ร่างกายของเซี่ยฟางหวาอยู่ในอาการอ่อนแอแพ้ความหนาว หลังมีระดูก็ยิ่งปวดเมื่อยตามตัว ทรมานยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มาก
ฉินเจิงเห็นใบหน้านางซีดขาวตลอดวัน แถมเนื้อตัวยังเย็นเยียบก็ยิ่งปวดใจ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงได้แต่นำผ้าห่มห่อตัวนางแล้วกอดเอาไว้ พยายามเพิ่มความอบอุ่นให้นาง ทว่าก็มิได้ผลนัก จึงขมวดคิ้วถาม “มียาใดช่วยคลายปวดได้บ้าง”
“ถ้าเป็นยาล้วนมีพิษสามส่วน” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“นั่นก็ไม่ต้องทนทุกข์แบบนี้” ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว “ถ้ามิอย่างนั้นข้าไปหาบ่อน้ำพุร้อน ให้เจ้าลงไปแช่ตัว”
“เวลามีระดูยิ่งไม่ควรแช่น้ำ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“แล้วทำเช่นไรดี เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเจ้าทรมานแบบนี้” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา
เซี่ยฟางหวาอิงแอบในอ้อมอกเขา พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้ากอดข้าไว้ก็ไม่ทรมานขนาดนั้นแล้ว เมื่อก่อนข้าดื่มยาเป็นประจำ ต่อมาเหยียนเฉินขับยาที่ยังคั่งค้างอยู่ในร่างกายออกไปเจ็ดแปดส่วน ผนวกกับตอนนี้ร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อน อาการจึงรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก ข้าทนไหว”
“หากข้าเจ็บแทนเจ้าได้ก็ดี” ฉินเจิงปวดใจ
“สิ่งนี้แทนกันได้ที่ไหนเล่า” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
“ใช่แล้ว แทนกันมิได้” ฉินเจิงกระชับอ้อมกอด ทว่ามือของนางยังเย็นเยียบเช่นเดิม ท่ามกลางฤดูร้อนกลับตัวเย็นแบบนี้ ราวกับเป็นความเย็นที่แผ่ออกมาจากภายใน เขาที่อุณหภูมิร่างกายร้อนระอุเมื่อสัมผัสนางยังรู้สึกเย็นมือ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางเองจะอดทนได้อย่างไรเล่า เขาครุ่นคิดแล้วตะโกนบอกด้านนอก “ชิงเหยียน”
“คุณชาย” ชิงเหยียนขานรับแล้วปรากฏตัว
“ไปตัดฟืนมาเพิ่ม ก่อไฟใต้เตียงเตาอิฐในห้องให้หมด” ฉินเจิงสั่ง
ชิงเหยียนขานรับแล้วรีบออกไป
“ชิงเหยียนต้องมาติดตามเจ้านายแบบเจ้านั้นยากลำบากแท้ ก่อไฟ ทำอาหาร ตัดฟืน สารพัดงานจุกจิกล้วนต้องทำเป็นหมด อีกหน่อยคงทำได้หมดทุกอย่างแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว
“ฝึกฝนเขาให้ทำได้ทุกอย่าง วันข้างหน้าใครได้ออกเรือนกับเขาแสดงว่ามีวาสนา” ฉินเจิงบอก
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า “เช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับมิให้แหล่งน้ำไหลไปยังที่นาคนอื่น”
ฉินเจิงไม่ยี่หระ แนบใบหน้าเข้ากับดวงหน้าเย็นเยียบของนาง “เจ้าเป็นคนตัดสิน”
ไม่นานเตียงเตาอิฐก็อบอุ่นขึ้นมา ไอความร้อนแผ่เข้มข้นตั้งแต่ก้นเตียงแทรกซึมมาถึงฟูกนอน
“อุ่นขึ้นหรือไม่ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า” ฉินเจิงก้มหน้าถาม
“ดีขึ้นเยอะ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงเบาใจลง
เมื่อร่างกายอุ่นขึ้นมา ใบหน้าเซี่ยฟางหวาก็มิได้ขาวซีดขนาดนั้นแล้ว ฝ่ามือและปลายเท้าก็มิได้เย็นเยียบมากแล้วเช่นกัน และคล้ายสะลึมสะลืออยากนอนหลับ
ฉินเจิงรู้สึกได้จึงกอดนางนอนลง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “อยากนอนก็นอนเถอะ”
เซี่ยฟางหวาขยับกาย พูดเสียงเบา “เจ้าไม่ร้อนหรือ ไปอยู่ตรงอื่นดีกว่า”
“กอดก้อนน้ำแข็งแบบเจ้า อยากร้อนก็ไม่รู้สึกร้อน” ฉินเจิงจุมพิตบนหน้าผากนาง
