หมอหลวงถูกสังหาร
“ขุนนางจิงจ้าวอิ่นคงมาแล้ว” อวี้จั๋วหันไปมองตามเสียงแล้วเอ่ยขึ้น
“พระชายาน้อย ขุนนางจิงจ้าวอิ่นจะสะสางคดีได้จริงหรือ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากหาตัวฆาตกรไม่เจอจะทำเช่นไร” ซุนจั๋วมองไปยังคนเหล่านั้นเช่นกัน ทั้งเอ่ยถามเซี่ยฟางหวาด้วยความร้อนใจ
“ต้องหาเจอแน่” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ
เสียงของนางแม้เรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้ซุนจั๋วสงบใจ เขาพยักหน้ารับภายใต้ความเจ็บปวด “ต้องไล่หาตัวฆาตกรให้ได้ ท่านปู่อายุปูนนี้แล้ว โดยปกติหาได้ล่วงเกินผู้ใดไม่ เหตุใดถึงได้ถูกสังหารกันลงคอเช่นนี้”
ระหว่างพูดคุยกัน คนและม้ากลุ่มนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทั้งหมดมีจำนวนราวสามสิบกว่าคน ต่างสวมเครื่องแบบศาลาว่าการเหมือนกันทั้งหมด หนึ่งในนั้นที่ขี่ม้านำหน้าอายุสามสิบกว่าปี ไว้นวดเคราและจอนผม สวมหมวกขุนนางทรงสูง ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้า ข้างกายเขาคือซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่ขี่ม้าตัวเดียวกัน
“ผู้ที่นั่งอยู่หน้ารถม้าคือพระชายาน้อยใช่หรือไม่” คนผู้นั้นลงจากรถม้า ก้าวออกมาทำความเคารพ “ข้าน้อยคือขุนนางจิงจ้าวอิ่นชื่อหลิวอ้าน”
“ใต้เท้าหลิวไม่ต้องมากพิธี” เซี่ยฟางหวาเลิกม่านออก กางร่มลงจากรถแล้วพยักหน้ารับ
“ได้ยินสาวใช้สองคนของพระชายาน้อยมาแจ้งความว่า หมอหลวงซุนถูก…เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” หลิวอ้านยืดตัวตรง มองบริเวณโดยรอบแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหตุการณ์คือเดิมทีข้าต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก ยามผ่านมาทางนี้ก็พบรถม้าหมอหลวงซุน คนขับและเขาต่างเสียชีวิตอยู่บนรถ” เซี่ยฟางหวาพูดสั้นๆ ได้ใจความ “ที่เกิดเหตุยังไม่ถูกทำลายแต่อย่างใด ใต้เท้าหลิวนำขุนนางชันสูตรศพมาด้วยหรือไม่”
หลิวอ้านพยักหน้าเรียกคนมาสองคนแล้วเดินไปยังรถม้าของหมอหลวงซุน
เซี่ยฟางหวากางร่มยืนอยู่ที่เดิม รอฟังผลชันสูตร
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อลงจากม้าแล้วเดินมาหาเซี่ยฟางหวา ทั้งสองเปียกปอนไปทั้งตัว กระซิบกล่าวเสียงเบา “บ่าวสองคนเข้าเมืองไปแจ้งความอย่างราบรื่น ใต้เท้าหลิวผู้เป็นขุนนางจิงจ้าวอิ่นท่านนี้ทราบเรื่องก็รีบมาทันที” พูดจบก็กล่าวต่อ “เมื่อแจ้งความเสร็จเราก็ไปจวนหมอหลวงซุน นึกไม่ถึงว่าจวนหมอหลวงจะทราบข่าวแล้ว บอกว่ามีสตรีคนหนึ่งล่วงหน้ามาแจ้งข่าวก่อน”
“สืบหรือยังว่าสตรีผู้นั้นคือใคร” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“ข้าส่งข่าวให้คนไปสืบแล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก
ขุนนางจิงจ้าวอิ่นเดินไปถึงหน้ารถม้าแล้วก็อุทานด้วยความตกใจ “ผู้ใดมีความแค้นกับหมอหลวงอาวุโสถึงเพียงนี้ ไม่นึกเลยว่าจะปลิดชีพด้วยกระบวนท่าเดียว”
