“Flora ระวังข้างหลัง!”
เสียงตะโกนจากด้านข้างทำให้ตัวฉันหันหน้าไปตามที่เจ้าของเสียงนั้นตะโกนบอก
เมื่อฉันหันหลังกลับไปนั้นเองก็เจอกับชายผู้หนึ่งที่ถือดาบยาวกำลังพุ่งเข้ามา ใบดาบเล่มนั้นเปื้อนเลือดและแห้งกรังทิ้งร่องรอยการใช้งานที่ผ่านมาอย่างยาวนานไว้อย่างชัดเจน
“ตายซะเถอะ เจ้าพวกสุนัขรับใช้!”
ฉันรีบยกดาบในมือของตัวเองขึ้นมาและป้องกันมันไว้
เคร๊ง~
เสียงใบดาบที่ทำจากโลหะแข็งกระทบกันส่งเสียงแหลมขึ้นมา
เมื่อฉันตั้งสติได้ ฉันจึงรีบเบี่ยงใบดาบที่กระทบกันไปด้านข้างก่อนที่จะพุ่งตัวเองเข้าหาอีกฝ่ายและผลักออกไปด้วยแรงกระแทก
อีกฝ่ายที่ถูกแรงกระแทกพุ่งชนนั้นถอยห่างออกไปหลายก้าวก่อนที่จะล้มลงกับพื้นและไม่นานร่างของชายคนนั้นก็ถูกใบดาบแทงจากด้านหลังโดยชายสวมชุดเกราะสีขาว
หลังจากที่เห็นว่าเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตของฉันหลุดพ้นแล้ว ฉันก็เอ่ยปากขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ พี่!”
“ตั้งสติ! ที่นี่คือสนามรบห้ามสติหลุดเด็ดขาด!”
“เข้าใจแล้วค่ะ!”
บทสนทนาระหว่างฉันกับพี่ชายของฉันนั้นเป็นบทสนทนาสั้นๆ ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะแยกย้ายไปสนใจกับเบื้องหน้าของตนเอง
ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีสงครามที่วุ่นวายและโกลาหล เสียงเหล็กที่กระทบกันส่งเสียงดังนับไม่ถ้วน เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดจากการละเลงเลือดของผู้คนบนสนามรบแห่งนี้ช่างน่าสลดใจ
“Flora! Vincent! พวกเธอสองคนกลับไปยังแนวหลัง อีกฝ่ายกำลังจะตั้งวงล้อมพวกเรา”
“พวกเธอกลับไปคอยกันไม่ให้พวกนั้นปิดทางหนีของพวกเราไว้!”
ชายวัยกลางคนผู้สวมเกราะพร้อมกับค้อนขนาดยักษ์ในมือตะโกนบอกทั้งฉันและพี่ไว้จากแนวหน้าสุดของรูปแบบขบวน
“รับทราบค่ะ! / รับทราบ!”
เมื่อได้รับคำสั่งทั้งฉันและพี่ต่างเอ่ยตอบรับคำสั่งทันที
พวกเราย้ายตำแหน่งของตัวเองไปยังด้านหลังทว่าศัตรูที่ห้อมล้อมพวกเรานั้นดูเหมือนจะเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำ พวกนั้นจึงเร่งมือเข้าปะทะอย่างไม่หยุดหย่อน
“พี่! พวกเราต้องเร่งมือแล้ว”
ฉันหันไปพูดกับพี่ของฉันด้วยความตื่นตระหนกเพราะว่าศัตรูนั้นบุกเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนและฉันก็เริ่มที่จะต้านไม่ไหวแล้ว
ทว่าเมื่อฉันหันไปนั้นเอง
ฉึก~
เพียงเสี้ยววินาทีที่ฉันหันหน้าไป ฉันก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท้องของฉัน
ใบดาบของศัตรูแทงเข้ามาที่เอวของฉัน
สติของฉันถูกกระตุ้นถึงขีดสุด ฉันรีบเหวี่ยงดาบในมือไปยังเจ้าของใบดาบที่แทงเข้ามาที่เอวของฉันอย่างแรง
ฉั๊วะ~
ใบดาบของฉันตัดผ่านหัวของศัตรู
“Flora!”
ฉันไม่แม้แต่จะกุมบาดแผลที่หน้าท้องได้เพราะศัตรูตรงหน้าแม้จะเห็นว่าฉันตัดหัวของเพื่อนร่วมรบไปพวกนั้นก็ไม่หวั่นเกรงเลยสักนิดกลับกันพวกนั้นกลับบุกเข้ามาหนักมากยิ่งขึ้น
“ทุกคน! หลบหนีแบบกระจายตัว!”
เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วสนามรบดังขึ้นอีกครั้ง
มันคือเสียงคำสั่งจากชายวัยกลางคนหรือก็คือ หัวหน้ากลุ่มของฉัน
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์นั้นไม่สู้ดีชายวัยกลางผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของฉันก็เอ่ยคำสั่งหลบหนีทันทีและเมื่อนั้นเองค้อนยักษ์ในมือของเขาก็ทุบลงพื้นอย่างรุนแรงเกิดควันขนาดใหญ่ขึ้นมา
เมื่อเห็นโอกาสฉันจึงถอยหลังจนชิดกับพี่ของฉัน
“ขอโทษค่ะ พี่.. หนูทำเสียแผน”
“ช่างมัน! เอาชีวิตรอดจากตรงนี้ไปให้ได้ก่อน!”
