ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! 26 ศิลปะแห่งการลวงหลอก

ตอนที่ 26 ศิลปะแห่งการลวงหลอก

สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในตอนนี้ก็คือ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรกันแน่

ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เธอน่าจะบังคับถามจากลอยด์ตั้งแต่แรก

ไอ้หมอนั่นมันดูกลัวๆ เธอนี่น่า

เด็กสาวตรงหน้าของเธอไม่เชื่อในพระเจ้า ค่อนข้างหายากเลยนะ ปกติคนในโลกนี้จะนับถือและศรัทธาในพระเจ้ามาก คนที่ไม่เชื่อและยังลบหลู่เทพนั้นมีน้อยจนนับได้เลย

อีกฝ่ายอยากให้เธอพิสูจน์ตัวเองว่าเธอคือข้ารับใช้แห่งเทพจริงๆ พิสูจน์โดยการที่เธอจะต้องระบุได้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรกันแน่

แต่ใครจะไปรู้กันฟระ? เธอไม่ใช่ข้ารับใช้แห่งเทพจริงๆ สักหน่อย!

นี่มันค่อนข้างเป็นปัญหาเลย เธอไม่ได้วางแผนรับมือกับอะไรแบบนี้มาล่วงหน้าด้วย เธอแทบไม่เคยเจอปัญหาเฉพาะหน้าแบบนี้มาก่อนเลย

แต่โชคดีหน่อยที่เธอดูข่าวมาเยอะ

ในโลกเก่ามันจะมีรายการทีวีรายการหนึ่งที่ชื่อว่า ‘นิยาม ของความจริง’ มันเป็นรายการที่จะตีแผ่เรื่องราวน่าสนใจต่างๆ ทั่วโลกและนำมาวิเคราะห์

ข่าวจำพวกลัทธิประหลาดๆ และวิธีการหลอกลวงผู้คนของคนพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทางรายการนำมาออกบ่อยมากเลยล่ะ

ถ้าไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า ก็แค่แถแบบคนพวกนั้นก็พอนี่?

แต่จำเป็นต้องทำด้วยเหรอ?

“นี่มันค่อนข้างน่าสนใจเลยนะเนี่ย”

ยูริก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ทีละก้าว ทีละก้าว สายตาเยือกเย็นของเธอมอบบรรยากาศน่าขนลุกขณะที่กำลังจ้องเขม็งไปยังเด็กสาวตรงหน้า

“เหตุใดข้าต้องเสียเวลาพิสูจน์กับเจ้าด้วยล่ะ สาวน้อย เจ้ามีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนกับข้างั้นเหรอ?”

ถ้าเป็นพระเจ้าไม่ได้ก็จงเป็นปีศาจซะ นั่นคือคำนิยามที่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้ที่สุดแล้ว

“อ อะไร จู่ๆ เดินเข้ามาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง!? ถ ถอยไปนะ!”

เธอไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น นังเด็กเวร

มือของยูริเอื้อมออกไปข้างหน้า

“เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถตายได้ด้วยน้ำมือของเด็กเจ็ดขวบหรือไม่?”

รอยยิ้มเย็นยะเยือก ใช่ นั่นเป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกและน่ากลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยเผชิญมาเลย

ในอดีตไม่ว่าเธอจะเจอกับพวกผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีมากขนาดไหน ก็ยังไม่เคยมีใครมีรอยยิ้มน่าขนลุกแบบเด็กสาวตรงหน้ามาก่อนเลย

รอยยิ้มนั่น—มันราวกับว่าอีกฝ่ายไม่เห็นว่าเธอเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ เป็นเพียงของเล่นที่น่าเบื่อที่พร้อมจะฉีกทำลายได้ทุกเมื่อ

“ข้าล่ะเบื่อพวกแบบเจ้าเต็มทนแล้ว”

ยูริหัวเราะแผ่วเบาขณะที่ใช้มือสองข้างของตนรวบกับลำคอของอีกฝ่าย

“ถ้าเจ้าฉลาดกว่านี้อีกหน่อย เจ้าคงจะเดาได้ว่าไม่ควรลองดีกับพระเจ้า”

ทำไมเธอจะต้องสนใจด้วยล่ะว่าอีกฝ่ายจะเชื่อในตัวของเธอหรือไม่?

ข้างนอกนั่นยังมีผู้คนอีกมากมายที่พร้อมจะศรัทธาในตัวของเธอ เหล่าผู้คนที่จะสรรเสริญเธอดุจดั่งทวยเทพ

แล้วทำไมเธอจะต้องแคร์ความคิดเห็นของเด็กน้อยเพียงคนเดียวด้วยล่ะ

“อ อึก ป ปล่อย”

ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าเธอแท้ๆ แต่เรี่ยวแรงน้อยจังเลยนะ ช่างเปราะบางราวกับแก้วที่สามารถแตกสลายได้ง่ายๆ เลย

กระดูกนั่นตอนหักจะส่งเสียงยังไงกันนะ?

“ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าสินะว่าข้ารู้ชื่อที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่?”

มือของเธอบีบแน่นลงไปในลำคอของเด็กสาว หน้าของอีกฝ่ายซีดเผือดและพยายามดิ้นให้หลุด

“คำตอบคือไม่ เจ้าไม่มีค่าอะไรเลย ทำไมพระเจ้าจะต้องมาสนใจมนุษย์ตัวเล็กๆ ด้วยล่ะ?”

