เมื่อฟ้าสว่างเต็มที่ หมอกทึบรอบกายเซี่ยฟางหวาก็ค่อยๆ จางลง ดวงตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นเชื่องช้า
พวกซื่อฮว่าเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลา เมื่อเห็นว่านางเก็บพลังก็รีบเข้ามาหาแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนู เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
สีหน้าเซี่ยฟางหวายังมิได้ดีมาก แต่เทียบกับหลังจากสังหารฉางเฟิงเมื่อวานย่อมดีขึ้นกว่ามากนัก แม้ยังไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ไม่ถึงกับเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงเวลาพูดแล้ว นางพยักหน้ารับ “ดีขึ้นมากแล้ว ฟื้นฟูได้สามสี่ส่วน”
“ไฉนถึงฟื้นฟูมาได้สามสี่ส่วนเล่า” ผิ่นจู๋ชะงัก “ท่านบอกว่าเจ็ดแปดส่วนมิใช่หรือ”
“ข้าประเมินตัวเองสูงไปว่าควบคุมพลังจากเคล็ดวิชาลับได้ และประเมินความเสียหายของร่างกายต่ำไป” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา “แต่เรื่องเดินทางน่าจะไม่เป็นปัญหาแล้ว”
“เดินทางได้จริงหรือเจ้าคะ” ผิ่นจู๋กล่าวเสียงเบา “สิ่งใดมิสำคัญเท่าร่างกายท่าน หากเดินทางไม่ไหวก็พักผ่อนอีกสักวันเถิด”
“ข้าพักผ่อนได้ แต่เมืองหลินอันทำไม่ได้” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นเชื่องช้า
“คุณหนู ยามจื่อเมื่อคืนคุณชายหลี่แกะรอยตามมาจนถึงที่นี่ ตอนนี้อยู่นอกค่ายกล” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงทุ้ม “เขามิได้ฟังท่านว่าให้เดินทางกลับเมือง”
เซี่ยฟางหวาเม้มปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ก็อยู่ในกการคาดการณ์ หลี่มู่ชิงไม่ใช่คนที่จะยอมกลับง่ายๆ เพียงเพราะข้าพูดประโยคเดียว” พูดจบนางก็ยกมือสั่ง “คลายค่ายกลแล้วออกไปกันเถอะ”
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้าพร้อมกัน
เซี่ยฟางหวาค่อยๆ เดินออกมาจากค่ายกล
หลังนางออกมาจากค่ายกลก็เห็นหลี่มู่ชิงกำลังพิงต้นไม้แห้งอยู่ไม่ไกล ลมภูเขายามรุ่งสางหอบเอาความหนาวเย็นมาด้วย หมอกลงค่อนข้างหนา เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีดำเข้ม แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกเนื่องจากถูกหมอกลางคืนและลมภูเขาเกาะกุม เพราะเดินทางตามมา แม้หยุดพักครึ่งคืน แต่สีหน้ายังคลับคล้ายคลับคลาว่าเหนื่อยล้าและย่ำแย่เล็กน้อย
คุณชายแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา มีฐานะสูงส่ง เดิมไม่ควรต้องมาเผชิญความลำบากในป่าเขาเช่นนี้
นางหยุดเท้ามองเขา
เดิมทีหลี่มู่ชิงกำลังมองไปยังจุดอื่น เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หันมามอง เห็นว่าเป็นเซี่ยฟางหวาเดินออกมาจากค่ายกลแล้วหยุดมองเขาจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหา “เป็นเช่นไรบ้าง ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้แล้วหรือ”
“แค่ไม่กี่ส่วนเท่านั้น” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ได้ยินความร้ายกาจของปรมาจารย์เขาไร้นามตลอดมา เจ้าสังหารเขาได้ ทั้งยังปกป้องตัวเองกลับมาได้อีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หลี่มู่ชิงตำหนิตัวเอง “หากข้าตามมาเร็วกว่านี้ก็คงดี เพียงแต่ถูกค่ายกลที่เจ้าตั้งไว้ที่ภูเขาเก้าวงแหวนขัดขวาง ไม่มีทางเร่งเดินทางได้”
“ค่ายกลนั้นเดิมตั้งเพื่อขัดขวางพระชายา นึกไม่ถึงเลยว่าจะขัดขวางเจ้าด้วย” เซี่ยฟางหวายิ้ม “ลำบากตามมาทำไมกัน ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ยังพูดว่าไม่เป็นอะไรอีก ดูสีหน้าเจ้าสิ เห็นชัดว่าย่ำแย่มาก ต้องถ่ายพลังตลอดคืนกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้สามส่วน” หลี่มู่ชิงย่นหัวคิ้ว “อย่างนี้ดีหรือไม่ แค่ถ่ายพลังฟื้นฟูลมปราณคงไม่พอ ยี่สิบลี้ข้างหน้าเป็นตำบล เราเข้าเมืองแล้วหาที่ตั้งร้านยา เจ้าจำต้องกินยาถึงจะช่วยฟื้นฟูพลังภายในได้”
