ตัวเรานั้นเติบโตมากับการทำฟาร์มที่กระท่อมเล็กบนภูเขากับแม่สองคน
ตั้งแต่ที่ฉันยังเด็กพ่อที่ร่างกายอ่อนแอก็ได้จากโลกนี้ไป หลังจากนั้นก็เป็นชีวิตอันสงบสุขของฉัน จนกระทั้งฉันได้อายุ 12 ปี แม่ก็ได้ล้มลงไปเพราะอาการป่วย
ฉันพยายามที่จะปฐมพยาบาลให้แแล้ว แต่แม่เองก็กลับผอมลงขึ้นเรื่อย ๆ
จนวันหนึ่งแม่ก็ได้มอบเงินที่จำนวนหนึ่งที่อยู่ในหระเป๋าหนังให้ฉัน พร้อมพูดว่า “แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้ทำอะไรให้กับลูกเลย แต่อยากน้อยแม่อยากให้ลูกใช้ชีวิตตามที่ลูกปรารถนานะ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของแม่
เช้าวันถัดมา แม่ก็ได้จากโลกนี้ไป
และฉันก็เหลืออยู่เพียงคนเดียว
เมื่อสร้างหลุมศพของแม่ข้าง ๆ หลุมศพของพ่อเสร็จ ฉันได้ตัดสินใจที่จะเดินทางเข้าไปในเมือง และลงจากเขา
ฉันคิดว่าคงจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปก็ได้
ที่นี้เป็นบ้านนอกที่แม้แต่จะเรียกหมอก็ไม่สามารถทำได้ แต่ที่นี้ก็มีทั้งทุ่งนา และเหล่าปศุสัตว์อีก
ถ้าเข้าไปในป่าก็สามารถกินผลไม้ที่สดใหม่จากต้นได้ และยังมีสัตว์ที่ล่าได้อย่างกระต่ายอยู่ด้วย
เรื่องอาหารการกินนั้นแทบไม่ต้องเป็นห่วงเลย
แต่ว่า
ตัวเราได้ตัดสินใจที่จะจากบ้านทีหลังเล็กที่คุ้นเคยออกมา
เพราะฉันมีเรื่องที่อยากจะทำอยู่ยังไงล่ะ
เพราะฉันอยากจะเป็น “นักผจญภัย” ยังไงล่ะ
เราอยากที่จะเป็นนักผจญภัยที่อย่างเช่นตัวเอกของเรื่องราวของผู้กล้าที่พ่อเล่าให้ฉันฟังตอนเด็กๆ
ร่วมมือกับพรรคพวกปราบมังกร หาสมบัติ และผจญภัยออกไปในโลกกว้าง
ได้รับการสอนเวทมนตร์จากจอมเวทย์ชรา คลายคำสาปที่อยู่ในป่า รับยาที่รักษาได้ทุกสรรพสิ่งจากราชาภูติ
เรามักให้พ่อเล่าเรื่องราวการผจญภัยที่น่าตื่นตานี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ยาที่รักษาได้ทุกสรรพสิ่ง
ถ้าเกิดว่ามียานั้นอยู่จริงๆ อาจจะรักษาได้ทั้งพ่อและแม่ก็ได้ ตัวเรานั้นเคยจินตนาการไว้เช่นนั้น
แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานที่พิสูจน์ถึงมันได้
เพราะมันอาจจะเป็นนิทานที่พ่อสร้างมาให้เราสนุกตอนที่ยังเป็นเด็กก็เป็นไปได้
แต่ฉันอยากที่จะพิสูจน์มัน
ว่าเรื่องนิทานที่พ่อเล่ามานั้นมันจริงแค่ไหน ว่ามันจะเป็นเรื่องที่แต่งมา ฉันก็อยากที่จะพิสูจน์มัน
ไม่สิ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร
ฉันน่ะก็แค่ชื่นชมตัวละครเหล่านั้นก็เท่านั้นเอง
“ตัวเอก”ของนิทานที่พ่อเล่าให้ฟัง
ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับความยากลำบากแค่ไหน เขาก็กวัดแกว่งดาบเพื่อพวกพ้อง และผู้ที่อ่อนแอ สุดท้ายตัวเอกเหล่านั้นก็จะนำมาซึ่งชัยชนะ และพาเรื่องราวไปสู่ตอนจบอย่างมีความสุข
นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากเป็น
ฉันไม่สามารถที่จะเก็บความรู้สึกที่อยากจะเป็นอย่างฮีโร่ที่อยู่ในเรื่องราวเหล่านั้นได้
ฉันใช้เวลาหลายวัน ลงจากเขาเพื่อมุ่งหน้าไปที่่ “กิลด์นักผจญภัยในเมือง”
เพราะฉันได้ยินมาว่า ถ้าไปที่นั้นฉันจะสามารถเป็นนักผจญภัยได้
การที่จะไปถึงกิลด์ได้นั้นง่ายมาก
เมื่อลองถามที่อยู่กับพี่ทหารยามดู เขาก็แนะนำให้กับฉันทันที
ใช่แล้วการที่จะไปที่นั่นนั้นง่ายนิดเดียว
แต่ว่าเมื่อฉันเข้าไปที่กิลด์ คุณลุงที่ทำหน้าจริงจังก็ได้พูดกับฉันว่า
“ที่นี้ไม่ใช่ที่เด็กจะเข้ามา กลับบ้านไปซะ”
ต่อให้กลับบ้านไป ก็ไม่มีครอบครัวของฉันอยู่อีกแล้ว
เมื่อฉันอธิบายสถาณการณ์ของฉันให้เขาฟังไป
“อะไรกัน ไม่มีพ่อแม่งั้นเหรอ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ งั้นไปที่โรงเรียนฝึกสอน ”คลาส” ไหม แต่ไม่เคยมีเด็กแบบนายไปที่นั่นมาก่อนเลย ถ้านานอยากไป จะลองไปดูไหมล่ะ”
คุณลุงได้โน้มตัวลงมาพร้อมเริ่มอธิบาย
ที่เมือง―ที่อาณาจักรแห่งนี้นั้น ผู้ที่จะขอลงทะเบียนที่ “กิลด์นักผจญภัยนั้น” สามารถเข้ารับการอบรมได้ที่โรงเรียนฝึกสอน ”คลาส”ของของอาณาจักรกี่ที่ก็ได้
เพื่อลดอุบัติเหตุการตายของนักผจญภัยหน้าใหม่ จึงได้มีการออกกฎหมายนี้ขึ้นมา
และสามารเข้ารับการอบรมได้แบบฟรีๆ
ไม่เพียงแค่นั้น ระหว่างอบรมก็รับคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้อีกด้วย
ดูเหมือนว่าค่าใช้จ่ายนั้นถูกรวมเข้าไปในภาษีที่เราต้องจ่ายไว้อยู่แล้ว
สำหรับฉันแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เข้าหัวเลยซักนิด
และแน่นอนว่า สติของฉันก็ลอยเตลิดไปกับเรื่องนั้นเรียบร้อย
“ถ้าแกอยากเป็นนักผจญภัยล่ะก็ไปที่่โรงเรียนฝึกสอน จะเป็นอะไรก็ได้แต่ไปเอา “สกิล” มาให้ได้ซะ”
ในตอนนั้นตัวฉันที่ไม่ได้เข้าใจอะไรซักอย่าง แต่เมื่อคุณลุงพนักงานกิลด์พูดว่า
“สกิล”
ในตอนนั้น ฉันถึงได้รู้การมีอยู่ของสกิล
ดูเหมือนว่าสกิลจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงความแข็งแกร่ง และความสามารถในโลกนี้
จากที่คุณลุงพนักงานกิลด์พูดมา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนไหนจะต้องมี ”สกิล”หนึ่งหรือสองอย่างอยู่กับตัว
และโรงเรียนฝึกสอน มีไว้เพื่อที่จะตรวจสอบถึงสกิลเหล่านั้น
ในประเทศแห่งนั้นได้มีโรงเรียนฝึกสอนคลาสแบ่งออกมาเป็น 6 สาย
ไม่ว่าใคร ก็สามารถเข้าอบรมกับคลาสที่ตัวเองต้องการได้ เพราะถ้าเราฝึกฝน เราจะรู้ได้ทันทีว่าเรามี [สกิล] อะไร และเหมาะกับอาชีพไหน