ไม่ได้ฆ่าใครสักคนมาสักพักแล้วนะเนี่ย

บางทีนี่คงเป็นโอกาสสินะ

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นแค่เด็กจรจัดที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่และต้องเอาตัวรอดไปวันๆ ก็เท่านั้น ชีวิตของมนุษย์อย่างเจ้ามันไม่มีค่าอะไรตั้งแต่ต้นแล้ว”

เธอโกหก

เธอมองว่าชีวิตของมนุษย์มันมีความหมายและมีคุณค่าในตัวของมันเอง เรื่องราวต่างๆ ที่ผู้คนได้ประสบพบเจอ ความสุข ความทุกข์ การพยายามดิ้นรนแต่สุดท้ายก็ตายไป

ทั้งหมดนั่นคือความหมายที่แท้จริงของชีวิต

แต่ถึงชีวิตมนุษย์จะเต็มไปด้วยความหมายก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวตนอันเล็กจ้อยที่เรียกว่ามนุษย์นั้นไม่ได้สำคัญต่อโลกนี้มากขนาดนั้น

“ลาก่อน หวังว่าจะได้เจอเจ้าในนรกนะ—”

เจ็บ

รู้สึกราวกับว่ามีอะไรคมๆ แทงทะลุช่องท้อง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ยูริหยุดชะงัก

“…”

ยูริก้มมองดูบริเวณช่องท้องของตัวเอง

มีดเล่มเล็กปักอยู่ส่งผลให้เลือดบางส่วนค่อยๆ ไหลออกมา ถ้าจำไม่ผิดการฝืนดึงมีดตอนนี้จะทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุดและก็ตายไปสินะ

“แฮ่ก แฮ่ก”

เด็กสาวตรงหน้าของเธอทำสีหน้าหวาดผวาขณะที่จ้องมองมีดในมือของตน เธอเตรียมสิ่งนี้มาเพื่อรับมือกับสถานการณ์แบบนี้โดยเฉพาะ

สีหน้าของเธอดูหวาดกลัว หวาดผวา และมือสั่นเทาราวกับเห็นบางสิ่งที่น่ากลัว

เข้าใจแล้ว

ยูริยกยิ้มขณะที่เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากปาก

“เจ้ามันอ่อนแอเหลือเกินนะ”

เตรียมอาวุธมาแต่ไม่เตรียมใจที่จะใช้มัน ช่างขี้ขลาดซะจริง

ไอ้ตัวตนแบบนี้มีแต่จะทำให้เธอได้เปรียบเชิงกลยุทธ์นะ

“ถ้าเจ้าอยากจะแทงใครสักคน เจ้าก็ควรแทงมันให้ลึกกว่านี้อีกหน่อย”

เด็กสาวจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ก่อนจะ—

“ถ้าอยากแทงใครสักคนให้ตายจริงๆ เจ้าควรทำแบบนี้ต่างหากล่ะ”

ฉึก มีดแทงเข้าไปลึกกว่าเดิม รอยยิ้มของยูริกว้างขึ้นกว่าเดิมมาก

“เอาล่ะ ทีนี้ เจ้าก็กลายเป็น—ฆาตกรแล้วนะ”

“ม ไม่ ฉัน”

อีกฝ่ายรีบปล่อยมือพลางทำสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด

เธอ เธอเผลอแทงคนไปซะแล้วงั้นเหรอ? ม ไม่นะ ฉันไม่ใช่ฆาตกร

“ลอยด์และลูเมี่ยนจะคิดยังไงกันนะ…”

ยูริไม่สามารถพูดต่อได้เพราะเธอขาดเลือดมาก บ้าจริง ดูเหมือนว่าจะถึงขีดจำกัดซะแล้วสิ

แต่คำพูดแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายสติแตกได้

“ม ไม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ธ เธอจงใจเอาตัวเองเข้ามารับมีดเองนี่!”

ตึ้ง! ตุบ ยูริที่ไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้เพราะความเจ็บปวดได้ล้มลงกับพื้น ร่างของเธอขดตัวลงพลางกระตุกแผ่วเบา

ฉันกำลังจะตายอีกรอบ แม่งเอ้ย!

แพ้พนันซะแล้ว แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้ตายสมใจล่ะนะ

อโลวีนัสเคยบอกเอาไว้ว่าจะส่งฉันไปนรกสินะถ้าฉันตายอีกรอบน่ะ?

สำหรับเรื่องนั้น…ค่อยวางแผนแหกนรกหนีออกมาก็แล้วกัน

“ม ไม่! อย่าตายนะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น”

เสียงตะโกนโหวกเหวกช่างน่าหนวกหูซะจริง ยัยนี่จำไม่ได้รึไงว่าเมื่อกี้เกือบจะโดนฉันหักคอน่ะ

เธอหอบหายใจแรงและถี่ราวกับว่าเริ่มหายใจไม่ออก เลือดน่าจะค่อยๆ คั่งที่ปอดซะแล้ว แบบนี้อีกไม่กี่นาทีเธอน่าจะได้ไปเจออโลวีนัสอีกรอบแล้ว

“เป็นอะไรไป เจ้าเกลียดข้าไม่ใช่หรือ?”

ยูริฝืนเรี่ยวแรงของตนเพื่อพูดคำพูดสุดท้ายออกมา

“ฆ่าข้าซะสิ เจ้าจะได้กลายเป็นฆาตกรคนใหม่ยังไงล่ะ”

เจ็บ เจ็บจนจะตายอยู่แล้ว รู้สึกทรมานจัง

แต่ถึงจะเจ็บขนาดนั้น ยูริก็ยังคงยิ้มเล็กๆ ใบหน้าซีดเผือดเพราะขาดเลือดของเธอยังคงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจบางอย่าง

ถ้าเป็นไปตามแผนล่ะก็—แต่ถ้าไม่ เธอก็แค่ตาย

ชีวิตมันก็มีแค่นั้นไม่ใช่หรือ?

ทัศนวิสัยของเธอค่อยๆ พร่าเลือนลง ความดำมืดค่อยๆ เข้ามาปกคลุมสายตาของเด็กสาว เธอหายใจไม่ออก รู้สึกอึดอัดราวกับว่ามีน้ำจำนวนมหาศาลไหลทะลักลงปอดเลย

สติของเธอพร่าเลือน เธอได้ยินอีกฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวาย แต่เธอก็ไม่สนใจหรอก เพราะเธอกำลังจะตายแล้วยังไงล่ะ

มุมปากของเด็กสาวที่เคยยกยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจค่อยๆ หุบลงทีละน้อย ดวงตาของเธอเริ่มค่อยๆ ไร้ชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ เรี่ยวแรงสูญหาย

เธอหลับตาลงอย่างแผ่วเบา

ไว้เจอกัน อโลวีนัส

 

“เธอทำบ้าอะไร! นั่นท่านแพนโดร่าที่เป็นถึงข้ารับใช้ของท่านเทพธิดานะโว้ยยย!!”