“ไม่ต้อง ข้านำยาติดมาด้วย เราหาอาหารป่ามาย่างกิน เสร็จแล้วก็เดินทางต่อ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“จะไปเมืองหลินอันหรือ” หลี่มู่ชิงย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ร่างกายเจ้าสำคัญกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนประเดี๋ยวนี้หรอก ถึงอย่างไรรัชทายาทกับพี่จื่อกุยต่างอยู่ที่นั่นด้วย”
“เพราะท่านพี่อยู่ที่หลินอัน ข้าถึงไม่วางใจ” เซี่ยฟางหวาบอก
หลี่มู่ชิงเห็นนางยืนกรานก็ถามขึ้นอย่างจนปัญญา “ร่างกายไม่เป็นไรจริงหรือ เดินทางต่อได้หรือ”
“ได้ วางใจเถอะ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
หลี่มู่ชิงไม่พูดมากความอีก ยกมือออกคำสั่งกับคนข้างหลัง มีคนรีบวิ่งไปล่าสัตว์ป่ามาทำอาหาร
หลังพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อคลายค่ายกลก็ไปหาน้ำพุที่อยู่ไม่ไกล ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ หลังล่ากระต่ายป่ามาได้แล้วนำไปล้างทำความสะอาด รวมถึงพวกไก่ป่าด้วย ก็เริ่มก่อไฟย่างเนื้อ
“ระหว่างเจ้ากับพี่ฉินเจิงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนถึงทะเลาะกันใหญ่โตจนมาถึงขั้นนี้ได้” หลี่มู่ชิงถือโอกาสนี้ถามเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“กับข้าก็ยังจะปิดบังหรือ บนโลกนี้ไม่มีปัญหาใดแก้ไขมิได้ กว่าพวกเจ้าจะได้สมรสกันไม่ง่ายเลย ไฉนถึงบุ่มบ่ามแล้วทอดทิ้งกัน ตอนนี้ใต้หล้าต่างรู้เรื่องประกาศหย่าร้างแล้ว เจ้าเข้าใจดีใช่ไหมว่าหลังจากนี้พวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ฟางหวา นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย” หลี่มู่ชิงเห็นว่านางไม่คิดจะตอบก็กังวลใจอยู่บ้าง
เซี่ยฟางหวาหลับตาลง “ข้าไม่ได้อยากปิดบังเจ้า เพียงแต่พูดยากเท่านั้น เรื่องบางเรื่องหาคำอธิบายไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วพยักหน้า “ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”
“หมายความว่าเจ้าตัดสินใจทำลงไปด้วยสติครบถ้วน ข้าได้ยินพี่ฉินเจิงบอกว่าเป็นการตัดสินใจของเจ้า เพราะเหตุใด” หลี่มู่ชิงมองนางด้วยความมึนงง
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึงอีก
หลี่มู่ชิงเห็นใบหน้านางเยือกเย็นลง ยามนี้เป็นเพราะคำพูดของเขาทำให้นางมีสีหน้าย่ำแย่ลงกว่าตอนที่ออกมาจากค่ายกลเมื่อก่อนหน้านี้ เขากลุ้มใจไม่น้อย ลังเลพักหนึ่งก็กล่าวเสียงเบา “หลังเจ้าออกจากเมืองมา จวนอิงชินอ๋องตามหมอหลวงมาที่จวน ตามมาด้วยฝ่าบาททรงออกพระราชโองการหย่าร้าง หลังจากนั้นพี่ฉินเจิงก็ทำลายพระราชโองการทิ้งแล้วบุกเข้าวังหลวง ตอนนั้นฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปิดวังสามวัน มิขอพบผู้ใดทั้งนั้น แต่พี่ฉินเจิงยิงธนูใส่หัวหน้าองครักษ์จนบาดเจ็บก่อนจะบุกเข้าวังหลวงไป ต่อมาเมื่อออกจากวัง ข้าดักรอเขาระหว่างทาง เขาได้พูดประโยคหนึ่งกับข้า”
เซี่ยฟางหวามองเขา
หลี่มู่ชิงไตร่ตรอง ก่อนเล่าเหตุการณ์ตอนที่เข้าไปขวางฉินเจิงและบทสนทนาระหว่างพวกขาให้ฟังรอบหนึ่ง เมื่อเล่าถึงท่อนที่ฉินเจิงบอกว่าหากพบหลี่หรูปี้อีกครั้งจะสังหารนางอย่างแน่นอน เขามองเซี่ยฟางหวาพลางพูดเสียงทุ้มต่ำ “ระหว่างพวกเจ้า เพราะน้องสาวข้าจึงเกิดความเข้าใจผิดหรือไม่ ช่วงนี้นางอยู่สวดมนต์กินเจกับแม่ข้าที่จวนตลอดเวลา ข้าไม่เห็นว่านางได้ทำสิ่งใดลงไป หรือว่านางได้แอบกระทำสิ่งใดลับหลังข้ากับท่านพ่อ”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักอยู่กับที่
หลี่มู่ชิงมองนาง รอให้นางพูดขึ้น
ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองพื้น ยามรุ่งสางที่ตะวันยังไม่โผล่พ้นเหนือขอบฟ้า บนต้นไม้ใบหญ้าในป่าเขาต่างมีน้ำค้างเกาะ สร้างความเย็นสบายไม่น้อย นางนิ่งเงียบเนิ่นนานถึงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่นึกว่าเขาจะทำเช่นนี้กับคุณหนูหลี่ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางเลย”
หลี่มู่ชิงไม่เข้าใจ
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะให้คนส่งข่าวกลับเมืองหลวง บอกเขาว่าอย่าทำเช่นนี้ คุณหนูหลี่ควรเป็นเช่นไรก็ให้เป็นเช่นนั้น อย่าทำให้นางต้องไร้ที่ยืนเพราะข้าเลย มิฉะนั้นคงเป็นความผิดของข้า” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยขึ้น
หลี่มู่ชิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจก่อนหันหลังเดินไปหาพวกซื่อฮว่า ไม่สนทนากับเขาอีก
หลี่มู่ชิงเห็นนางเดินหนีไปก็ทราบดีว่าถามสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่ยอมเลิกรา
เมื่อทานอาหารป่าเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็เดินทางต่อ
เพราะเซี่ยฟางหวาบาดเจ็บภายในยังไม่หายดี การเดินทางจึงไม่เร็วนัก เมื่อถึงยามซื่อ***[1]ก็เพิ่งมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง ทุกคนไม่จำเป็นต้องพักผ่อนจึงเดินทางต่อไป
เซี่ยฟางหวาสวมผ้าคลุมหน้า หลี่มู่ชิงเองก็ซื้อหมวกงอบมาปิดบังใบหน้าเช่นกัน
เดินทางเข้าแล้วออกเมืองได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
แม้ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว แต่ประเด็นร้อนเกี่ยวกับประกาศหย่าร้างยังไม่ซาลง ยังได้ยินเสียงวิจารณ์จากคนสัญจรเดินผ่านอยู่บ้าง
ตอนบ่าย ทั้งหมดหยุดพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เดินทางต่อ
ช่วงหัวค่ำ ยังเหลือระยะห่างจากเมืองหลินอันหนึ่งร้อยลี้
หลี่มู่ชิงเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว มองไปเบื้องหน้าแวบหนึ่งแล้วกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “เดินทางมาทั้งวันแล้ว ร่างกายเจ้ารับไม่ไหวหรอก พักผ่อนสักหน่อยเถอะ ครึ่งคืนก็ยังดี”
เซี่ยฟางหวาเห็นทุกคนต่างแสดงความเหนื่อยล้าจึงพยักหน้า
หลี่มู่ชิงนำเซี่ยฟางหวาเข้าไปในโรงเตี๊ยยมภายใต้ชื่อของตนเอง เปิดเรือนเดี่ยวแยกต่างหากให้ทุกคนได้เข้าพักผ่อน
กลางดึกหลังพักผ่อนมาได้ครึ่งคืนแล้ว ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ พลันมีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนบนท้องฟ้าเหนือตัวเรือนครู่หนึ่งก่อนบินโฉบเข้ามาใน ร่อนเกาะลงบนไหล่เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาจำได้ว่าเป็นเหยี่ยวส่งข่าวของเหยียนเฉิน นางรีบแกะเชือกผูกขาเหยี่ยวนำจดหมายออกมา
จดหมายถูกคลี่ออก บนนั้นเขียนไว้เพียงบรรทัดหนึ่งว่า ‘รีบมาหลินอัน’
เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว น้อยครั้งที่เหยียนเฉินจะส่งจดหมายสั้นถึงเพียงนี้มาให้นาง ทั้งยังไม่เอ่ยถึงเหตุผลให้ชัดเจน ลายมือคล้ายกับรีบเขียนแล้วนำส่ง แสดงให้เห็นว่าตอนเขาเขียนจดหมายฉบับนี้คงไม่มีเวลามากพอจะอธิบายให้นางฟัง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ให้นางรีบไปหลินอันหรือ
เซี่ยฟางหวามองจดหมายเนิ่นนางพลางคาดการณ์ในใจ
“คุณหนู เตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ออกเดินทางเลยหรือไม่” ซื่อฮว่าเอ่ยถามเสียงเบาจากข้างนอก
เซี่ยฟางหวาทำลายจดหมายทิ้ง เงียบลงพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “บอกคุณชายหลี่ว่าข้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาฉับพลัน คืนนี้คงเดินทางต่อไม่ได้แล้ว”
[1] ***ยามซื่อ คือ ช่วงเวลา 9:00 น. – 11:00 น.