ติดต่อกันเป็นวันที่สาม ยังคงไร้ข่าวคราวว่าฉินเจิงพาเซี่ยฟางหวาไปไหน
พระชายาอิงชินอ๋องอย่างไรก็นั่งไม่ติดแล้ว ขณะกำลังโยกย้ายคนในจวนทั้งหมดออกไปตามหา
ชิงเหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นที่จวนอิงชินอ๋อง แล้วถ่ายทอดข้อความของฉินเจิงให้พระชายาฟัง บอกพระชายาว่าให้สบายใจได้ เขากับเซี่ยฟางหวาปลอดภัยดี ถึงเวลาควรกลับจวนเมื่อใดก็จะกลับมาเอง
พระชายาอิงชินอ๋องสบายใจในที่สุด ขณะจะเอ่ยถามชิงเหยียน เขาก็ออกไปจากจวนอิงชินอ๋องจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
พระชายาอิงชินอ๋องจนใจ ตำหนิอย่างมีน้ำโห “สมกับที่เป็นนายบ่าวกันไม่มีผิด แม้แต่จะขยายความให้มากหน่อยยังไม่ยอมพูด”
“พระชายาวางใจได้แล้ว ท่านอ๋องน้อยบอกว่าปลอดภัยดีก็ย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ชุนหลันปลอบใจ
“ก็จริง ครั้งนี้เขาพาหวาเอ๋อร์ออกไปจากวังโดยพลการ ไม่รอให้นางตอบตกลงก่อน ทั้งคู่คงหาสถานที่ปลีกวิเวกจากความวุ่นวาย จะได้พูดคุยกันดีๆ” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“ต้องเป็นเหตุผลนี้แน่เจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อยของเราฉลาดจะตาย” ชุนหลันพยักหน้าเห็นด้วย
พระชายาอิงชินอ๋องพลันยิ้มออกมา มองค้อนชุนหลันแวบหนึ่ง “สมกับที่เจ้าเห็นเขาเติบโตมา รู้จักแต่ชื่นชมเขา”
ชุนหลันเองก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เมฆครึ้มในจวนอิงชินอ๋องมลายหาย หลังเรียกตัวคนที่ส่งออกไปตามหากลับมา ที่สุดแล้วก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาบ้าง
สามวันให้หลัง ฉินอวี้ก็เข้าว่าราชการยามเช้า
เหล่าขุนนางยืนเรียงกันเป็นสองแถว ไม่มีผู้ใดขาดการประชุมแม้แต่คนเดียว หลังรอฉินอวี้เข้าว่าราชการยามเช้าก็ลอบมองพระพักตร์ของฝ่าบาทอย่างระวัง พบว่าสามวันที่มิได้พบฝ่าบาท ทรงดูอิดโรยกว่าเมื่อวันราชาภิเษกมาก ทว่ายังดีที่พระพักตร์กลับมาเป็นปกติ อบอุ่นอ่อนโยนเฉกเช่นเมื่อก่อน มองไม่เห็นมรสุมพายุเหมือนวันนั้นอีกจึงต่างพากันถอนใจโล่งอก
จักรพรรดิขุนนางหารือราชการ หลังงดว่าราชการสามวันนับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษก วันนี้เป็นการเปิดบทปฐมฤกษ์ของราชสำนักรัชสมัยใหม่อย่างเป็นทางการ
หลังเลิกว่าราชการ หลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงก็ชวนกันไปโรงน้ำชา
โรงน้ำชาหลังนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทั้งสองจึงพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องเลี่ยง
เยี่ยนถิงคาดการณ์ด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยถามหลี่มู่ชิง “เจ้าว่าฉินเจิงพาฟางหวาไปไหน ไฉนร่องรอยสักนิดเดียวก็ตามหาไม่พบ เป็นสถานที่ที่แม้แต่พวกเรายังหาไม่เจอ จะเป็นที่ใดไปได้”
“เขามิอยากให้ใครหาพบเป็นทุนเดิม สถานที่ที่เขาไม่อยากให้ใครหาพบ ผู้คนมากน้อยก็ย่อมหาไม่เจอเช่นกัน” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า
“น่าแปลกใจยิ่งนัก แต่เล็กจนโต หลายปีที่ผ่านมาพวกเราคบหาเขาเป็นพี่น้องได้สูญเปล่ามาก”
เยี่ยนถิงกล่าว “ไม่รู้ว่าเขายังมีที่ซ่อนตัวอีกมากน้อยเท่าไร”
“ถึงเป็นพี่น้องก็ใช่ว่าจะบอกกันได้ทุกเรื่อง ตอนนั้นหากเจ้าไม่ปิดบังเรื่องที่มีใจให้ฟางหวา บอกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ เขาคงตีเจ้าให้ตายตั้งแต่อยู่ครรภ์แล้ว คงไม่ปล่อยเจ้ามาหนีไปเพราะรักในภายหลังหรอก” หลี่มู่ชิงหลุดยิ้ม
