มือของฉันหยุดชะงักก่อนที่จะไปถึงเด็กน้อย
ตัวของเด็กน้อยนั้นสั่นเทาไม่หยุด สายตาของเธอก้มลงต่ำ
‘…’
ฉันเงียบไปสักพักหนึ่ง ฉันไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรพูดออกมาดี
เด็กน้อยตรงหน้าของเธอดูหวาดกลัวมากๆ
แม้แผ่นหลังเล็กๆ ของเธอจะชิดกับกำแพงแล้วเธอก็ยังพยายามถอยร่นไปอีก ราวกับว่าต้องการที่จะหนีไปจากตรงนี้
“พี่สาวไม่ทุบตีเธอแน่นอน”
ฉันทนมองเด็กน้อยที่หวาดกลัวแบบนี้ไม่ได้ ฉันเลยหันสีหน้าไปทางอื่น
‘…’
เด็กน้อยที่ได้ยินคำตอบของฉันไป เธอกลับเงียบไม่ตอบรับ
หลังจากช่วงเวลาเงียบๆ ผ่านไประยะหนึ่ง เด็กน้อยก็ดูเหมือนว่าเธอจะลดการป้องกันตัวของเธอลงเล็กน้อย
“ถะ.. ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ..”
เด็กน้อยพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือก่อนที่เธอจะค่อยๆ ก้าวขาทีละนิดไปยังทางออกซึ่งฉันพึ่งสังเกตุเห็นว่าทางเข้านั้นถูกปิดไว้ด้วยกิ่งไม้ซึ่งดูเหมือนว่าจะเอาไว้อำพรางทางเข้า
“เดี๋ยวก่อน..”
ฉันเผลอพูดออกไปเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยกำลังจะจากไป
ฉันที่เห็นเด็กน้อยที่ซูบผอมแถมร่างกายยังเต็มไปด้วยแผลเล็กน้อยเต็มไปทั่วทั้งตัวแบบเธอแล้ว ฉันปล่อยผ่านไปไม่ได้จริงๆ
เด็กน้อยที่ได้ยินเสียงฉันห้ามเธอไว้ เธอก็หันหน้ามาทางฉันด้วยสายตาสั่นเครือที่ปลายตาของเธอตอนนี้มีน้ำตาคลอที่พร้อมหยดอยู่ทุกเมื่ออยู่
“พี่สาวไม่ทำอะไรเธอหรอกนะ”
ฉันพูดขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่พยายามปรับสีหน้าให้อ่อนลงมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้
“พี่สาวแค่อยากรู้ว่า เธอเป็นคนช่วยพี่สาวหรือเปล่า?”
เด็กน้อยที่ได้ยินคำถามนิ้วของเธอก็ขยุกขยิกไปมาก่อนที่เธอเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ชะ..ใช่ค่ะ”
ฉันที่ได้ยินคำตอบจากเธอ ฉันก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ถ้างั้นพี่สาวคงปล่อยผู้มีพระคุณไปไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ?”
“มะ.. ไม่..”
เด็กน้อยทำท่าทางจะปฏิเสธ ฉันเลยรีบพูดขัดขึ้นมาก่อน
“พี่สาวมีแนวคิดที่ว่า ‘บุญคุณ’ ต้องตอบแทนเสมออยู่นะ”
“ตะ.. แต่ว่า”
เด็กน้อยก้มหน้าก้มตามองพื้น หูของเธอตกลงแต่ทว่าหางของเธอนั้นกลับแกว่งไปมา
“ก่อนอื่นพี่สาวขอบคุณเธอมากๆ เลยนะ ไม่อย่างงั้นพี่สาวคงไม่รอดแล้ว”
ฉันพูดออกไปด้วยเสียงอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เด็กสาวที่ได้ยินคำขอบคุณหูของเธอตั้งตรงและหางที่กวัดแกว่งอยู่แล้วนั้นยิ่งแกว่งไปมาเร็วขึ้น
“ขะ.. เข้าใจแล้วค่ะ”
เธอเอ่ยตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
จ๊อก~
เสียงท้องร้องดังขึ้นมา ฉันมองไปที่ต้นทางของเสียงซึ่งก็คือ ท้องเล็กๆ ของเด็กน้อยตรงหน้าก่อนที่จะหัวเราะคิกคักถึงแม้แผลของฉันจะยังเจ็บอยู่แต่ก็ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว
ฉันค่อนข้างแปลกใจเลยทีเดียวไม่คิดว่าบาดแผลถูกแทงที่ท้องจะฟื้นตัวไวได้ขนาดนี้
อาจจะเป็นเพราะร่างกายของฉันฝึกฝนมาอย่างหนักจึงทำให้ฟื้นตัวเร็วกว่าปกติก็ได้?