เพราะงั้นฉันจึงไปที่โรงเรียนสอนคลาสตามที่คุณลุงพนักงากิลด์บอก และตัดสินใจเข้ารับการฝึกอบรม
ฉันได้กล่าวขอบคุณคุณลุงพนักงานกิลด์ที่บอกสถานที่ให้ และมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนฝึกสอนคลาส
──【ซอร์ดแมน(นักดาบ)】
คืออาชีพที่ฉันใฝ่ฝันมาโดยตลอด
ผู้กล้าในเรื่องราวการผจณภัยที่ฉันชอบ เพียงการแกว่งดาบเพียงครั้งเดียว เขาก็ฟันมังกรตัวใหญ่เท่าภูเขาได้ และล้มมันได้ด้วยดาบเดียว
ฉันฉันเองก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นแบบนั้นให้ได้
ตัวเรารู้ดีว่านั่นคือเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่ว่าตัวเราเองก็อาจจะเป็นแบบนั้นได้ไม่ใช่เหรอไง
ไม่สิ ฉันจะเป็นให้ได้เลย
ด้วยความคิดเช่นนั้น เราก็ได้ด้าวเท้าเข้าไปยังโรงเรียนอบรม
แต่ว่า
หลายเดือนที่เราได้รับการอบรมจากครูฝึก และรู้ได้ว่า
ตัวเรานั้นดูเหมือนจะไม่มีความสามารถในการเป็นนักดาบ
ช่างเป็นความสิ้นหวังที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้
หน้าที่ของนักดาบ คือคนที่ทำหน้าที่ในการโจมตี
พลังทำลายล้างอันรุนแรง หรือก็คือสิ่งที่ต้องมีคือ ”สกิล” ที่เหมาะสมกับการโจมตี
แต่ว่าตัวเรานั้นแม้จะฝึกฝนจนครบระยะเวลาการฝึกก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถพัฒนาทักษะการโจมตีได้
ตรงกันข้าม เรากลับไม่ได้รับสกิลอะไรเลย แม้ว่าจะฝึกฝนมากแค่ไหนก็ตาม
แม้ว่าระยะเวลาการฝึกอบรมที่กำหนดไว้กำลังจะสิ้นสุดลง แต่ฉันก็ไม่อยากที่จะยอมแพ้ ฉันจึงขอร้องให้ครูฝึกขยายระยะเวลาการฝึกอบรมออกไป
แต่ว่าครูฝึกก็ได้พูดออกมา “ตัวเธอที่ไม่มีสกิล และเหวี่ยงดาบไปมานั้น สำหรับนักดาบ มันไม่มีประโยชน์เลยกับพรรคพวกของนายเลย มันจะเป็นการเสียเวลาของนายไปเปล่า” แม้เราจะผิดหวังก็ตาม แต่เราก็ได้ตัดสินใจไปยังโรงเรียนอบรมถัดไป
ถ้า “ซอรด์แมน(นักดาบ)” เป็นไม่ได้ล่ะก็
โรงเรียนอบรมที่เรากำลังไปนั้นคือโรงเรียนอบรมของ 【วอริเออร์(นักรบ)】
【วอริเออร์(นักรบ)】 คืออาชีพที่ใช้ร่างกายของตัวเองในการปกป้องพรรคพวกในปาร์ตี้ดั่งโล่ โดยใช้อาวุธทุกชนิดและบุกไปยังแนวหน้าเสมอ
ถึงแม้วอริเออร์จะไม่ได้ใกล้เคียงกับนักดาบ แต่ก็ใกล้เคียงกับนักผจญภัยที่ฉันวาดฝันไว้
แถมฉันเองก็ไม่ได้มีพรสวรรค์ในเรื่องดาบด้วย
เพราะงั้นเรื่องดาบก็คงไม่เป็นไรหรอก
จะยังไงก็ช่าง ขอแค่ได้ใช้ชีวิตอยากแข็งแกร่งในฐานะนักผจญภัยก็พอ
หลังจากนั้นฉันก็เข้ารับหารฝึกอบรมของวอริเออร์ เราใช้เวลาหลายเดือนในการฝึกฝนอย่างหนัก จนอาเจียนออกมาเป็นเลือด ไปกับผู้ใหญ่ตัวใหญ่ยักษ์