เซี่ยฟางหวาขยับหาตำแหน่งที่สบายตัวในอ้อมอกเขา ยืดตัวเข้าหาแล้วจุมพิตลงบนมุมปาก จากนั้นก็ฝังศีรษะลงบนแผ่นอก ก่อนกล่าวเสียงเบา “เช่นนั้นข้านอนก่อน เจ้ากอดข้าไว้แบบนี้นะ”
ฉินเจิงตอบ “อืม” รับ
เซี่ยฟางหวาจึงผล็อยหลับไปจริงๆ
ฉินเจิงก้มหน้ามองนาง สตรีในอ้อมกอดผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ ใต้ดวงตามีร่องรอยคล้ำ บ่งบอกว่าสองวันมานี้ทรมานมากเพียงใดจนนางนอนหลับไม่สนิท ภายนอกนางดูอ่อนแอเช่นนี้ ทว่าภายในกลับเป็นสตรีที่เข้มแข็ง ต่อให้มีความยากลำบากอันใหญ่หลวงวางอยู่ตรงหน้า นางก็ไม่แม้แต่จะย่นหัวคิ้ว สตรีนับล้านบนโลกล้วนมิสู้นางคนเดียว
เซี่ยฟางหวา ภรรยาของเขา นางบอกว่าการออกเรือนกับตนเป็นวาสนาที่นางสะสมมาหลายชาติ แต่ใจเขากลับคิดว่า การได้สมรสกับนางต่างหาก ถึงเป็นวาสนาที่ตนสะสมมาหลายชาติ
ห้าวันให้หลัง เซี่ยฟางหวาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ากลับมามีเลือดฝาด ความสดชื่นกลับคืนมาหลายส่วนแล้วด้วยเช่นกัน
ฉินเจิงมองนาง ครั้งนี้ถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอกอย่างแท้จริง
เซี่ยฟางหวารู้สึกว่าหลายวันนี้ฉินเจิงผอมลงไปเยอะมาก เดิมสันกรามที่เคยได้รูปยามนี้แลดูชัดเจนยิ่งขึ้น นางปวดใจขึ้นมา และทั้งขำขันไม่เบา “หลายวันนี้ทรมานกายข้าแท้ๆ ทว่าสุดท้ายกลับทรมานเจ้าแทน”
“กินสองมื้อก็บำรุงกลับมาได้แล้ว” ฉินเจิงมองนางโดยแฝงความนัย
เซี่ยฟางหวาหน้าแดงแจ๋ ยื่นมือไปทุบเขาครั้งหนึ่ง มองไปนอกบ้านแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความอาวรณ์ “เราควรกลับเมืองกันได้แล้ว”
“ยังอยู่ต่อไปอีกหลายวัน” ฉินเจิงเองก็อาวรณ์เช่นกัน
“ฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษกมาได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว พวกเรามาอยู่ที่นี่นานแล้วเช่นกัน เป่ยฉีควรมีการเคลื่อนไหวตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่รู้ว่าด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“จะเป็นอย่างไรได้ ไม่เปลี่ยนไปในเวลาอันสั้นหรอก” ฉินเจิงไม่ยี่หระ
“อย่างไรก็กลับกันเถอะ ถึงอยู่ต่ออีกสองสามวัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับอยู่ดี วันข้างหน้าหากใต้หล้าสงบสุขแล้ว เราสองคนปลอดภัยดี ค่อยกลับมาใหม่” เซี่ยฟางหวาหันไปกอดฉินเจิง เอ่ยถามเสียงแผ่ว “เราจะยังกลับมาได้ใช่ไหม”
“แน่นอน” ฉินเจิงพยักหน้า
เซี่ยฟางหวากอดเขาแน่นขึ้น “นำเห็ดกับผักป่าพวกนั้นกลับไปด้วยเถอะ ท่านแม่น่าจะชอบกินเหมือนกัน”
ฉินเจิงหลุดยิ้ม “ได้ นำกลับไปให้หมด”
วันเดียวกันนั้น ทั้งคู่ตกลงกันได้จึงเดินทางออกจากเรือนในหุบเขาลึกเพื่อกลับเมืองหลวง
ฉินเจิงขี่ม้าพาเซี่ยฟางหวากลับเหมือนตอนขามา หลังลงจากเขาก็เข้าสู่ถนนทางการ
บนถนนมีผู้คนสัญจรผ่าน ต่างวิจารณ์ถึงรัชทายาทเป่ยฉีบริหารปกครองบ้านเมืองแทนฮ่องเต้เป่ยฉี เป่ยฉีประกาศสงครามกับหนานฉินอย่างเป็นทางการ
ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“เป่ยฉีแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว ใช่ฉีเหยียนชิงหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามเสียงเบา
“มิใช่เขาจะใครอีก” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ “กลับถึงเมืองแล้วก็กำจัดสายสอดแนมที่เขาวางกำลังไว้ในเมืองหลวงหนานฉินออกก่อน เพื่อเป็นของขวัญที่เขาได้รับแต่งตั้ง”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าอยากหยุดข่าวที่ส่งกลับไปเป่ยฉี ย่อมต้องกำจัดสายสอดแนมที่