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนั้นออกไป
“ถ้างั้นเราไปหาอะไรกินกันไหม?”
ฉันพูดออกมา เด็กน้อยที่ได้ยินคำถามนั้นเธอก็ก้มหน้าลงอีกครั้งทว่าไม่นานเธอก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล
“แต่แผลของพี่สาว..”
เด็กน้อยมองมาที่แผลตรงเอวของฉัน
เด็กน้อยคนนี้ช่างน่ารักจริงๆ
“พี่สาวพอจะขยับตัวได้แล้ว”
ฉันเอ่ยตอบกลับไป
จากท่าทางที่เต็มไปด้วยความน่ารักของเด็กน้อยนั้นฉันหยุดไม่ได้จริงๆ ที่จะยกมือแล้วลูบหัวของเธอ
ก่อนที่ฉันจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กน้อยดูกลัวการสัมผัส ฉันเลยดึงมือกลับพร้อมกับสีหน้ากระอักกระอ่วน
เด็กน้อยนิ่งเงียบไปนั่นทำให้ฉันเป็นกังวล
“ขอโทษนะ”
เด็กน้อยที่นิ่งไปนั้นเธอก็ค่อยๆ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ
“มะ.. ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันเห็นว่าเธอตอบรับด้วยการส่ายหน้าแรงๆ แบบนั้นแล้วใจของฉันก็กระตุกขึ้นมา
ในใจฉันอยากที่จะพุ่งเข้าไปกอดเด็กน้อยตรงหน้าซะเหลือเกิน
ทำไมเด็กน้อยคนนี้ถึงได้น่ารักขนาดนี้กันนะ เด็กน้อยมองฉันด้วยสายตาสงสัยที่เห็นว่าฉันนิ่งเงียบไป
ไม่นานฉันก็ตั้งสติได้ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับตัวไปยังทางเข้าที่หลบภัยของเด็กน้อย
ฉันค่อยๆ เปิดทางออกก่อนที่จะคลานออกจากช่องแคบโดยที่เด็กน้อยคนนี้คลานตามหลังฉันออกมา
ฉันเคยเรียนรู้วิธีหาอาหารภายในป่าเพื่อเอาตัวรอดอยู่พอสมควรแต่ว่าพอเจอสถานการณ์จริงแล้วมันต่างจากที่คิดมาก
รอบๆ ตัวของฉันเต็มไปด้วยป่าไม้อย่างเดียว ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มหาอาหารยังไงดีเสียด้วยซ้ำ
ทว่าไม่นานเด็กน้อยก็รีบเข้ามากระชากแขนของฉันด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ฉันหันกลับไปมองเธอด้วยสายตาสงสัย
“นะ.. หนี”
เธอพูดออกมาด้วยเสียงหวาดกลัวทว่าฉันกลับไม่รู้ว่าเธอพูดถึงอะไร
เมื่อเห็นว่าฉันยังคงสับสนอยู่เด็กน้อยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“มะ..หมูป่า! หนี!”