แต่ว่าต่อให้จะฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายยังไงก็ตาม ในช่วงสิ้นสุดการฝึก ในที่สุดฉันก็ได้เรียนรู้สกิลพื้นฐานที่ใครๆ ก็สามารถใช้ได้ ซึ่งก็คือความสามารถในเสริมพลังกายนิดหน่อยเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะของ “วอริเออร์(นักรบ)” คนนึงก็ตาม
ดูเหมือนว่าฉันเองก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะเป็นวอริเออร์ได้สินะ
ครูฝึกใจดีกับฉันมาก และแนะนำให้เราไปฝึกอาชีพอื่นดูไหม พร้อมบอกกับฉันว่า “ถ้านายยังทำแบบนี้ต่อไป นายอาจจะตายได้นะ”
ตัวฉันที่ผิดหวัง ก็ได้มุ่งหน้าไปที่โรงเรียนอบรมต่อไป โดยไม่สนว่าจะเป็นคลาสไหนก็ตาม
โรงเรียนอบรมที่ต่อไปที่ฉันไปก็คือ【ฮันเตอร์】
การต่อสู้จากระยะไกล มันก็ไม่ได้แย่ด้วย แม้ฉันจะสู้ด้วยระยะประชิดไม่ได้ก็ตาม
เพราะเราก็มีประสบการณ์การล่าจากบนเขาอบู่เหมือนกัน
ฉันเองก็วางกับดัก และขว้างหินให้นกร่วงลงมาได้
ฉันเองก็อาจจะทำมันได้ก็ได้ ด้วยความคิดนั้น ฉันจึงเข้าฝึกฝนที่โรงเรียนอบนมแห่งนี้
แต่ว่าที่นี้เอง ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ตัวเรานั้นต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตามก็ได้สกิล “ขว้างหิน” ที่ใครๆก็ทำได้มา เป็นสกิลที่แม้แต่เด็กเองก็ยังใช้ได้
สุดท้าย การฝึกก็จบลงโดยที่แม้แต่ธนูเราก็ไม่สามารถใช้ได้
ครูฝึกได้อธิบายกับฉันว่า “นายน่ะไม่มีเซนส์ในการใช้อาวุธที่มันละเอียดอ่อนเลยด้วยซ้ำ”
หลังจากที่ออกมาจากโรงเรียนอบรมของฮันเตอร์ ฉันนั้นท้อแท้มากๆ
เพราะดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถเป็นนักผจญภัยอย่างตัวเอกในนิทานอย่างที่ตัวเองวาดฝันไว้ได้
เรานั้นไม่มีความเข้ากันกับอาชีพที่ต้องใช้อาวุธ
ถ้าอย่างนั้น…เราก็เปลี่ยนความคิดก็พอ
ขอแค่เป็นนักผจญภัยได้ จะอะไรก็ช่าง
แม้เราจะไม่ใช่ตัวเอก ขอแค่เรามีประโยชน์ในฐานะตัวประกอบก็ได้
ไม่ต้องเป็นฮีโร่อย่างเรื่องเล่าของผู้กล้าก็ได้
จะเป็นอะไรฉันก็จะทำให้หมด
หลังจากที่เราหมดหวังไปกับโรงเรียนอบรมครึ่งหนึ่งเราก็เลือกที่จะเข้าอบรมในโรงเรียนอบรม【โจร(ธีฟ)】
ฉันเองมีความหวังเล็กน้อยว่า บางทีฉันอาจจะทำได้ดีที่นี่ก็ได้
แต่ว่าความคิดแบบนั้น มันก็อ่อนหัดไป
สุดท้ายแล้วสกิลที่เราได้มาก็เป็นแค่สกิลที่เอาไว้ลดเสียงเวลาก้าวเท้าเท่านั้น
และครูฝึกที่รับหน้าที่ในการอบรมอาชีพโจรรก็ได้บอกกับฉันไว้ว่า
“ไม่สามารถปลดกับดักที่ติดไว้หีบสมบัติได้ และยังไม่สามารถรับรู้ตัวตนแบบนี้ใช้ไม่ได้หรอก” ตัวเราน่ะไม่มีความสามารถเรื่องนี้เลย ไปโรงเรียนอบรมอื่นเถอะ ครูฝึกได้พูดแบบนี้กับฉัน
