบัลลังก์ จีนนั้นเป็นผู้ที่กระหายสงครามเป็นอย่างมาก และมันก็เป็นเพราะลักษณะนิสัยภายนอกของท่านเองที่ทำให้พวกระดับสูงของยมโลกมีอำนาจมากเกินไปต่อการเติบโตและการพัฒนาของยมโลก… เอาเถิด ข้าพูดนอกเรื่องอีกแล้ว กลับมาสู่ประเด็นหลักของเรา ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนทางวิชาการมาบ้างหรือไม่?”
“ข้าเคยได้…” ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิ่กตาโพล่งและเด้งตัวราวกับถูกฟ้าผ่า!
การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ…!
นี่ท่านกำลังจะบอกว่า… มันมีผู้มีชื่อเสียงจากต่างชาติที่มาอยู่ในจีน?! นักวิทยาศาสตร์ที่แสนโด่งดัง?!
ตี้ทิงหัวเราะ “ข้าจำได้เพียงแค่บางชื่อเท่านั้น อย่างเช่น ดาลตัน”
เดี๋ยวก่อนนะ…
ฉินเย่มองตี้ทิงราวด้วยสายตาราวกับเห็นผี “ท่านช่วยพูดอีกทีได้หรือไม่? นั่นฟังดูไม่เหมือนชื่อของชาวจีนเลยสักนิด…”
“แน่นอน มันไม่ใช่ ในปีค.ศ. 1844 ของแดนมนุษย์ จ้าวนรกองค์ที่สองได้คิดสิ่งที่ท่านเรียกว่าแผนของดาลตันขึ้นมาเพื่อเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของเขามาสู่ยมโลก ด้วยเหตุนี้ ยมโลกแห่งเก่าจึงระดมขนนกทมิฬจำนวน 17 ตนในการออกปฏิบัติการครั้งนี้ พวกเขาคือหัวกะทิในหมู่หัวกะทิด้วยกัน ขนนกทมิฬ 16 ตนถูกสังหารในหน้าที่ แต่ขนนกทมิฬที่รอดชีวิตก็สามารถปฏิบัติการสำเร็จในที่สุด…”
ฉินเย่คลึงขมับของตัวเอง ดาลตัน…ให้ตาย…ทำไมชื่อนี้ถึงฟังดูคุ้นหูนัก?
ดาลตัน… ดาล… ตัน…
เชี่ย?!!!
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองทันที “บิดาของทฤษฎีอะตอม? ดาลตันคนนั้นน่ะหรือ?!” [1]
ชายผู้นี้มีความสามารถเพียงใด? หากไม่นับความสำเร็จอื่น ๆ ของเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าระเบิดนิวเคลียร์ถูกสร้างขึ้นด้วยทฤษฎีของเขาก็บอกแล้วว่าเขาเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากเพียงใด…
เขาคือผู้บุกเบิกในช่วงเวลานั้น…ชายผู้ทำลายความสมดุลของโลกด้วยทฤษฎีของตนเอง
ตี้ทิงเอ่ยเสริมอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือว่าผู้ที่ด้อยไปกว่าเขาจะควรค่าแก่ความสนใจของจ้าวนรกองค์ที่สอง? นอกจากนี้ ยมโลกยังให้ผู้มีพรสวรรค์จำนวนหนึ่งออกไปเพื่อทำการแลกเปลี่ยนทางวิชาการในตอนที่ยมโลกล่มสลายอีกด้วย ซึ่งคนเหล่านี้ก็รวมไปถึง ซู่ชงจื่อ จ้าวโหย่วชิน จังเหิง หลู่ปัน ไจ่โม่ หลี่ชุน...” [2]
พระเจ้า! ฉินเย่ดีใจจนแทบจะกระโดดไปมา!
ให้ตายเถิด…ผู้ใดจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้จะสามารถเป็นไปได้?!
แต่เมื่อลองพิจารณาดูมันก็สมเหตุสมผล เพราะอย่างไรแล้ว หนึ่งในโลกใต้พิภพระดับสูงจะสามารถรวบรวมผู้มีพรสวรรค์ไว้ในที่เดียวได้อย่างไร? เขาน่าจะคิดเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว!
“ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องพยายามติดต่อกับยมโลกมาโดยตลอด เจ้า…ควรจะให้ความสนใจเกี่ยวกับสัญญาณตำแหน่งของพวกเขา” ตี้ทิงพึมพำเสียงเบา
ประโยคสุดท้ายของตี้ทิงได้จุดประกายไฟแห่งความตื่นเต้นขึ้นภายในใจของฉินเย่ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น “หรือก็คือ…ท่านไม่มีร่องรอยเกี่ยวกับตำแหน่งของพวกเขา?”