“ฉันไม่รู้! ใครจะไปรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายจะตายเพราะมีดธรรมดาๆ ได้ด้วย! ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!”

“พูดให้ดีๆ นะ ท่านยังไม่ตาย ถ้าพูดอะไรไม่คิดแบบนั้นอีกพวกเราจะไม่คุยกับเธออีกเลย!”

หนวกหูชะมัด ในนรกมันเสียงดังได้ขนาดนี้เลยหรือ?

“แล้วแต่นายสิ! เชื่อไปได้ยังไงว่าอีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า! ยัยเด็กนี่เกือบจะฆ่าฉันแล้ว”

“แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ จริงไหม? ถ้าท่านจะทำจริงๆ ท่านคงไม่แค่บีบคอเธอแน่ ท่านแค่ทดสอบเธอว่าเธอจะทำยังไงในสถานการณ์นั้นต่างหาก!”

เป็นเสียงของลอยด์ น่าแปลก หมอนั่นน่าจะยังไม่ตายนี่น่า? แล้วตามเข้ามาในนรกได้ยังไงกัน?

“เพ้อเจ้ออะไรของนายห๊ะ! ถ้ายัยเด็กนี่เป็นผู้เผยพระวจวจอะไรนั่นจริงๆ ก็คงไม่อาการสาหัสขนาดนี้เพียงเพราะมีดแทงหรอก!”

“ผู้เผยพระวจนะ มันเรียกว่าผู้เผยพระวจนะ! ท่านได้อธิบายให้กับพวกเราแล้วว่าพลังของท่านหายไปจนเกลี้ยงตอนที่จุติลงมาบนโลก จะโดนมีดแทงจนตายได้มันแปลกตรงไหน!”

“นายบ้ารึเปล่า เชื่อไปได้ยังไง ดูยังไงก็นักต้มตุ๋นชัดๆ”

“นักต้มตุ๋นอายุเจ็ดขวบอะนะ? มีเด็กเจ็ดขวบที่ไหนผันตัวมาเป็นนักต้มตุ๋นแบบนี้กัน? ยังไงท่านก็คือพระเจ้—หมายถึง ผู้เผยพระวจนะแน่นอน!”

“โว้ย ช่างหัวนายเถอะ! จะทำอะไรก็แล้วแต่เลย แต่อย่าพยายามชวนฉันเข้าลัทธิแปลกๆ นั่นเลย”

“แล้วแต่เธอ”

“เออ!”

“…”

เอะอะโวยวายกันซะจริงนะ

นี่สรุป? ถ้าให้เดาจากสถานการณ์ ฉันยังไม่ตายงั้นเหรอ?

ก็แอบเดาเอาไว้แล้วว่าฉันคงไม่ตาย แต่โอกาสที่จะเป็นแบบนั้นก็น้อยมากเหมือนกัน

“…ข้าหลับไปนานแค่ไหน”

เธอตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา ความอ่อนล้ายังคงหลงเหลืออยู่ แต่อาการบาดเจ็บได้หายไปแล้ว

เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้

“ท่านแพนโดร่า ท่านฟื้นแล้วเหรอครับ!”

ภายในทัศนวิสัยของเธอ ลอยด์กำลังทำสีหน้าโล่งอกปนตื้นตันใจ หมอนั่นหน้าซีดเซียวราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

“ตอบคำถามของข้ามา”

แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะต่อความยาว สาวความยืด เธอหวังว่าเธอจะสลบไปไม่นานนัก แม้ว่า ‘สิ่งนั้น’ จะทำให้เธอสามารถกลับมามีชีวิตได้ก็จริงอยู่ แต่มันอาจจะไม่ทำงานก็ได้

“ค ครับ ท่านหลับไปแค่สิบห้านาทีเองครับ ตอนแรกยัยนี่วิ่งออกมาและเอาแต่ร้องไห้และมือก็เปื้อนเลือดเต็มไปหมด พวกเราเลยรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะครับ”

แค่แทงคนถึงกับร้องไห้เลยเหรอ? ไว้อนาคตลองเสี้ยมสอนให้ฆ่าคนดูสักครั้งดีไหมนะ?

เธอชอบยัยเด็กนี่มากเลย ฉลาดเกินวัย รอบคอบ และขี้ระแวง เหมือนตัวเธอในอดีตไม่ผิดเพี้ยน

น่าจับมาสอนการฆ่าและทรมานคนมาก อยากทำจังเลย

“อืม”

เธอไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายว่ายังไง เลยตอบไปด้วยคำสั้นๆ แค่นั้น

“…”

ว่าแล้วยูริก็มองไปยังต้นตอที่ทำให้เธอต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ อีกฝ่ายนั่งห่างราวๆ ห้าเมตร สถานที่ที่พวกเธออยู่ในตอนนี้ยังคงเป็นบ้านหลังเดิม

ที่ว่าสลบไปแค่สิบห้านาทีคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ

“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”

อีกฝ่ายคือคนที่ลอยด์และลูเมี่ยนอยากจะแนะนำให้รู้จัก แต่เพราะเธอคนนี้ไม่เชื่อว่าเธอคือข้ารับใช้แห่งเทพและเอาแต่หาว่าเธอเป็นนักต้มตุ๋น มันทำให้ในตอนนั้นยูริเกิดความคิดอำมหิตขึ้นมา

นั่นทำให้เธอพยายามจะฆ่าอีกฝ่าย เธอมองว่าอนาคตเธอคนนี้จะเป็นตัวปัญหาถ้าหากปล่อยเอาไว้ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ได้รอบคอบและเตรียมมีดเอาไว้ก่อนล่ะก็

ก็จงบอกลาหัวได้เลย เธอจะฉีกกระชากมันออกมาเอง

คิดว่าเป็นเด็กเก้าขวบแล้วเธอจะไว้ชีวิตงั้นเหรอ?