ตัวเราที่ยืนหยัดมาโดยตลอด เพราะคิดว่านี่คือความหวังสุดท้ายของเรานั้น แต่สุดท้ายก็ถูกเชิญออกมาอยู่ดี
ตัวเรานั้นรู้สึกเสียสูญ
ที่นี้คือที่สุดท้ายแล้ว
ที่ ๆ เราคิดว่าเข้าไปแล้วน่าจะทำได้
โรงเรียนอบรมที่เหลืออยู่มีแค่ 【เมจิกเชี่ยน 】เท่านั้น
แต่ว่า จากที่ฟังจากคุณลุงพนักงานกิลด์ ว่าไม่ไหวหรอก เราเลยยอมแพ้ไป
ว่ากันว่าการที่จะมีเวทมนตร์ได้นั้นก็ต่อเมื่อ คุณภาพของมานาเวทมนตร์ที่มีมาแต่โดยกำเนิด ความรู้รอบด้านเกี่ยวกับเวทมนตร์ และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมารวมกัน
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นเมจิกเชี่ยน
ว่ากันว่าเป็นอาชีพที่ยากกว่านักดาบ หรือนักรบเสียอีก
เพราะงั้น เราเลยตัดมันออกเพราะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะทำได้
แต่ว่า มีแต่ต้องทำเท่านั้น
เพราะเราไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้วยังไงล่ะ
เราจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในโลกของเวทมนตร์ โลกที่เราเคยได้ยินจากนิทานที่พ่อเล้าให้ฟัง
แม้ตัวฉันเองจะรู้ดีว่ามันสิ้นคิดแค่ไหนก็ตาม
แต่ว่านะ ถ้าเกิดว่าตัวเราเองมีความสามารถในเรื่องนี้ล่ะก็ ก็อาจจะทำได้ก็ได้
เราคิดแบบนั้น และได้ย่างก้าวเข้าไปยังโรงเรียนอบรมของ (เมจิกเชี่ยน)
เมื่อพูดถึงผลลัพธ์แล้วล่ะก็
ไม่มีอะไรคืบหน้า
ไม่ได้เช่นเคย
ครูฝึกที่โผล่มาที่หน้าประตูโรงฝึกก็ได้ให้เราเข้าไปพร้อมบอกกับเราว่า “งั้น ก็ลองดูเท่าที่ทำได้ละกัน” สุดท้ายสกิลที่ได้มาก็เป็นเพียงสกิลที่จุดไฟขนาดเดียวกับจุดเทียนที่ปลายนิ้วชี้ได้เท่านั้น
เป็นสกิลพื้นฐานที่แม้แต่คนที่ไม่มีพรสวรรค์ก็สามารถเรียนรู้ได้ หลังจากผ่านการฝึกแค่สามวัน แต่เรากลับใช้เวลาฝึกฝนทั้งหมดเพื่อเรียนรู้มัน
ถ้าพูดล่ะก็ เราไม่มีความสามารถด้านเวทมนตร์เลยซักนิด
ครูฝึกที่สอนเวทมนตร์ได้บอกกับเราว่า “หายากนะเนี่ยที่จะเจอคนไร้พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์แบบเธอ”
พร้อมกับมองมาที่เรา และพูดทิ้งท้ายกลับมาอย่างอ่อนโยนว่า
“ที่นี้คงไม่ใช่ที่ของเธอ ไปที่โรงเรียนฝึกอบรมอื่นเถอะ”
ตัวฉันที่ไม่พูดอะไรเลย วันนั้นก็ได้ออกมาจากโรงเรียนอบรม และยอมแพ้กับเส้นทางของเมจิกเชี่ยน
ต่อจากนั้น
จากการแนะนำของกิลด์อีกอาชีพหนึ่งที่เราสามารลองได้ในตอนนี้เหลือแค่อันเดียวเท่านั้น
แถมเป็นอาชีพที่ใช้เวทมนตร์อย่างสิ้นคิด อย่าง 【 นักบวช(เคลลิค)】
ไม่ใช่ใครก็สามารถที่จตะเป็นนักบวชได้
สกิลการรักษาเป็นอาชีพที่ผู้ได้รับพรจากเทพเจ้าตั้งแต่เกิดเท่านั้นที่จะฝึกฝนจนบรรลุได้