ในที่สุดฉันก็รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร
หมูป่าสำหรับฉันนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะปราบปรามมัน แม้แต่ในสภาพบาดเจ็บแบบตอนนี้ทว่าเมื่อมองดูร่างกายของเด็กน้อยตรงหน้าแล้ว
มันคงอันตรายถึงชีวิตของเธอทำให้เธอแสดงท่าทีหวาดกลัวแบบนี้ออกมา
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่สาวแข็งแกร่งมาก”
ฉันพูดออกไปทว่าเด็กน้อยก็ยังพยายามดึงแขนของฉันไปอยู่ดี
ตอนนั้นเองที่หมูป่าก็โผล่ออกมา แขนของฉันที่ถูกดึงอยู่นั้นก็ถูกหยุดดึง
เด็กน้อยเลือกที่จะวิ่งมาที่ข้างหน้าของฉัน หูของเธอตั้งขึ้นและหางของเธอก็ฟูฟ่อง
กรร~
เธอส่งเสียงขู่ราวกับแมวในลำคอไปยังหมูป่าแม้ว่าเธอจะยังดูเหมือนกลัวอยู่ก็ตาม
หมูป่าที่เห็นว่ามีพวกเราสองคนขวางอยู่ตรงหน้านั้นมันก็ส่งเสียงร้องของมันก่อนที่จะวิ่งมาทางพวกเรา
ฉันที่เห็นท่าไม่ดีเลยทำท่าชักดาบทว่าฉันกลับไม่เจอดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวของฉัน
นั่นทำให้ฉันตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนที่จะดันร่างของเด็กน้อยออกไปด้านข้างและจากความตื่นตระหนกนี้เอง ฉันเลยเผลอเหวี่ยงกำปั้นสุดแรงทุบไปที่หัวของมัน
แรงทุบกำปั้นของฉันแรงมากพอที่จะทำให้หัวของหมูป่านั้นกระทบกับพื้นและเด้งลอยขึ้นมาเลยทีเดียว
อู๊ด~
หมูป่าร้องออกมาเสียงดังก่อนที่จะแน่นิ่งไป
“อา.. ดูเหมือนเราจะได้อาหารแล้วนะ..”
ฉันหันไปพูดกับเด็กน้อยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เด็กน้อยที่ดูเหมือนจะตกใจอยู่ เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเดินเข้ามาหาฉันและดูที่แผลของฉัน
“ผะ.. แผลไม่เจ็บใช่ไหมคะ?”
ดูเธอสิ.. แม้ว่าจะกลัวจนขาสั่น เธอก็ยังเลือกที่จะเอาตัวเองมาอยู่ด้านหน้า ปกป้องคนที่เธอก็ไม่รู้จักและตอนนี้เธอก็ยังไม่สนใจตัวเองและเลือกที่จะมาสนใจแผลของฉัน
เธอจะน่ารักเกินไปไหนกัน!
ในใจฉันกรีดร้องกับความน่ารักของเด็กน้อยตรงหน้าและพยายามข่มความต้องการที่จะพุ่งเข้าไปกอดเด็กน้อย
“อะแฮ่ม.. พี่สาวว่าพวกเราเตรียมกินมื้อใหญ่กันดีกว่า”
เด็กน้อยที่ได้ยินคำพูดของฉัน เธอก็ตั้งสติได้และพยักหน้าขึ้นลงหลายครั้ง
เด็กน้อยมองไปที่หมูป่าพร้อมกับสายตาที่ตื่นเต้น มือน้อยๆ ของเธอกำและแบออกไม่หยุด หางที่แต่เดิมฟูฟ่องตอนนี้แกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง
อ่า.. น่ารัก..
หลังจากตกลงเรื่องจัดการอาหารแล้วนั้น เด็กน้อยก็พยายามที่จะลากหมูป่าไปด้วยตัวเธอเองทว่าด้วยร่างกายเล็กๆ ของเธอ มันเลยไม่ขยับเลยสักนิดเดียว
ฉันเลยยกหมูป่าด้วยแขนข้างหนึ่งแทนเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าเด็กน้อยนั้นจะประทับใจกับความแข็งแรงของฉันมาก
ตาของเธอเบิกกว้างพร้อมกับหางที่กวัดแกว่งไปมาไม่หยุด
“เธอเคยเตรียมเนื้อสัตว์หรือเปล่า?”