แกโชคดีไป แต่ถ้ามีครั้งหน้า เธอจะฉีกอวัยวะภายในทั้งหมดของแกออกมาทั้งเป็น จากนั้นก็นำมันมากินต่อหน้าซะ

แต่เธอก็ใจร้อนไปหน่อย ทั้งๆ ที่เห็นมีดของอีกฝ่ายที่ซ่อนเอาไว้แท้ๆ แต่ก็ยังจงใจเข้าไปบีบคอของเธอ

แน่นอน ก็จงใจให้แทง แต่ตอนนั้นก็ใจร้อนจริงๆ นั่นแหละ

“ม ไม่ ไม่มี”

“แน่ใจนะ? เจ้าแทงข้าจนเกือบตายเลยนะ”

“ก ก็บอกว่าไม่ไง!”

เอาไงกับอีเด็กนี่ดีล่ะ? ตัดแขนงั้นเหรอ? หรือจะจับพ่อกับแม่มันมาทรมานต่อหน้าดีล่ะ?

ไม่สิ แบบนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย แค่ซัดให้น่วมก็พอแล้ว

คำว่าขอโทษน่ะ พูดไม่เป็นรึไง?

เห็นแบบนี้เธอก็เจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าที่คิดนะ

“เจ้าคงไม่เคยฆ่าใครสินะ”

เธอลุกขึ้นและเดินไปหาอีกฝ่าย เด็กสาวตรงหน้าถอยกรูด สีหน้าหวาดกลัว รู้สึกผิด และไม่เข้าใจ

เป็นเด็กดีกว่าที่เห็นสินะ แม้ว่าจะฉลาดและเจ้าเล่ห์ แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กไร้ประสบการณ์เท่านั้น

คนที่ไม่เคยฆ่าคน ถ้าไม่ใช่พวกมีอาการทางจิตก็ไม่มีทางปรับตัวได้ในทันทีที่แทงใครหรอก

แม้แต่ตอนที่เธอลงมือฆ่าคนครั้งแรก เธอยังร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวเลยล่ะ

ทุกคนล้วนเป็นคนดีมาก่อน แม้แต่ฆาตกรที่โหดเหี้ยมที่สุด

“ล แล้วทำไม จะเยาะเย้ยฉันที่ไม่เคยฆ่าใครงั้นเหรอ?”

“เปล่าเลย ข้าแค่อยากจะชื่นชมเจ้า”

ยูริโกหกหน้าตาย ตอนแรกเธอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวไปแล้ว ตอนนี้มันก็ได้เวลาทำให้อีกฝ่าย ‘เคารพ’ เธอบ้างแล้วล่ะ

อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์นั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนอย่างมากเลยล่ะ ในบางครั้งเราก็สามารถรักและเกลียดชังคนๆ หนึ่งได้อย่างไม่มีสาเหตุ

บางครั้งความรู้สึกจำพวกความรู้สึกหวาดกลัวก็สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกเคารพ และความรู้สึกเคารพก็สามารถกลายเป็นความศรัทธาอันแรงกล้าได้

ก่อนหน้านี้เธอปลูกฝังความกลัวและความรู้สึกผิดให้อีกฝ่ายไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาหันมาใช้ไม้อ่อนบ้างแล้วล่ะ

เหมือนสำนวนที่ว่าให้รางวัลด้วยลูกอมและลงทัณฑ์ด้วยแส้ไง

ลงทัณฑ์ด้วยแส้ไปแล้ว ต่อไปก็ได้เวลาของลูกอมแล้ว

“น่าชื่นชมที่เจ้ายังไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ไป การที่มนุษย์สังหารมนุษย์ด้วยกันเองนั้นเป็นบาป และคนบาปก็จะถูกทวยเทพรังเกียจ”

วาคาดะ ซายูริ อาชีพหลักเป็นฆาตกรต่อเนื่อง

อาชีพรองคงจะเป็นนักต้มตุ๋นล่ะมั้ง

“ตอนแรกข้าตกใจมากเลยล่ะที่เด็กตัวเล็กๆ อย่างเจ้าแทงข้าเต็มแรงขนาดนั้น ข้าคิดว่าเจ้าถูกความชั่วร้ายครอบงำซะแล้ว”

ว่าแล้วก็ยิ้ม ยิ้มราวกับว่าเธอนั้นไม่ใส่ใจเรื่องที่ตัวเองถูกแทงเลยแม้แต่น้อย แถมยังบอกว่าภูมิใจในตัวของอีกฝ่ายอีกต่างหาก

“เดี๋ยวนะ หมายความว่าถ้าตอนนั้นฉันฆ่าเธอตาย เธอจะบอกว่าฉันเป็นคนบาปที่ถูกทวยเทพรังเกียจว่างั้น!?”

อีกฝ่ายทำสีหน้าไม่พอใจ ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ช่างคิดเองเออเองจริงๆ

“ไม่หรอก บางครั้งทวยเทพก็จะดูเจตนาของเจ้าด้วย สมมุติถ้าเจ้าเผลอฆ่าคนเพราะป้องกันตัว ท่านก็จะไม่ว่าอะไรเจ้า ยังไงซะ เจ้าก็ไม่ได้อยากฆ่าข้าใช่ไหมล่ะ?”

เอาตรงๆ เธอก็แอบแปลกใจหน่อยๆ ที่ตอนนี้เธอกับอีกฝ่ายกำลังมานั่งจับเข่าคุยกันแบบนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้นี้เกือบจะฆ่ากันตายแท้ๆ

ถ้าเป็นคนปกติก็คงโกรธ ด่าทอ หรือสับสนงุนงงกับสถานการณ์ประหลาดแบบนี้แน่ๆ แต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลย

ทั้งความสับสน ความกลัว ความโกรธ แทบไม่รู้สึกเลย

มันราวกับว่าจิตใจของเธอได้แหลกสลายไปนานแล้ว แหลกสลายจนไม่อาจรู้สึกถึงอะไรได้อีก

ไม่สิ ก็แหลกสลายไปแล้วนี่น่า?

แหลกสลายไปตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดขวบในโลกเก่าแล้ว

“…”

ไม่รู้ทำไม อีกฝ่ายถึงเอาแต่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกผิดที่แทงยูริไปก่อนหน้านี้ ดูท่าเธอจะไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าตัวเองเกือบถูกยูริบีบคอตายไปก่อนหน้านี้

“…ว่าแต่ คุยกันมาได้ตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร”

จะเอาแต่เรียกอีกฝ่ายว่า ‘อีกฝ่าย’ ก็ไม่ได้นี่น่า ตอนแรกอีกฝ่ายพยายามบังคับให้เธอพิสูจน์ตัวเองด้วยการบอกชื่อของเธอออกไปด้วยซ้ำ

“…ฉันไม่มีชื่อหรอก”

คำพูดของอีกฝ่ายดูเศร้าสร้อย มุมปากของยูริยกยิ้มเล็กน้อยราวกับคาดเดาเอาไว้แล้ว

“ฉันลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยสนใจจะคุยกับฉันเลย ส่วนลอยด์ หมอนั่นไม่ค่อยสนใจเรื่องชื่อของฉัน ส่วนลูเมี่ยน หมอนั่นมันโง่…”

ลอยด์และลูเมี่ยนทำหน้าแปลกๆ ตอนที่เด็กสาวไร้ชื่อคนนี้เอ่ยถึงพวกเขา

“ฉันโง่เหรอ…”

ลูเมี่ยนบ่นพึมพำ ลอยด์แอบกลั้นหัวเราะในใจ

‘ก็จริงอย่างที่เธอพูด ไม่ใช่ว่านายโดนฉันโกงเงินออกจะบ่อยรึไง?’

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดออกไปหรอก

“ไม่มีชื่องั้นรึ…”

ยูริทำเสียงแผ่วราวกับเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความสงสาร ความสงสารจอมปลอมแต่ก็สมจริงจนมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะดูออก

“ม ไม่ใช่เรื่องเศร้าอะไรขนาดนั้น ถึงไม่มีชื่อฉันก็อยู่ได้สบายอยู่แล้วล่ะน่า! อุก!”

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่นั้น ยูริก็ลุกออกไปและสวมกอดอีกฝ่ายและลูบหลังของเธอเบาๆ

ผอม ยูริพึ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายผอมซูบขนาดไหน เวลาที่มือของเธอสัมผัสกับหลังของอีกฝ่ายเธอจะรู้สึกถึงกระดูกแข็งๆ นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงรอยแผลเป็นอีกนับไม่ถ้วน

ร่างกายย่ำแย่แบบนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนั้นถึงสู้แรงของเธอไม่ได้

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร และจะไม่ยอมเข้าใจด้วย”

เธอเปล่งเสียงแผ่วเบา

“ไม่เศร้างั้นรึ? ไม่มีชื่อก็อยู่ได้งั้นรึ? เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นแบบนั้น”

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้จักอีกฝ่ายมากนัก แต่ในฐานะของคนเห็นอะไรมามาก เธอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเจอเรื่องแบบไหนมา

จิตใจของมนุษย์มันซับซ้อน ตอนแรกเธอกะว่าจะฆ่าอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่เธอเปลี่ยนใจแล้ว

เพราะเธอเห็นโอกาสที่จะได้อีกฝ่ายมาเป็นสาวกยังไงล่ะ

“ฟังข้าให้ดีนะสาวน้อย เจ้าไม่ควรหลอกตัวเองว่าเจ้าไม่รู้สึกแย่กับอะไรแบบนี้”

ระหว่างที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอก็ลูบหลังของอีกฝ่ายแผ่วเบา ราวกับคนเป็นแม่ที่กำลังปลอบใจลูกสาว

อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กเท่านั้น

ใช่ว่าเธอจะเห็นใจหรอกนะ ไม่ใช่เลยจริงๆ

เธอแค่มองว่าอีกฝ่ายใช้งานง่ายเท่านั้นเอง

“ก่อนอื่น ข้าต้องบอกว่าข้าขอโทษที่พยายามบีบคอเจ้า แต่ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้า ข้าแค่—หงุดหงิดไปหน่อย ถึงจะเป็นเทพแต่ข้าก็โกรธเป็น”

ในการสร้างสัมพันธ์อันดีกับผู้คน ในบางครั้งคำอย่าง ‘ขอโทษ’ ก็เป็นถ้อยคำอันร้ายกาจที่สามารถชักจูงจิตใจผู้คนได้

ขอโทษแล้วใจอ่อนลง ขอโทษแล้วได้รับการให้อภัย นั่นคือพลังของมัน

แม้ว่าหลายๆ ครั้งจะมีไอ้โง่บางจำพวกที่ขอโทษเพื่อที่จะทำผิดซ้ำซากจนคำขอโทษนั้นเสื่อมความขลังลงก็เถอะ

เด็กคนนี้แค่เก้าขวบ ฉลาดเกินวัย แต่ก็ยังคงอ่อนประสบการณ์

แค่ขอโทษก็ให้อภัยแล้ว แม้ว่าเธอจะพยายามบีบคออีกฝ่ายก็ตาม

“ม ไม่เป็นไร ฉันเองก็แทงเธอไปแล้ว ถ ถือว่าหายๆ กัน เนอะ”

“ใช่แล้ว หายๆ กัน”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ดวงตาสีแดงของเธอก็ทอประกายจางๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยราวกับปีศาจร้ายที่กำลังใคร่ครวญว่าจะหลอกลวงเหยื่อของมันยังไงดี

จริงๆ แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดจากแผนการที่เธอวางเอาไว้ล่วงหน้ากับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ตอนที่เธอรู้ว่าลอยด์และลูเมี่ยนอยากจะพาเธอมาหาเด็กคนนี้และรับเข้ามาเป็นสาวกคนแรก ยูริรู้ว่าทั้งสองทำแบบนั้นไปโดยไม่ได้ถามความเห็นของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

เธอรู้ว่าเด็กสาวไร้นามคนนี้จะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน เธอเลยออกอุบายเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยตัวเองและบอกให้ทั้งลอยด์และลูเมี่ยน
รออยู่ข้างนอกบ้าน