คุณลุงพนักงานกิลด์ได้พูดออกมาว่า “นักบวช(เคลลิค)” น่ะไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นแล้วก็เป็นได้นะ”
ตัวเราเองก็ยอมรับแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ว่า
ตัวเราน่ะทั้งนักดาบ นักรบ ฮันเตอร์ โจร เมจอคเชี่ยนเองก็ได้ลองมาแล้ว และไม่สามารถเป็นได้
เราน่ะหมดหวังแล้ว
เพราะงั้น ขอเดิมพันความหวังสุดท้ายไปกับอาชีพ “นักบวช(เคลลิค)” และมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนฝึกอบรม
เมื่อเขาเดินทางมาถึง สิ่งที่ได้พบก็คือวิหารที่สร้างขึ้นมาจากหินอ่อน
เมื่อฉันเคาะประตู มีนักบวชร่างสูงคนหนึ่งออกมาจากข้างใน และเมื่อฉันอธิบายความปรารถนาของฉัน เขาก็บอกกับฉันอย่างชัดเจนว่า “ถ้าคุณไม่มีพื้นฐาน คุณจะทำไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นอย่าทำเลย”
เรื่องนั้นเราเข้าใจดี
แต่เราไม่อยากที่จะล้มเลิก
ฉันได้่บอกกับนักบวชที่หันหลังให้กับประตู ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวว่า ว่า “ผมจะไม่ขยับจากหน้าประตูแม้แต่นิ้วเดียว จนกว่าจะได้รับการฝึก” และผมก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป และในวันที่สาม นักบวชก็ยอมให้กับความเด็ดเดี่ยวของเขา พร้อมพูดว่า “ถ้าแค่แนะนำล่ะก็”
หลังจากนั้นเราจึงเริ่มฝึกฝนในฐานะนักบวช
แต่ว่า หลังจากเข้ารับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นมาระยะหนึ่ง เราก็ได้รับทักษะที่เรียกว่า [โลวฮีล] ซึ่งเป็นคาถาระดับต่ำสุดของนักบวชที่มีระดับต่ำกว่า[ฮีล]เสียอีก เป็นสกิล ที่จะรักษารอยขีดข่วนของตัวเองเท่านั้น แม้แต่นักบวชเองก็ยังไม่ต้องการ ความพยายามของฉันตลิดมาของฉันทำได้แค่นี้เองอย่างนั้นเหรอ
หรือก็คือ ฉันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าตัวเองนั้นไร้ความสามารถ
ครูฝึกที่เป็นนักบวช ปลอบใจฉันด้วยการพูดว่า “น่าทึ่งมากที่เธอสามารถทำแบบนี้ได้โดยที่ไม่ได้รับพรในวัยเด็ก” แต่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมในวัยเดียวกันกับฉันนั้น กลับได้รับทักษะที่น่าทึ่ง และพัฒนาขึ้นจนอยู่คนละระดับกับเรา
นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าตัวเรานั้นมันไร้ประโยชน์
สุดท้าย เราก็ไม่ผ่านโรงเรียนฝึกอบรมทั้งหมด
จากนั้น ฉันบอกกับลุงพนักงานกิลด์ว่าฉันไม่สามารถรับทักษะที่เป็นประโยชน์ใดๆ ได้ และถือว่า “ไม่เหมาะสม” กับทุกอาชีพ
“นี้นายไม่ได้รับสกิลสักอย่างเลยเหรอ? อย่างนี้ต่อให้นายเป็นนักผจญภัยไปก็มีแต่ให้นายไปตายอยู่ในป่าเท่านั้นแหละ เลิกฝันแล้วกลับไปที่อยู่ที่ภูเขาอย่างเงียบ ๆ จะดีกว่านะ หรือจะให้ฉันแนะนำงานอื่นให้เอาไหม?”