เป่ยฉีวางกำลังไว้ในหนานฉินก่อน แต่ก็ต้องถอนกำลังสายสอดแนมที่เป่ยฉีออกมาก่อนเช่นกัน หรือไม่ก็ตัดขาดล่วงหน้า กระทำอย่างลับๆ มิฉะนั้นหากสายสอดแนมเป่ยฉีถูกกำจัด ฉีเหยียนชิงต้องลงมือกับสายสอดแนมที่หนานฉินวางกำลังไว้ในเป่ยฉีแน่”
“แน่นอน” ฉินเจิงผงกศีรษะ
ทั้งคู่ขี่ม้าจนมาถึงประตูเมืองทิศเหนือ
ทหารเฝ้าประตูเมืองทิศเหนือเห็นว่าเป็นฉินเจิงก็เบิกตากว้างทันที รีบเปิดทางด้วยความเคารพ
มีคนลอบไปรายงานที่วังหลวงทันที
ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเพิ่งเข้ามาในเมือง ประชาชนในเมืองเห็นแล้วก็มีคนตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ “ท่านอ๋องน้อยเจิงกับพระชายาน้อยกลับมาแล้ว”
หนึ่งบอกต่อสิบ สิบบอกต่อร้อย ข่าวทั้งคู่กลับมาแพร่ไปทั่วเมืองหลวงหนานฉินเวลาไม่นาน
ทั้งคู่ยังกลับมาไม่ถึงจวนอิงชินอ๋อง จวนอิงชินอ๋องก็ทราบข่าวแล้ว พระชายาออกมายืนหน้าหน้าประตูจวนด้วยความดีใจ
จวนอิงชินอ๋องตกอยู่ในความฮึกเหิม ทุกคนต่างแสดงอาการดีใจ บรรยากาศอึมครึมภายในจวนตลอดหลายวันกลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาในชั่วพริบตา
ฉินเจิงดึงบังเ**ยนม้า มองกลุ่มคนที่มายืนออกันอยู่หน้าจวนโดยมีพระชายาอิงชินอ๋องนำหน้า แม้แต่ชายารองหลิวก็ยังออกมารอรับด้วย เขาเลิกคิ้วแล้วหลุดยิ้มออกมา เอ่ยถามพระชายาอิงชินอ๋อง “ท่านแม่ ทำอะไรกัน”
พระชายาอิงชินอ๋องไม่สนใจเขา กวักมือเรียกเซี่ยฟางหวา “หวาเอ๋อร์ รีบลงมาเร็วเข้า”
เซี่ยฟางหวามองพระชายาอิงชินอ๋อง นึกถึงตอนที่นางไล่ตามออกไปนอกเมืองด้วยความลำบากเมื่อก่อนหน้านี้ ตนกลับสร้างค่ายกลสกัดนาง หลังกลับเมืองมาก็อยู่ในวังหลวงเลี่ยงไม่พบหน้า นางค่อนข้างละอายใจอยู่บ้าง จึงส่งเสียงเรียก “ท่านแม่”
พระชายาอิงชินอ๋องแทบน้ำตาไหล ก้าวขึ้นมากล่าวกับฉินเจิง “ยังไม่รีบลงมาอีก”
ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาลงจากม้าแผ่วเบา
พระชายาอิงชินอ๋องคว้ามือเซี่ยฟางหวามากุมไว้ มองนางแล้วตำหนิด้วยความรักใคร่ “เจ้าเด็กคนนี้ ลำบากใจตรงไหนก็ควรพูดออกมา ไม่ควรแบกรับไว้คนเดียว”
“ข้าผิดเอง” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงต่ำ “ทำให้ท่านแม่กังวลแล้ว”
“กังวลเป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้เจ้าคืนดีกับเจ้าเด็กบ้าแล้วแม่ก็สบายใจ รีบเข้าข้างในกันเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องจูงมือนางเดินเข้าไปข้างใน “พ่อเจ้าไปว่าราชการยามเช้าแล้ว ข้าให้คนทำความสะอาดเรือนลั่วเหมยทุกวัน รอพวกเจ้ากลับมา”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า มองฉินเจิงแวบหนึ่ง
ฉินเจิงยกยิ้มให้นาง
คนกลุ่มหนึ่งพากันตามเข้าไปในจวนด้วยความดีใจ
เมื่อเข้ามาในเรือนหลัก พวกชายารองหลิวทักทายสองสามประโยคก็แยกย้ายกันกลับเรือน เหลือเพียงพระชายาอิงชินอ๋อง ฉินเจิง กับเซี่ยฟางหวาเท่านั้น ทั้งเรือนตกอยู่ในความเงียบ
พอคนอื่นออกไปแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องก็เอ่ยถามอย่างทนไม่ไหว “หวาเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าบอกแม่ได้แล้วกระมัง เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเจ้ากันแน่”
เซี่ยฟางหวาตรึกตรองว่าจะเล่าอย่างไรดี
ฉินเจิงกลับไม่ต้องพิจารณานาน เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังคราวๆ รอบหนึ่ง เขาเล่าได้อย่างกะทัดรัดจนแทบครอบคลุมในประโยคเดียว