จากนั้นเหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่เกิดขึ้น เธอเข้าไปบีบคออีกฝ่ายและโดนแทงจนเกือบตาย

เหตุผลที่เธอเข้าไปบีบคออีกฝ่ายมีสองข้อ ข้อแรก เธอรำคาญที่อีกฝ่ายเอาแต่บอกให้เธอพิสูจน์ตัวเอง เลยจะฆ่าทิ้งซะ

ข้อสอง เธอคาดหวังว่าจะเกิดสถานการณ์ที่เธอและอีกฝ่ายจะได้มานั่งปรับความเข้าใจกันอย่างงี้

ถ้าอีกฝ่ายตายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารอดก็กำไร

การที่เธอได้มานั่งปรับความเข้าใจกับอีกฝ่ายแบบนี้เป็นวิธีพัฒนาความสัมพันธ์ที่รวดเร็วที่สุดแล้ว

ในเมื่อตอนแรกอีกฝ่ายมองเธอในแง่ลบ ก็แค่ต้องทำให้อีกฝ่ายปล่อยวางอคติของตัวเองก่อน จากนั้นก็ค่อยปรับความเข้าใจกันใหม่

และการที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดที่แทงเธอนั้นก็คือการ ‘ปล่อยวางอคติ’ ที่ว่า

เรียกได้ว่าเธอคิดคำนวณทุกอย่างมาอย่างดิบดีแล้ว แต่ก็อาจจะมีทำตามอารมณ์ไปบ้าง เธอจำได้ว่าแต่ก่อนเธอสุขุมกว่านี้มาก

คงเพราะมาอยู่ในร่างเด็กล่ะมั้ง

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเธอไม่ตายตอนที่โดนมีดแทง จำตอนที่ฮันน่าดูดเลือดให้เธอได้รึเปล่า?

เธออ่านเจอมาว่าการดูดเลือดของแวมไพร์ นอกจากจะป้องกันโรคร้ายแล้ว มันยังมีโอกาสราวๆ ห้าเปอร์เซ็นต์ที่จะช่วยฟื้นฟูบาดแผลฉกรรจ์ได้อีกด้วย

โอกาสมันมีแค่นั้น แต่เธอก็ยังกล้าเสี่ยง เพราะอะไรน่ะเหรอ?

ถ้าพลาดก็แค่ตาย มันก็แค่นั้น

“ยังไงก็ตาม แม้ว่าเรื่องทั้งหมดมันออกจะ—โกลาหลไปสักหน่อย แต่ข้าอยากจะบอกว่าข้าจะไม่บังคับให้เจ้ามาศรัทธาข้าในตอนนี้”

หลังจากโจมตีทางจิตวิทยาอย่างรุนแรง ตอนนี้ก็ได้เวลาถอยและรอคอยแล้ว

ยูริยิ้มอ่อนโยน สีหน้าแตกต่างจากยูริที่ทำหน้าเย็นชาในตอนนั้นตั้งเยอะ แน่นอนว่าถ้าคนอื่นๆ รอบตัวเธอตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ คนพวกนั้นคงรับรู้ถึงความผิดปกตินี้แล้ว

แต่คนรอบๆ ตัวเธอเป็นเด็ก ปั้นสีหน้านิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถหลอกพวกเขาได้แล้ว

“ฉ ฉันยังไม่เชื่อว่าเธอเป็นข้ารับใช้แห่งเทพหรอก!”

“จะโวยวายทำไม? บอกแล้วไงว่าไม่บังคับ”

“…”

หลังจากนั้นบรรยากาศก็เงียบสงบลงอีกรอบ ยูริแอบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเบือนหน้าหนีอยู่ ไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“…อัลเล่”

“?”

“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีชื่องั้นสิ?”

ยูริหัวเราะในลำคอ มันดูขี้เล่นและไร้เดียงสา

“นี่ไงล่ะ เจ้ามีแล้ว”

สีหน้าของอัลเล่ดูสับสน แน่นอนว่าไม่แปลก เธอกำลังแปลกใจที่อยู่ๆ ตัวเองก็ได้รับชื่อที่ไม่เคยได้รับมานาน

ในภาษาฝรั่งเศส อัลเล่แปลได้ว่า ‘ปีก’

ยูริสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพ แม้ว่าจะอายุเพียงเก้าขวบแต่เธอก็ฉลาดพอที่จะสร้างแผนการขึ้นมาเพื่อหลอกพวกผู้ใหญ่ได้แล้ว แม้ว่ายูริจะสามารถมองแผนการพวกนั้นออกได้ในทันที แต่ใช่ว่าคนทั่วไปจะทำได้

เด็กคนนี้มีศักยภาพที่จะพัฒนาอีกในอนาคต ดังนั้นเธอจำเป็นต้องซื้อใจเธอเอาไว้ก่อน แม้ว่าตอนแรกเธอเกือบจะฆ่าอีกฝ่ายและถูกอีกฝ่ายฆ่าก็เถอะ

แต่ใครสนกันล่ะ? แค่โดนแทงมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น

โลกเก่าโดนกระสุนปืนจนตาย เคยโดนทำร้ายร่างกายตอนเด็ก น้ำร้อน มีด หมัดของพ่อแท้ๆ รวมไปถึงการโดนเอาบุหรี่ที่พึ่งจุดจี้ตา

โดนแทงแค่นี้ถือว่าปกติมาก

“ธ เธอตั้งชื่อให้ฉัน? …ทำไม?”