แน่นอนว่าคุณลุงพนักงานกิลด์ก็คงบอกให้เลิกเดินในเส้นทางของนักผจญภัยสินะ
เพราะนักผจญภัยเป็นงานที่อันตราย
เรื่องนั้นเราน่ะรู้ดี
เรื่องที่คุณลุงพูดมาก็มีเหตุผลมาก
แต่เราก็ไม่ยอมแพ้หรอก
เพราะงั้นเราเลยเดินออกจากเมืองมาอย่างเงียบๆ
──ตัวเราน่ะไม่มีความสามารถ
ไม่มีความสามารถอะไรเลย
เรื่องนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว
──แต่ว่า ถ้าเกิดว่า
อยู่ดีๆเราก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า
ถ้าไม่มีความสามารถล่ะก็ เราก็แค่พยายามแล้วฝึกฝนเพื่อทดแทนสิ่งที่เราขาดไปก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
ความคิดนั้นมันก็โผล่ขึ้นมาในหัว
ฉันน่ะไม่ว่าจะยังไงก็จะไม่ยอมแพ้
เพราะว่า ตอนที่ครูฝึก (ซอรด์แมน(นักดาบ)) ได้สอนฉันไว้ว่า “หากฝึกฝนสกิลเพียงหนึ่งเดียวของตัวเองให้ดีที่สุด ก็จะเกิดสกิลใหม่ขึ้นมาก็ได้”
──ใช่แล้ว มีวิธีนี้เท่านั้น ตัวเราได้ยึดมั่นในคำพูดนั้น
เพราะสำหรับเราแล้ว คำพูดนั้นคือความหวังสุดท้ายของเรา
ถึงเวลาเวลาที่ใช้ในการคิดของฉันจะน้อยก็ตาม
แต่ถ้าฉันพยายามละก็ แม้แต่ตัวฉันเอง
ก็อาจจะมีสกิลใหม่เกิดขึ้นมาก็ได้ และฉันอาจจะเป็นนักผจญภัยก็ได้
เอาล่ะ ถ้างั้นก็มาเริ่มฝึกดีกว่า
เมื่อกลับมาที่ภูเขา ตัวเราก็ได้กลับมาฝึกฝนอย่างจริงจังอีกครั้ง
ดังนั้น ตัวฉันที่อยากเป็นนักดาบ เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันจึงทำดาบไม้จากด้นสดเป็นครั้งแรก และเริ่มฝึกตีมันด้วยแท่งไม้ที่ห้อยลงมาจากเชือกที่ผูกบนต้นไม้รอบบ้าน
เมื่อเหวี่ยงดาบเล่นดู
ตัวเราที่ตีท่อนไม้ที่แกว่งไปมาในอากาศด้วยดาบไม้
นั่นคือการฝึกฝนทั้งหมด
「แพรี่」
──สกิลที่ตัวฉันใช้สกลิระดับต่ำ สกิลที่ไม่เป็นประโยชน์กับใคร สกิลเดียวที่ฉันได้ได้รับมาเพียงอย่างเดียวจากการอบรมที่โรงฝึกซอรด์แมน(นักดาบ)
ตัวฉันที่ลืมหลับลืมนอน แกว่งดายไปตีท่อนไม้ที่แขวนให้บนต้นไม้ตั้งแต่เช้ายันเย็น
◇◇◇
หลังจากนั้นหนึ่งปีต่อมา
「แพรี่」
ในที่สุดตัวฉันก็สามารถแพรี่กิ่งไม้ที่แขวนไว้ทั้งสิบก้านพร้องกันได้ด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว
──แต่ว่า ก็ยังไม่มีเค้าลางของสกิลใหม่อยู่ดี
เมื่อไหร่กันนะที่สกิลใหม่จะปรากฏออกมา
แต่ว่าต้องมาแน่ ๆ ซักวันหนึ่งมันจะต้องมาแน่ ๆ
ขอแค่มีความพยายาม และทำมันต่อไป
เราก็จะได้สกิลให้ และสามารถเป็นนักผจญภัยคนหนึ่งได้
การผจญภัยของเราจะเริ่มต่อจากนั้น
เพราะคิดแบบนั้นแล้ว หัวใจในอกมันก็สั่นไหวขึ้นมา
ด้วยความหวังว่าในอนาคตฉันจะสามารถทำได้ จนฉันอดใจแทบจะไม่ไหว
◇◇◇
หลังจากนั้นวันและเดือนก็ผ่านไปสามปี
ตัวเรานอกเหนือจากงานทำไร่ ตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ฝึกซ้อมมาโดยตลอดจนเหนื่อยแล้วพล้อยหลับไปเท่านั้น
กิ้งไม่ที่เคยแขวนอยู่บนต้นไม้ ตอนนี้เราก็เปลี่ยนเป็นดาบไม้แทนตั้งแต่เมือวานแล้ว
ถ้าทำแบบนั้นคงจะมีกำลังใจในการฝึกมากกว่าล่ะนะ