“ท่านปู่นอกจากถวายการรักษาแก่วังหลวง หากจวนสูงศักดิ์ทั่วไปมีเรื่องใด ขอเพียงมาขอร้องท่านปู่ เขาก็จะไปตรวจดูอาการให้ ไม่เคยล่วงเกินผู้ใดเลย” ซุนจั๋วโกรธแค้น “ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”
“ขุนนางชันสูตร เข้าไปตรวจสอบศพ” หลิวอ้านถอยหลังเปิดทางให้
ขุนนางชันสูตรศพก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ คนหนึ่งตรวจสอบศพหมอหลวงซุน อีกคนหนึ่งตรวจสอบศพคนขับรถ ครู่ต่อมาทั้งสองก็สลับกัน หลังหารือกันครู่หนึ่งก็รายงานผลกับหลิวอ้าน “เรียนใต้เท้า หมอหลวงซุนถูกปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว ฆาตกรต้องมีวิทยายุทธ์ โจมตีตรงหัวใจหมอหลวงไม่พอ ทั้งยังลงมือก่อเหตุโดยที่หมอหลวงไม่ทันตั้งตัว เสียชีวิตเมื่อประมาณหนึ่งชั่วยามก่อน ส่วนคนขับรถนายนี้ถูกสังหารเหมือนกับหมอหลวงซุนมิผิด ช่วงเวลาก็ไล่เลี่ยกันขอรับ”
“นอกเหนือจากนี้ ยังมีร่องรอยใดหรือไม่” หลิวอ้านถาม
“ฝนตกหนักเกินไป ตอนนี้ยังไม่เจอร่องรอยอื่น” ขุนนางชันสูตรศพมองหน้ากันก่อนส่ายหน้า
“หาร่องรอยอื่นไม่ได้? หาตัวฆาตกรสังหารท่านปู่ไม่ได้อย่างนั้นรึ” ซุนจั๋วรีบถาม
ขุนนางชันสูตรศพทั้งสองส่ายหน้า
“เจ้าเป็นหลานของหมอหลวงซุนหรือ” หลิวอ้านมองมายังซุนจั๋ว
ซุนจั๋วพยักหน้ารับ
“ระหว่างทางข้าเห็นรถม้าครอบครัวหมอหลวงซุน คงใกล้มาถึงแล้ว รับศพหมอหลวงซุนกลับจวนไปก่อนเถอะ ถึงอย่างไรหมอหลวงซุนก็เป็นหมอหลวงอาวุโสในสำนักหมอหลวง คดีฆาตกรรมร้ายแรงเช่นนี้ ขุนนางจิงจ้าวอิ่นจะมอบให้กรมอาญาสะสางคดีแทน” หลินอ้านทอดถอนใจกล่าว
ซุนจั๋วมองไปยังเซี่ยฟางหวา
หลิวอ้านมองไปยังเซี่ยฟางหวาตาม ก่อนประสานมือคำนับ “ในเมื่อพระชายาน้อยเป็นผู้พบศพหมอหลวงซุน เช่นนั้นก็กลับไปที่ศาลาว่าการก่อนเถิด ข้าน้อยต้องบันทึกการสอบปากคำ”
เซี่ยฟางหวามองหลิวอ้านด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้รับปากทันที หากแต่หันไปตั้งคำถามกับขุนนางชันสูตรศพสองคนนั้น “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าชันสูตรศพถูกต้อง”
สองคนนั้นผงะตกใจ
“ขุนนางชันสูตรศพในเมืองหลวงทำงานลวกๆ ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” น้ำเสียงเซี่ยฟางหวาเคร่งขรึม
“เราสองคนทำงานนี้มาหลายปีแล้ว ชันสูตรศพมานับไม่ถ้วน พระชายาน้อยมีข้อกังขาในความสามารถของเราสองคนหรือ หรือว่าพระชายาน้อยชันสูตรศพได้แม่นยำกว่าเรา” ขุนนางชันสูตรศพคนนั้นมีสีหน้าเปลี่ยน รีบเอ่ยแย้งทันที
“ข้าชันสูตรศพไม่เป็น แต่ข้ารู้วิชาแพทย์” เซี่ยฟางหวากางร่มก้าวออกมา ชี้กริชบนหน้าอกของคนขับรถ จากนั้นก็ชี้กริชบนหน้าอกของหมอหลวงซุน “พวกเจ้าดูสิ ถูกปลิดชีพในครั้งเดียวเหมือนกันแท้ๆ เหตุใดกริชสองเล่มถึงไม่เหมือนกัน”
สองคนนั้นเดินไปดูด้วยความสงสัย พินิจมองพักหนึ่งแล้วส่ายหน้า มองมายังเซี่ยฟางหวา “กริชถูกแทงกลางหน้าอกเหมือนกัน ไม่มีอันใดแตกต่าง”