“เพราะ…”

ยูริทำสีหน้านึกอยู่สักพัก

เพราะอยากจะซื้อใจเธอและอยากได้เธอมาเป็นมือขวา อัลเล่แปลว่าปีก และมันเป็นชื่อที่เหมาะกับว่าที่มือขวาอย่างเธอที่สุดแล้ว ฉันอยากได้เธอมาใช้งาน ใช้งานจนพังไปเลย

คงบอกแบบนั้นไม่ได้สินะ

คิดแผนออกแล้ว แผนที่จะทำให้อัลเล่ประทับใจมากยิ่งขึ้น

“ข้า—ฮะแฮ่ม ข้าแค่มองว่ามันจะทำให้เราสื่อสารกันง่ายขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะข้าอยากให้เจ้ามีความสุขหรอกนะ”

เธอสังเกตว่าแก้มของอัลเล่แดงขึ้นเล็กน้อย ใช่แล้ว อัลเล่เป็นเด็กฉลาด เพราะฉลาดก็เลยสามารถเข้าใจได้ว่าในหลายๆ ครั้งมนุษย์ก็ปากไม่ตรงกับใจเสมอไป

เธอแสร้งทำเป็นพวก ‘ซึนเดเระ’ หรือก็คือพวกปากไม่ตรงกับใจนั่นเอง เธอทำทีว่าพยายามปกปิดเหตุผลที่แท้จริงในการตั้งชื่อของอีกฝ่ายเอาไว้ และบอกเหตุผลง่ายๆ และไร้ความน่าเชื่อถือไปแทน

อีกฝ่ายจะคิดว่าเหตุผลที่แท้จริงของเธอคือ เธออยากทำให้อีกฝ่ายมีความสุข ส่วนการสื่อสารกันง่ายขึ้นอะไรนั่นก็เป็นแค่ข้ออ้างโง่ๆ

แต่จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลจริงๆ คือการหลอกใช้ต่างหาก

เธอเป็นซึนเดเระเก๊ ส่วนอัลเล่ ดูจากที่ไม่ค่อยพูดและเก็บท่าทีเป็นห่วงเธอหลังจากโดนแทงเอาไว้ เรียกได้ว่าอัลเล่ต่างหากล่ะที่เป็นซึนเดเระที่แท้จริง

“ขอบคุณ…”

“เจ้าว่าอะไรนะ?”

“ป เปล่า ไม่มีอะไร”

ยูริไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอดีตแบบไหน แต่เธอค่อนข้างสนใจมันเลยล่ะ

ตั้งแต่ได้เจอกันเธอก็ประทับใจในความฉลาดของเด็กคนนี้มาก มันเป็นประโยชน์ต่อตัวของเธอสุดๆ

บางทีถ้าเธอทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ มันอาจจะทำให้อัลเล่เปิดใจกับเธอมากขึ้นก็ได้

ไม่ได้เป็นเพราะสงสัยว่ารอยแผลเป็นพวกนั้นมาได้ยังไงหรอกนะ

“เจ้าช่วยเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

เธอพูดด้วยท่าทีสบายๆ พลางคิดคำนวณว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทียังไง ถ้าไม่ยอมเล่าก็คงต้องหาวิธีการอื่น

แต่น่าแปลก อีกฝ่ายกลับทำเพียงแค่นิ่งไปสักพัก หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเอ่ยปากเล่าด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“ฉันเติบโตมาด้วยตัวเองน่ะ”

มองเผินๆ มันอาจจะเหมือนคำพูดแปลกๆ ของเด็กคนหนึ่ง

แต่ยูริรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร

“เจ้าคงจะลำบากมากเลยสินะ”

ความหมายของคำว่าเติบโตด้วยตัวเองของอีกฝ่ายนั้นแปลได้ประมาณว่า อัลเล่เติบโตมาโดยไม่มีใครคอยเลี้ยงดูนั่นเอง ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อและแม่ทอดทิ้งไปตั้งแต่เกิด

ถ้าหากว่าพ่อและแม่ของอัลเล่เลี้ยงดูอัลเล่มาตั้งแต่เกิดแต่ดันด่วนจากไปในภายหลังจนกลายเป็นเด็กกำพร้า อัลเล่ก็คงจะใช้คำประมาณว่า ‘พ่อและแม่ของฉันด่วนจากไปหน่อย’

อัลเล่คงเลือกที่จะใช้คำพูดอ้อมๆ แบบนั้นเพราะสติปัญญาของเธอ และยูริก็เข้าใจอีกฝ่าย

คนฉลาดย่อมเข้าใจคนฉลาด นั่นคือสัจธรรม

“ม ไม่ลำบากขนาดนั้น อย่างน้อยฉันก็ถูกคุณยายเลี้ยงมานะ—เป็นคุณยายไม่แท้น่ะ ไม่ใช่ญาติกันหรอก”

“แต่คุณยายของฉัน…อย่างที่เห็น ตอนนี้ฉันเลยอยู่คนเดียวน่ะ”

แม้ว่าสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายจะดูสบายๆ แต่ยูริก็สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าเล็กๆ

อัลเล่น่าจะโตมาอย่างยากลำบาก ยายเพียงคนเดียวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กก็ตายไปแล้ว

ตอนนี้เธอจำเป็นต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง ลำพังและโดดเดี่ยวในโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้

ค่อนข้างคล้ายกับเธอ แต่มันต่างกันตรงที่ยูริฆ่าพ่อและแม่ของตัวเอง แตกต่างจากอัลเล่ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้แก้แค้นพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ

“ไม่แปลกใจเลย…”

“อะไรงั้นเหรอ?”

“ไม่มีอะไร”

ยูริเอียงคออย่างครุ่นคิด เธอพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอัลเล่ถึงได้ฉลาดเฉลียวขนาดนี้ นั่นก็เพราะอีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้ชีวิตและเอาตัวรอดด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีใครคอยมอบความรักความอบอุ่นให้

ว่ากันว่าหากมนุษย์คนหนึ่งอยากจะมีเล่ห์เหลี่ยมและความสามารถในการใช้กลอุบายเพื่อหลอกผู้อื่น คนๆ นั้นก็จะต้องผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบากซะก่อน

การเติบโตในโลกที่ปราศจากการหลอกลวงย่อมทำให้คนๆ หนึ่งปราศจากเล่ห์เหลี่ยมและปราศจากความสามารถในการตลบตะแลง แตกต่างจากคนที่เติบโตมาในสังคมที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง คนพวกนั้นจะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและทักษะบางอย่างที่คนจำพวกแรกไม่มี

คนพวกนั้น เพื่อเอาตัวรอดในสังคมอันเลวร้าย พวกเขาย่อมพัฒนาทักษะบางอย่างขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอด เหมือนสัตว์ที่วิวัฒนาการเพื่อการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย

ทั้งอัลเล่ทั้งเธอเองก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่วิวัฒนาการแล้ว วิวัฒนาการสติปัญญาของตัวเองจนเหนือคนอื่นๆ เพื่อเอาตัวรอด

ว่ากันว่าคนที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่คนฉลาด หากแต่เป็นคนโง่

เพราะคนพวกนั้นไม่จำเป็นต้องวิวัฒนาการ เพราะชีวิตอยู่ดีมีสุขอยู่แล้ว

แต่ในโลกที่เป็นดั่งนรก มนุษย์ส่วนใหญ่ต่างก็ ‘วิวัฒนาการ’ กันทั้งนั้น แต่แค่วิวัฒนาการมากน้อยต่างกันเท่านั้นเอง

จะมีคนฉลาดที่ชีวิตมีความสุขไหมน่ะเหรอ?

ไม่รู้สิ ของแบบนั้นมีแต่ในตำนานและเรื่องเล่าขานล่ะมั้ง?

ยังไงก็ตาม ตอนนี้เธอเข้าใจในตัวของอัลเล่มากขึ้นแล้ว ถ้าให้สรุปสั้นๆ

อีกฝ่ายฉลาดเพราะชีวิตมันบัดซบ

“อัลเล่ ข้ามีบางสิ่งอยากแสดงให้เจ้าได้เห็น”

ยูริพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เธอวางแผนเอาไว้แล้วว่าอยากจะทำอะไรต่อจากนี้

“แสดงอะไรงั้นเหรอ?”

อัลเล่ทำท่าทีสนอกสนใจ นั่นเข้าทางเลย แม้ตอนนี้จะยังชักจูงอีกฝ่ายไม่ได้ แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้เธอได้

“เข้ามาใกล้ๆ สิ”

อัลเล่บ่นอิดออดเล็กน้อยว่าทำไมต้องทำ แต่สุดท้ายเธอก็ยินยอมแต่โดยดี

“จะทำอะไรงั้นเหรอ?”

ยูริยื่นมือไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะ—

“ว้าว!”

น้ำเสียงของอัลเล่ดูตื่นเต้นในขณะที่ประกายแสงในดวงตาสว่างขึ้นเป็นครั้งแรก เธอเฝ้ามองสิ่งที่อยู่ในมือของยูริอย่างไม่วางตา

“รับดอกกุหลาบนี่ไปสิ ข้าหวังว่ามันจะทำให้เจ้าพอใจนะ”

ยูริทำน้ำเสียงอ่อนโยน ใช่แล้ว มันคือดอกกุหลาบที่เธอเตรียมมาจากโรงแรมยังไงล่ะ เธอเตรียมเอาไว้เพื่อสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ

เห็นแบบนี้เธอก็เคยฝึกเล่นมายากลมาก่อน การสร้างความประทับใจให้กับใครสักคน มายากลคือหนึ่งในคำตอบ มันจะสร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็นได้เสมอๆ ยิ่งเฉพาะคนที่ไม่เคยเห็นมันด้วยแล้วยิ่งประทับใจได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ โลกนี้เป็นโลกเวทมนตร์ ทำให้ศาสตร์การแสดงมายากลมักจะถูกมองว่าเป็นการเล่นตลกปาหี่ไป

ผู้คนมองว่ามายากลคือสิ่งไร้สาระเพราะมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ของแท้อยู่แล้ว แต่พวกนั้นกลับไม่ตระหนักเลยว่ามายากลน่ะน่าทึ่งกว่าเวทมนตร์ซะอีก

ทำไมถึงเสกกระต่ายออกมาจากหมวกได้ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้วงเวทสักวง ทำไมถึงโดนมีดเสียบท้องแล้วไม่ตายทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเวทมนตร์อมตะด้วยซ้ำ

นั่นแหละความน่าทึ่งของมายากล และการรับชมมายากลให้สนุกที่สุดคือการไม่รู้เบื้องหลังของกลนั้นๆ เลย

“ข้าหวังว่าเจ้าจะชอบมันนะอัลเล่ ข้าตั้งใจมอบมันให้เจ้า”

 

ผู้เขียน:อะไรคือการที่ตอนแรกไปบีบคอเขาแต่วินาทีต่อมาแม่งมาจีบเขาเฉยเลยฟระ

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

Score 10
Status: Completed
"ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!" เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกตำรวจวิสามัญตายตรงหน้าผา ขณะที่กำลังจะตายนั้นเธอก็ปลงกับตัวเองไปแล้วและอ้าแขนยอมรับจุดจบของตัวเองอย่างเต็มใจ แต่ช้าก่อน! เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ เทพเจ้า! เทพธิดาอโลวีนัสได้ยื่นข้อเสนอให้กับเธอว่าจะมอบชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปรากฎการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ และจะมอบพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือที่คนชอบเรียกกันว่าสกิลโกงเอาไว้ให้ "ไม่เอา" ฆาตกรสาวปฏิเสธเสียงแข็ง "ฉันไม่อยากไปเกิดใหม่" "ยังไงเจ้าก็ต้องไปเกิดใหม่" น่าเสียดายที่ท่านเทพของเราเอาแต่ใจไปนิดและไม่ยอมทำตามคำขอของหญิงสาว "ก็ได้ แต่ส่งฉันไปเกิดใหม่ในสภาพไร้พลังซะ" เธอรู้ว่ายังไงก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเทพได้ เลยจะไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิเสธสกิลโกงที่อีกฝ่ายจะมอบให้ทั้งหมด "ทำไม?" ท่านเทพถามด้วยความประหลาดใจ "เพราะฉันจะกลับมาและเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้สกิลโกงอะไรนั่น" "ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ก็ทำ" "พนันกันไหมล่ะ?" ด้วยเหตุนั้นเอง เรื่องราวของฆาตรกรต่อเนื่องสาวที่ไปเกิดใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการโค่นทวยเทพทั้งๆที่ตนไร้พลังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

Options

not work with dark mode
Reset