หลังจากนั้นก็แกว่งดาบไปมาเช่นเคย
สะบัด และปัดดาบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่ในอากาศ ซ้ำไปซ้ำมา
ต่อจากนั้น
「แพรี่」
ตอนนี้เหมือนว่าเราจะสามารถปัดดาบไม้ได้หนึ่งร้อยเล่มในทีเดียวแล้ว
ให้หลับตาปัดไปด้วยในตอนนี้ก็ทำได้แบบสบายๆ
แต่ว่าก็ยังไร้วี่แววของสกิลใหม่
“ยังหรอกๆ ยังฝึกไม่พอ”
เรารู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแก่งขึ้นมานิดหน่อยแล้วก็เถอะ แต่ก่อนหน้านั้นที่ลงจากภูเขาไป ที่โลกนี้น่ะมีความคิดที่ว่า่สกิลคือทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น เพราะตอนนี้ฉันยังไม่ได้สกิลมาอยู่ในมือยังไงล่ะ
ตัวเราในตอนนี้ ยังไม่ถึงระดับของนักผจญภัยหน้าใหม่ด้วยซ้ำ
──สภาพแบบนี้มัน ความฝันที่จะออกไปผจญภัยน่ะก็ยังเป็นแค่ฝันอยู่วันยังค่ำ
ตัวเราคิดเช่นนั้น และตั้งใจฝึกอย่างหนักเช่นเคย
◇◇◇
หลังจากนั้น เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปสิบปี
ตัวเรานั้นฝึกฝนอยากเข้มงวด และไม่เคยขาดเลยแม้แต่วันเดียว
จำนวนดาบไม้ที่ห้อยอยู่บนต้นไม้เพิ่มขึ้นทุกวัน แม้จะยังไม่ได้นับ แต่เมื่อสองสามปีก่อนจำนวนในตอนนี้คงประมาณ 1,000 เล่มแล้วล่ะมั้ง
ยังไงก็แล้วแต่ เราก็ตวัดดาบแบบเดิม
ฝึกซ้อมโดยการปัดป้องดาบที่แขวนอยู่ไปมา
เพียงแค่การแกว่งเล่นๆ และทำซ้ำไปเรื่อย ๆ
「แพรี่」
ตอนนี้ฉันสามารถปัดดาบไม้ที่พันต้นทั้งหมด 1000 เล่มได้โดยแกว่งดาบเพียงแค่ครั้งเดียว
แต่ว่าก็ยังไม่มีสกลิใหม่เกิดขึ้นมา
“นักดาบบนโลกใบนี้ ทุกคนต้องฝึกหนักขนาดไหนกันนะ”
──จินตนาการไม่ออกเลยแหะ
แม้แต่ตอนนี้เอง เรายังคิดอยู่เลยว่าตัวตนของ “นักผจญภัย” นี้มันคนละโลกเลยนะ
ตัวเรานั้นรู้ดีว่า เรานั้นไม่มีความสามารถ
เพราะงั้น ตัวฉันที่เดินทางมาถึงขนาดนี้ด้วยความตั้งใจที่จะชดเชยความสามารถของตัวเองที่ขาดไป แต่ในที่สุดตัวเราเองก็เริ่มรู้สึกถึงขีดจำกัดของตัวเอง
และตัวฉันก็อายุได้ 27 ปี
ตัวฉันในตอนนี้ไม่ได้เยาว์วัยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
การจะเป็นนักผจญภัยนั้นะต้องมีสกิลถึงจะเป็นได้ แต่สุดท้ายตัวเราเองก็ไม่ได้รับมันมาแม้แต่สกิลเดียว
แม้จะดิ้นรนไปเท่าไหร่ก็ตาม ก็เหมือนกับว่าตัวเรานั้นคงไม่มีสกิลที่จำเป็นในฐานะ “นักผจญภัยทั่วไป” ได้เลย
แต่ตัวเรานั้นมีความฝันอยู่
การที่เป็นนักผจญภัย แล้วออกไปท่องโลกกว้าง
“ความฝันลมๆ แล้งๆงั้นเหรอ”
ตัวเราเองก็รู้ดีอยู่แล้ว
บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องมองหาวิถีชีวิตที่แตกต่างออกไปแล้วก็ได้
แต่ว่าตัวเราก็ไม่อยากยอมแพ้
และลงเขาไปอีกครั้ง และมุ่งหน้าไปที่ “กิลด์นักผจญภัย” ของอาณาจักร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมหยิบขึ้นมาแปล อาจจะยังมีสำนวนที่อาจจะยังอ่านได้ไม่คล่องนัก แต่ผมจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นนะครับ
ฝากผลงานของผมในอนาคตด้วยนะครับ