พี่ชายของฉันพูดออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว
ฉันรู้ดีว่าเขาไม่ได้โกรธฉันแต่ว่าสถานการณ์ที่ตึงเครียดในตอนนี้ต่างหากที่ทำให้เขาเอ่ยออกมาเสียงแข็ง
“พี่จะเปิดทางให้ เธอคอยตามหลังพี่มา”
พี่ของฉันพูดขึ้นมาก่อนที่ใบดาบของเขาจะเกิดประกายแสงสีฟ้าครามขึ้น
มันคือ ‘ออร่า’
ออร่า คือ สิ่งที่นักดาบทุกคนนั้นใฝ่ฝันที่จะมีมัน มันคือสิ่งที่บ่งบอกว่านักดาบผู้นั้นมีพรสวรรค์และพรแสวงมากขนาดไหน
หากนักดาบผู้นั้นมีออร่าเพียงแค่การตวัดดาบก็สามารถฟาดฟันคนนับสิบได้ภายในครั้งเดียว
“ตามมา! เร็วเข้า!”
พี่ฉันตวัดดาบในมือไปยังด้านหน้าและคอยรับศัตรูราวกับปราการที่ไม่มีทางล้มได้
ศัตรูที่เห็นว่าดาบของพี่ฉันนั้นมีออร่าเคลือบไว้อยู่ พวกนั้นเลยถอยร่นออกไปเว้นระยะห่างทำให้พวกเราสามารถฝ่าดงศัตรูออกไปได้
ทางที่พวกเราสองพี่น้องหลบหนีออกมาได้นั้นปลายทางกลับเป็นป่าไม้
ป่าไม้ เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยสำหรับการหลบหนีและซ่อนตัวนั่นจึงทำให้พวกเราไม่ลังเลเลยที่จะรีบหลบหนีเข้าไป
พวกศัตรูที่เห็นพวกเรากำลังหลบหนีเข้าไปข้างในป่าซึ่งยากที่จะติดตามพวกเราที่เป็นศัตรูได้นั้นต่างก็เร่งรีบหยุดพวกเราไม่ให้เข้าไปข้างในป่าได้
ทว่าด้วยฝีมือด้านดาบของพี่ชายฉันที่คอยตวัดเปิดเส้นทางและรับมือพวกศัตรูอย่างเหนือชั้นในที่สุดพวกเราก็เข้ามาข้างในป่าได้ในเวลาไม่นานจากนั้นพวกเราก็เริ่มหลบหนีโดยอาศัยต้นไม้คอยบังวิสัยทัศน์ของพวกศัตรู
พวกเราพยายามหลบหนีจากศัตรูอยู่หลายชั่วโมงในที่สุดพวกเราก็หลุดพ้นได้แต่มันคงไม่นานศัตรูก็อาจจะเจอพวกเราอีกครั้ง
ถึงจะรู้อย่างนั้นทว่าร่างกายของฉันนั้นกลับไม่สามารถก้าวขาออกไปได้อีกแล้ว
บาดแผลที่หน้าท้องของฉันเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“…”
พี่ของฉันมองมาที่ฉันด้วยสายตานิ่งเรียบ
ฉันเข้าใจความหมายของมันดี
“พี่หนีไปเถอะ”
ฉันพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาหวิว ฉันรู้ดีถึงสภาพร่างกายของฉันเอง
ตอนนี้ร่างกายของฉันมันขยับไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
พี่ของฉันที่ได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็ยังเรียบนิ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากออกมา
“…เข้าใจแล้ว”
หลังจากเอ่ยปากนั้นพี่เขาก็หันหลังและวิ่งออกไป
ส่วนฉันที่ตอนนี้นั่งผิงต้นไม้มองแผ่นหลังของเขาที่ถอยๆ ห่างออกไปอย่างเรียบเฉย
“นี่มันไม่ต่างกับส่งมาตายเลยสักนิด”
ฉันพึมพำกับตัวเอง
สงครามกับคนเถื่อนครั้งนี้นั้นเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง กำลังรบของอีกฝ่ายนั้นมีนับพันในขณะที่ฝั่งของฉันนั้นกลับมีกำลังรบเพียงแค่สิบคน มันไม่ต่างกับการส่งมาตายเลยสักนิด
“โอ้.. ท่านเทพธิดา Aphrodite ได้โปรดช่วยคุ้มครองพี่ของฉันและเหล่าสหายร่วมรบของฉันด้วย”
ฉันพึมพำโอดครวญกับเทพธิดาที่ฉันนับถือออกมาก่อนที่สายตาของฉันจะพร่าเลือน
ทว่าท่ามกลางสายตาที่พร่าเลือนของฉันนั้นเองร่างเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉัน
‘เด็กงั้นหรอ?’