“ข้ารู้ว่าพวกเขาถูกส่งไปประจำที่ใด แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม…” ตี้ทิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มดึงเกล็ดของตัวเอง “มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเขาจะอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ จีน”
“เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น?”
“เพราะว่ามันเป็นเพียงไม่กี่สถานที่ที่พวกเขาจะสามารถจับตาดูอาณาเขตเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าได้อย่างใกล้ชิด” อาร์ทิสเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนที่ตี้ทิงจะทันได้เอ่ยอะไรออกมา “ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อนและผู้อพยพที่ผิดกฎหมาย แน่นอน ชาติอื่น ๆ ล้วนยอมอ้าแขนรับพวกเขาหากพวกเขาปรารถนา แต่…พวกเขาคงไม่ตกลง เพราะหากมันเป็นเช่นนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือรออยู่ที่ขอบชายแดนของจีนและจับต่อดูว่าพวกเขาจะมีโอกาสในการลอบกลับเข้าประเทศได้หรือไม่ ดังนั้นหากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ สถานที่ที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ จีน”
ฉินเย่พยักหน้าและจดจำรายละเอียดเหล่านี้ไว้ภายในหัว จากนั้นเขาก็หันไปมองตี้ทิงด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ท่านตี้ทิง ท่านยังมีของวิเศษอะไรที่จะมอบให้ข้าอีกบ้าง? เร็วเข้า!
ดวงตาที่เป็นประกายของฉินเย่ทำให้ตี้ทิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มันก็เอ่ยต่อ “เรื่องสำคัญเรื่องที่สองที่เจ้าควรจะจดจำให้ดีก็คือกฏสองข้อของโลกใต้พิภพ…”
“อาร์ทิสอาจจะได้บอกเจ้าเกี่ยวกับความสามารถใหม่ทั้งห้าที่เจ้าสามารถใช้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าอาจจะยังไม่รู้ถึงความหมายของมันดีนัก แต่ไม่นาน...เจ้าก็จะเข้าใจถึงความสำคัญของมัน”
ตี้ทิงเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อจัดระเบียบความคิดของตนเอง “กฎข้อแรกก็คือกฎแห่งยันต์หยินของจ้าวโหย่วชิน”
จ้าวโหย่วชินอีกแล้ว? คน ๆ นี้คือใครกัน? ฉินเย่เกาศีรษะของตนเองพร้อมกับจดจำเอาไว้ภายในหัวว่าเขาจะต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายทันทีที่กลับไปที่แดนมนุษย์…
“เขาได้ระบุเอาไว้ว่าอานุภาควิญญาณมีอยู่ทั้งสิ้นสามชนิด คำว่า ‘อานุภาควิญญาณ’ นั้นหมายถึงรูปแบบที่ยันต์หยินประกอบตัวเป็นวัตถุ มันสามารถเปรียบได้กับอะตอมในแดนมนุษย์ โดยอานุภาควิญญาณทั้งสามนี้ได้แก่ อานุภาควิญญาณที่ประกอบเป็นสิ่งมีชีวิต อานุภาควิญญาณที่ประกอบเป็นวัตถุที่ไม่มีชีวิต และอานุภาควิญญาณที่ประกอบเป็นสมบัติและวัตถุหยิน เขาสามารถพิสูจน์ทฤษฎีนี้ได้หลังจากที่ผ่านการศึกษาและวิจัยมาอย่างยาวนาน”
“เมื่อเจ้าสามารถฝึกฝนทักษะการจัดเรียงอานุภาควิญญาณได้อย่างเชี่ยวชาญ เจ้าก็จะมีความสามารถในการสรรค์สร้าง น่าเสียดายที่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือถนนที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหตุผลที่ความสามารถทั้งห้าถูกเรียกว่าสัมพันธภาพทางอานุภาควิญญาณก็เพราะว่ายมทูตที่แท้จริงของยมโลกนั้นจะสามารถดึงดูดอานุภาควิญญาณได้ง่ายขึ้น ส่วนทักษะและพลังอื่น ๆ เจ้าจะสามารถละเว้นจากการประสานมือและสิ่งอื่น ๆ ที่คล้ายกันได้”
ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ มันอาจจะฟังดูง่าย แต่เขาก็รู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่ลึกลับและซับซ้อนมาก
เพราะอย่างไรแล้ว มันก็เหมือนกับการแยกองค์ประกอบของสสารทั้งหมดในยมโลก รวมไปถึงวิญญาณ!