“ชันสูตรศพมานานกี่ปีแล้ว? แค่ถูกสังหารกับฆ่าตัวตายยังแยกไม่ออกรึ ข้าว่าพวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำอาชีพนี้แล้ว” เซี่ยฟางหวามองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “วิธีการของคนขับรถนายนี้เห็นชัดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย จงใจเลียนแบบตำแหน่งกริชที่ปักคาอกหมอหลวงซุน แต่ยังพลาดไปเล็กน้อย อีกอย่างตำแหน่งของเขาแม้พลาดไปจากหมอหลวงซุนแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่เลือดที่ไหลออกมาเยอะกว่าหมอหลวงซุนมาก เพราะหลังแทงกริชเข้าไปเขาไม่ได้ตายทันที แต่เสียเลือดไปมาก ต้องใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะตาย”
“ฝนครั้งนี้ชะล้างร่องรอยจนหมดแล้ว คราบเลือดบนตัวเขาไม่เหลืออยู่แล้ว พระชายาน้อยดูออกได้อย่างไร” ขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่งถาม
“คราบเลือดบนตัวเขาไม่เหลืออยู่แล้ว แต่คราบเลือดใต้ท้องรถยังอยู่ แม้ฝนตกหนักมากแต่ไม่อาจชะล้างคราบเลือดไปได้ในเวลาเพียงครู่เดียว โดยเฉพาะจุดที่มีน้ำขัง พวกเจ้าลองดูใต้ท้องรถได้ว่าน้ำในแอ่งแดงขนาดไหน เทียบกับตำแหน่งที่หมอหลวงซุนนั่งอยู่ ใต้ท้องรถกลับไม่มีคราบเลือดมากนัก ดังนั้นจึงแยกออกได้” เซี่ยฟางหวาตอบ
ขุนนางชันสูตรศพทั้งสองรีบก้มลงดูใต้ท้องรถทันที เมื่อมองแล้วก็หน้าซีดขาว
หลิวอ้านก็ก้มตัวมองเช่นกัน เป็นจริงดังที่เซี่ยฟางหวาบอกไว้ เขาหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา “ความหมายของพระชายาน้อยคือ คนขับรถนายนี้ฆ่าตัวตายหรือ เหตุใดเขาต้องฆ่าตัวตายด้วย เพราะหมอหลวงซุนตายอย่างนั้นหรือ เขากลัวว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย? หรือตัวเขากันแน่ที่เป็นฆาตกร?”
“ต้องตรวจสอบฐานะคนขับรถนายนี้” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ
“พระชายาน้อยบอกว่าคนขับรถนายนี้ฆ่าตัวตาย บอกว่ากริชต่างกัน ข้ากลับมองไม่ออก ผู้ใดก่อเหตุสังหาร ตำแหน่งแทงกริชย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว” ขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่งกล่าวขึ้น
เซี่ยฟางหวามองขุนนางชันสูตรศพคนนั้นแวบหนึ่ง ยังไม่ทันอ้าปากพูดพลันได้ยินเสียงกีบเท้าม้าขบวนหนึ่งดังมาจากระยะไกล เสียงที่ตามมาพร้อมกับกีบม้าคือเสียงล้อรถที่บดกับพื้นแล่นมาด้วยความเร็ว นางหันไปมองทันที
พวกหลิวอ้านก็หันไปมองโดยพร้อมเพรียงเช่นกัน
พบว่าผู้ที่ขี่ม้านำมาสวมเสื้อกันฝนและอุปกรณ์กันฝนอย่างมิดชิด ทว่ายังคงมองออกว่าเป็นคุณชาย
หลี่มู่ชิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา นอกจากเขายังมีรถม้าอีกสองคัน เป็นรถม้าที่ครอบครัวของหมอหลวงซุนนั่งมา ข้างหลังตามมาด้วยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมเครื่องแบบกรมอาญา เห็นได้ชัดว่าขุนนางจากกรมอาญามาถึงแล้ว
เมื่อเห็นหลี่มู่ชิง แววตาเซี่ยฟางหวาก็สั่นไหว
ไม่นานหลี่มู่ชิงก็มาถึง เขาพลิกกายลงจากม้า เดินมาหาเซี่ยฟางหวาพร้อมกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้าไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน ข้าจึงตามมาดู”