ฉันถามเด็กน้อยไปหลังจากที่พวกเราในที่สุดก็มายังจุดที่เด็กน้อยนำทางมา
สถานที่ที่เด็กน้อยนำทางมานั้นมีกิ่งไม้ที่เรียงกันซึ่งถูกมัดด้วยเถาวัลย์หลายชั้นเพื่อยึดแน่นกันและประกอบกลายเป็นแคมป์สามเหลี่ยมที่ทำจากกิ่งไม้ขนาดเล็ก
ฉันประหลาดใจกับความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าของเด็กน้อยตรงหน้ามากเลยทีเดียวจนอดที่จะแสดงสีหน้าออกมาไม่ได้
เด็กน้อยที่ดูอายุเหมือนจะยังไม่ถึงแปดปีตรงหน้าเธอสามารถเอาตัวรอดกลางป่าได้แบบนี้ เธอไม่รู้จะสรรหาคำชมอะไรมาชมเธอได้เลย
“มะ.. ไม่เคยค่ะ”
เด็กน้อยเอ่ยตอบฉันกลับมาพร้อมกับสีหน้าสลดใจ
ฉันที่เห็นสีหน้าของเด็กน้อยที่สลดใจแล้วใจของฉันก็บีบแน่นจนเจ็บ
“ไม่เป็นไรหรอกนะ เธอสุดยอดมากๆ แล้ว”
ฉันพูดชมเธอออกไป คำชมของฉันมาจากใจจริง เด็กน้อยที่เอาตัวรอดภายในป่าคนเดียวและยังช่วยเหลือตัวเธอที่อยู่ในสภาพเสี่ยงตายได้ ถ้าหากไม่ใช่คำว่าสุดยอดแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก
ฉันยื่นมือออกไปจะลูบหัวของเด็กน้อยทว่าฉันก็นึกได้และพยายามดึงมือกลับไปแต่เมื่อเห็นเด็กน้อยไม่หนีจากมือของฉันที่กำลังเข้าไปหาเธอ
ฉันเลยรวบรวมความกล้าและแตะลงบนหัวของเด็กน้อยเบาๆ และลูบมัน
เด็กน้อยก้มหัวของเธอ หูของเธอลู่ลงไปตามแรงมือของฉันส่วนหางของเธอนั้นฟูฟ่องราวกับแมวที่กำลังตกใจ
ฉันหัวเราะคิกคักออกมาจากการแสดงออกของเธอก่อนที่จะวางหมูป่าลง
ฉันมองไปรอบๆ เพื่อที่จะหาอะไรสักอย่างที่จะสามารถถลกหนังของหมูป่าได้และดูเหมือนเด็กน้อยจะรู้ถึงสายตาของฉัน เธอรีบวิ่งออกไปและไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับหินก้อนหนึ่งในมือ
“นะ.. นี่ค่ะ”
เธอยื่นก้อนหินก้อนหนึ่งมาให้ฉัน ฉันรับมันไว้และมองดูก้อนหินที่เธอให้มา
มันเป็นก้อนหินที่คมมาก ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะใช้ก้อนหินก้อนนี้ตัดเถาวัลย์ที่ใช้มัดกิ่งไม้ที่เธอใช้สร้างแคมป์เล็กๆ ของเธอ
“ขอบคุณนะ”
ฉันค่อยๆ ถลกหนังของหมูป่าด้วยก้อนหินแหลมโดยมีเด็กน้อยอยู่ข้างๆ คอยมองดูวิธีการที่ฉันทำ
ซึ่งวิธีการถลกหนังจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ค่อยรู้มากนักหรอก ฉันแค่ทำตามตำราที่เคยเรียนระหว่างเป็นอัศวินฝึกหัดสำหรับเอาชีวิตรอดในป่าเท่านั้นเอง
ในใจฉันแล้ว ฉันแอบรู้สึกว่าการถลกหนังที่เห็นเลือดและไส้ ออกจะมากเกินไปสำหรับเด็กน้อยไปหน่อยหรือเปล่า
แต่ว่าฉันคิดมากไปเองเมื่อเด็กน้อยไม่ละสายตาไปจากมือของฉันที่กำลังชำแหละหมูป่าเลยสักนิด
ระหว่างที่ฉันกำลังถลกหนังและแล่เนื้อหมูป่านั้นเอง ฉันพยายามหาเรื่องคุยกับเด็กน้อยอยู่พักหนึ่งก่อนที่ฉันจะนึกขึ้นได้ว่าฉันยังไม่รู้ชื่อของเธอเลย
“ว่าแต่เธอชื่ออะไรหรอ?”
เด็กน้อยที่ได้ยินดังนั้นเธอก็นิ่งเงียบไป
“หนู.. ไม่มีชื่อค่ะ”
ฉันที่ได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปยังเด็กน้อยด้วยความตกใจแต่ที่มากไปกว่านั้น คือ ความสงสาร
เด็กคนนี้ไม่มีแม้แต่ชื่อ ฉันได้แต่สงสารจับใจก่อนที่จะลูบหัวของเธอ
“ถ้างั้นให้พี่สาวคนนี้ตั้งชื่อให้ไหม?”