แนวคิดที่สามารถเทียบได้กับแดนมนุษย์ก็คือการแยกร่างกายของมนุษย์ออกเป็นส่วนต่าง ๆ รวมถึงเลือดและกระดูก และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของพวกมันทั้งหมด รวมไปจนถึงวิธีการทำงานร่วมกันกับของอวัยวะทั้งหมด
น่าเสียดาย แต่ความรู้พวกนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับเขาในตอนนี้…
“กฎข้อที่สองก็คือ… กฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางของชุยเจวี๋ย”
ชุยเจวี๋ย? ไม่ใช่ว่าเขาคือฝู่จวิยชุยหรอกหรือ? ไม่คิดเลยว่าเขาเองก็จะเป็นชายผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถเช่นกัน…ฉินเย่เอ่ยในใจของมาขณะที่ฟังที่ตี้ทิงพูดอย่างตั้งใจ
“จงจำมันเอาไว้เสมอ กฎข้อนี้มีความสำคัญมาก!” ตี้ทิงเอ่ยย้ำถึงความสำคัญของกฏข้อดังกล่าวก่อนจะอธิบายต่อ “กฎข้อแรกนั้นเกี่ยวข้องกับพื้นฐาน และมันก็เพียงพอแล้วสำหรับสิ่งที่เจ้าควรจะรู้ แต่กฎข้อนี้…จะส่งผลต่อมุมมองและปฏิสัมพันธ์ของเจ้ากับโลกใต้พิภพ!”
“กฎการทำงานร่วมกันของหยินและหยางได้ระบุเอาไว้ว่าสิ่งใดก็ตามที่มีอยู่ในโลกใต้พิภพจะต้องมีอยู่ในแดนมนุษย์ ตราบใดที่เมือง ๆ หนึ่งถูกก่อตั้งขึ้นโดยขั้นตุลาการนรกที่แท้จริงอย่างตัวเจ้า…สิ่งเดียวกันนี้ก็จะปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์เช่นกัน! และมันก็จะมีทางเข้าสู่โลกใต้พิภพตั้งอยู่ในเมืองดังกล่าวอีกด้วย!”
“ยกตัวอย่างจากเมืองเฟิงตูเป็นต้น แรกเริ่มนั้นเมืองเฟิงตูนั้นถูกสร้างขึ้นในโลกใต้พิภพ และไม่นานเมืองที่คล้ายกันก็ปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์ ด้วยการก่อตั้งนครเผิงชิวของเจ้า ข้าสามารถบอกได้เลยว่าด่านซานไห่จะปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์ในอีกไม่ช้า! มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของขนาดและสัดส่วนของเมืองที่ปรากฏขึ้น แต่เจ้าสามารถมั่นใจได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”
“นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถวางใจได้ด้วยว่าเมืองดังกล่าวจะไม่ปรากฏขึ้นภายในชั่วข้ามคืนราวกับว่าพวกมันคือผลลัพธ์จากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่พวกมันจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป คล้ายกับเป็นไปตามตรรกะของเหตุและผล ยกตัวอย่างเช่น มันการจะเป็นการค้นพบโบราณวัตถุหรือเมืองโบราณใต้ดินเป็นต้น หากเรานับกันอย่างจริงจัง แดนมนุษย์น่าจะมีทางเข้าหลักสู่ยมโลกทั้งสิ้น 35 แห่ง และยังมีทางเข้าขนาดเล็กอย่างรอยแยกนรกและสิ่งที่คล้ายกันอีกจำนวนนับไม่ถ้วน บางส่วนของมันอาจจะเป็นรอยแยกที่เกิดขึ้นอย่างผิดธรรมชาติและจำเป็นจะต้องปิดลง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถถือได้ว่าเป็นทางเข้าสู่ยมโลกที่เป็นผลพลอยได้จากการดำเนินการของกฎดังกล่าวนี้!
ฉินเย่จมอยู่กับความคิดของตนเอง คำที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาก็คือ…โลกกระจก
หยินและหยางเป็นเหมือนกับสองด้านของเหรียญ สิ่งที่ปรากฏในโลกใต้พิภพย่อมปรากฏในแดนมนุษย์เป็นธรรมดา ในขณะเดียวกัน การก่อตั้งเมืองในโลกใต้พิภพก็ย่อมทำให้เกิดรอยแยกที่เป็นธรรมชาติขึ้น และมันก็สามารถเข้าใจได้ที่รอยแยกที่ผิดธรรมชาตินั้นจะต้องถูกปิดลง เพราะรอยแยกดังกล่าวจะทำให้พลังหยินและวิญญาณหลั่งไหลไปยังแดนมนุษย์ โชคดีที่ปัญหาดังกล่าวถูกทำให้ลดลงโดยการมีอยู่ของเขตแดนที่กั้นอยู่ระหว่างทั้งสองโลกที่รู้จักกันในชื่อของลิมโบ
แต่ลิมโบนั้นเป็นดินแดนที่ไร้ซึ่งการควบคุม ดังนั้นเมื่อวิญญาณเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ สุดท้ายแล้ว หากพวกเขาไม่ตาย…พวกเขาก็จะกลายเป็นวิญญาณร้ายที่จะสามารถหาทางกลับไปสู่แดนมนุษย์ได้โดยผ่านรอยแยกในสักวันหนึ่ง
อย่างนี้นี่เอง… แต่นี่จะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างไรกัน?!
ฉินเย่เริ่มไม่พอใจกับกฏที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์นี้
เราต้องการผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม! นี่อสูรตรงหน้าเข้าใจความหมายของคำว่าผลประโยชน์หรือไม่? เขาไม่ได้ต้องการเพียงแค่ความรู้เพียงอย่างเดียว!!
นอกจากนี้ มันคาดหวังจะให้ผู้สืบทอดบัลลังก์เช่นเขาต้องเสียเวลาไปกับเรื่องพื้นฐานอันเล็กน้อยของโลกใต้พิภพได้อย่างไร? มันคิดจะให้เขาไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดอย่างช้า ๆ อย่างนั้นหรือ?!
“เรื่องนั้น… มันส่งผลกับข้าอย่างไร?”
ตี้ทิงส่องลึกเข้าไปในดวงตาของฉินเย่ขณะที่เอ่ยตอบ “ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคือตุลาการนรกที่แท้จริงหมายความว่าทางเข้าเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในแดนมนุษย์ และพลังหยินที่หลั่งไหลออกไปยังดินแดนพวกนั้นก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของพลังธรรมชาติ ในอนาคต เจ้าอาจจะได้เห็นการเพิ่มจำนวนของผู้คนที่มีดวงเนตรแห่งนรก ผู้เดินทางในยมโลก หรือผู้ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์โบราณต่าง ๆ ที่ใช้ในการรับมือกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ”
ฉินเย่ฟังอย่างตั้งใจ แต่อย่างไรก็ตาม…มันก็เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นและถาม “ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้หรือ?”
“อืม” ตี้ทิงครางตอบ
“อ่อ ฮ่า ๆ…โอ๊ะ…ดูเวลาสิ ที่ข้าตอบรับคำเรียกของท่านในวันนี้ก็เพื่อมาตรวจดูอาการของท่านตี้ทิงว่าฟื้นตัวถึงไหนแล้ว นอกจากนี้ ข้ายังมีการประชุมกับคณะรัฐมนตรีที่จะต้องเข้าร่วมในยมโลกอีกด้วย เราจะพูดถึงสิ่งสำคัญหลายอย่าง รวมไปถึงการพัฒนาในอนาคตของนครเผิงชิวและทิศทางที่จะต้องดำเนินต่อไป ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่ว่าอะไร…หากข้าจะขอตัวก่อน”
นี่คือวิธีในการหาทางหนีของฉินเย่หลังจากที่ได้รักษาผลประโยชน์ทั้งหมดของตัวเองเอาไว้ได้แล้ว
ตี้ทิงล้มตัวลงนอนอย่างเกียจคร้าน “อืม” ในขณะเดียวกัน ฉินเย่ก็ก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว ก่อนจะหายตัวไปจากจุดที่ตนยืนอยู่
เงียบ…
ลิมโบกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อาร์ทิสก็เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา “ท่านตี้ทิง ข้าเองก็คงต้องขอตัวเช่นกัน การประชุมของคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะถูกจัดขึ้นนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และการเข้าร่วมของข้าเองก็มีความจำเป็นเช่นกัน”
“อืม” ตี้ทิงส่งเสียงครางอย่างขี้เกียจออกมาเป็นครั้งที่สาม
เมื่อเอ่ยจบ อาร์ทิสก็จากไป แต่ก่อนที่นางจะไปได้ไกล นางก็หันกลับไปถามอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “นายท่าน...เหตุใดท่านจึงไม่บอกเขาไปตามตรงว่าท่านต้องการจะพูดสิ่งใด?”
ตี้ทิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับอย่างเกียจคร้าน “ข้าได้พูดสิ่งที่ต้องพูดไปหมดแล้ว บางสิ่งบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมาอย่างชัดเจน หากเขาไม่สามารถคิดได้ด้วยตนเอง เช่นนั้น บางทีสัญชาตญาณในการรับรู้ถึงอันตรายของเขาอาจจะยังไม่มากพอ”
“แต่…”
ตี้ทิงรีบเอ่ยแทรกขึ้นทันที “อรากษส เจ้าไม่คิดหรือว่าเขาอยู่ที่แดนมนุษย์นานเกินไป?”
“ยิ่งเขาอยู่ที่นั่นนานเท่าใด เขาก็จะยิ่งติดนิสัยของมนุษย์มามากเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้ว…มนุษย์นั้นแตกต่างไปจากวิญญาณ! ความตระหนักต่อหน้าที่ของเจ้าอยู่ที่ใด? เจ้าเป็นยมทูตเพียงตนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาในตอนนี้ และยังเป็นยมทูตเพียงตนเดียวที่รอดชีวิตจากการล่มสลายครั้งใหญ่นั้น! เหตุใดเจ้าจะไม่เตือนเขาถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง?!”
อาร์ทิสเงียบไป
“ใช้โอกาสนี้ มันใกล้จะถึงเวลาแล้ว…ที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขาและแดนมนุษย์จะต้องจบลง” เมื่อเอ่ยจบ ตี้ทิงจึงหลับตาลง
“นายท่าน...” อาร์ทิสลังเล “แต่…ตอนนี้…เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรไม่ใช่หรือ?”
“ไม่เลวร้าย?!” ตี้ทิงลืมตาโพล่งและจ้องอาร์ทิสเขม็ง “เขาคือผู้สืบทอดบัลลังก์! เจ้าคิดว่าจ้าวนรกแห่งยมโลกทำงานเพียงวันละแปดชั่วโมงหรืออย่างไร? แถมยังเฉพาะในตอนกลางคืนอีกด้วย? เจ้าคิดว่าเรามีจ้าวนรกองค์สำรองที่จะคอยรับผิดชอบแทนในขณะที่เขาไม่อยู่อย่างนั้นหรือ?! หากเราไม่สามารถพัฒนาศาสตร์ต้องห้ามที่มีอานุภาพเทียบเท่ากับทัณฑ์สวรรค์นิรันดร์ได้ภายใน 150 ปี เราจะต้องถูกปราบปรามและกลายเป็นทาสของโลกใต้พิภพอื่น ๆ เป็นแน่! ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องยอมจำนนแบบนั้น!!”
“เจ้าลืมโศกนนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับจีนเมื่อร้อยปีก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ?! หรือว่าเจ้าลืมจุดด่างพร้อยของประวัติศาสตร์จีนที่เกิดจากพันธมิตรแปดชาติไปแล้ว?! และไหนจะเหตุเพลิงไหม้ที่พระราชวังหยวนหมิงหยวนอีก?[3] หรือการสังหารหมู่ในเมืองหลวงทางใต้โบราณ?! การล่มสลายของสถานที่เหล่านั้นทำให้เกิดการล่มสลายของเมืองที่เกี่ยวข้องกันในโลกใต้พิภพ! พวกเรามีระยะเวลาแค่ 150 ปีเท่านั้นในการทำงานมากมายให้สำเร็จ เจ้าคิดว่าเขาจะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับตัวเองได้ด้วยประสิทธิภาพในการทำงานของเขาในตอนนี้อย่างนั้นหรือ? หลังจากที่สูญเสียร้อยปีที่ผ่านมาอย่างเปล่าประโยชน์ เราจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างล่าช้าเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“จงจำคำของข้าไว้ เราจะต้องเสียใจหากเราไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม! การเข้ารับตำแหน่งจ้าวนรกนั้นไม่ใช่แค่การรับตำแหน่งในพิธีการเท่านั้น! ในเมื่อเขาเลือกที่จะเดินบนเส้นทางของยมโลก เขาจะต้องยอมสูญเสียการปรากฏตัวในแดนมนุษย์ เขาไม่สามารถทำทั้งสองอย่างไปในเวลาเดียวกันได้! และหากเจ้าไม่สามารถใจแข็งเพื่อช่วยเขาก้าวข้ามปีศาจภายในใจของเขาเอง… ข้าจะทำมันแทนเจ้าเอง!”
[1] นักเคมีและนักอุตุนิยมวิทยา มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีอะตอม และการทำวิจัยในเรื่องการอธิบายสาเหตุตาบอดสี
[2] รายชื่อเหล่านี้คือรายชื่อของเหล่านักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน
[3] พระราชวังฤดูร้อนเดิมเป็นกลุ่มพระราชวังและสวนหย่อม ตั้งอยู่บริเวณชานกรุงปักกิ่ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม ถูกเผาทำลายในช่วงปลายของสงครามฝิ่นครั้งที่สอง