“อย่าพูดแทงใจดำ” เยี่ยนถิงยกเท้าเตะหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงชักขาหลบว่องไว จึงโดนเพียงแค่ชายเสื้อเท่านั้น ยิ้มถามว่า “หรือข้าพูดผิด”
เยี่ยนถิงครุ่นคิดแล้วก็หัวเราะออกมา “ก็ถูก คนที่เขาชอบ ขอเพียงข้ามีแนวโน้มแม้แต่นิดเดียวจะต้องถูกเขากำจัดทิ้งเป็นแน่” พูดจบ เขาก็ยิ่งขำ “แต่ข้าพอจะทราบความรู้สึกที่เขามีต่อฟางหวาบ้าง ถึงอย่างไรตอนนั้นเขาก็ขยันวิ่งไปยังจวนจงหย่งโหวบ่อยกว่าข้าเสียอีก ขอเพียงพี่จื่อกุยเริ่มไม่สบายเพียงเล็กน้อย เขาก็ส่งหมอหลวงซุนไปหาแล้ว เป็นตอนนั้นเองข้าถึงรู้สึกตัว ไม่กล้าบอกเขา”
“น่าเสียดายหมอหลวงซุนแล้ว” หลี่มู่ชิงกล่าว
“นั่นสิ นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกสังหาร” เยี่ยนถิงถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ในเมืองไม่มีหมอหลวงฝีมือดีคนไหนอีกแล้ว”
“ยังมีใต้เท้าหานกรมอาญาด้วย น่าเสียดายเช่นกัน” หลี่มู่ชิงกล่าวอีก
“จากเมืองไปตั้งนาน พลาดเรื่องสำคัญไปมากมาย” เยี่ยนถิงพลันเอ่ยขึ้นมาอีก “เจ้าว่า ฉินเจิงคงไม่โกรธฟางหวาจริงๆ แล้วทำอันใดนางหรอกกระมัง”
“เจ้ากังวลไปแล้ว” หลี่มู่ชิงหลุดยิ้ม “วางใจเถอะ เขาทำไม่ลงหรอก”
เยี่ยนถิงกะพริบตาปริบ ก่อนตบขาฉาดใหญ่ “ก็จริง เขามันเสือกระดาษ กับคนที่รักสุดดวงใจย่อมทำอันใดไม่ลง”
หลี่มู่ชิงพยักหน้า
ทั้งในและนอกเมืองหลวงล้วนวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์วันราชาภิเษกของฮ่องเต้องค์ใหม่ตลอดเวลา โดยวนอยู่ที่ฉินเจิง ฉินอวี้ และเซี่ยฟางหวาจนเขียนเป็นตำรามหากาพย์ได้เล่มหนึ่งก็มิปาน โรงน้ำชาร้านเหล้าแม้มิกล้าเอ่ยถึงพระนามของฮ่องเต้องค์ใหม่ตามอำเภอใจ แต่จำต้องเปิดฉากบรรยายทุกวัน คนที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างก็พ่นสิ่งที่อยากพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ถ้ามิพูดถึงคงอึดอัดแย่ เล่าถึงสามส่วน วิจารณ์อีกเจ็ดส่วน มีคนเบียดเสียดหนาแน่นเพื่อที่จะฟังการบรรยายนี้ทุกวัน จำนวนมากเท่าที่สถานที่นั้นๆ จะรับปริมาณคนไหว
ตัวละครหลักที่ถูกหลายคนวิจารณ์อย่างฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวา ยามนี้กลับอยู่ที่เรือนในหุบเขาลึก
ที่นี่ไม่มีใครนอกจากชิงเหยียนผู้เป็นสายลับ แม้แต่บ่าวไพร่สาวใช้สักคนก็หาไม่
เรือนหลังนี้มิใช่หมู่บ้านอันงดงามวิจิตร หากแต่เป็นบ้านเรือนธรรมดาขนาดไม่กี่ห้อง การตกแต่งภายในก็มิได้หรูหราเช่นกัน เหมือนครอบครัวที่พอจะมีกินมีใช้ทั่วไป รอบนอกล้อมด้วยรั้วที่สานจากไม้ไผ่
เซี่ยฟางหวาหมดสติไปหนึ่งวันเต็ม เมื่อฟื้นมาก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ เครื่องเรือนภายในห้องทุกชิ้นล้วนแปลกตาอย่างยิ่ง
นางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า รู้สึกได้ถึงความเจ็บระลอกหนึ่งด้านหลังต้นคอ นางเอื้อมมือไปลูบบริเวณนั้นที่เจ็บปวดมาก สมองพลันสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่ฉินเจิงลงมือกับนางในวังหลวง โดยใช้ฝ่ามือสับลงบนต้นคอจนนางหมดสติไป เหตุการณ์หลังจากนั้นก็ไม่มีในความทรงจำอีกเลย
นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนพินิจมองเครื่องเรือนภายในห้อง
ภายในห้องนอกจากเครื่องเรือนค่อนข้างเก่าก็ไม่มีผู้ใดเลยสักคน
นางมองทั่วห้องรอบหนึ่ง ก่อนเบนสายตามองไปนอกหน้าต่าง ม่านโปร่งบางปิดลูกกรงเอาไว้ คลับคล้ายคลับคลาว่ามองเห็นกำแพงรั้วไผ่ด้านนอก เดิมมิใช่สถานที่ที่นางคุ้นเคยแต่อย่างใด
นางลุกลงจากเตียง ก้าวเท้าไวๆ ไปยังประตูแล้วผลักออก
เวลาล่วงเลยสู่ยามบ่ายแล้ว แดดข้างนอกจ้ายิ่ง สะท้อนลงมาจนนางต้องยกมือป้องดวงตา
“ฟื้นแล้วหรือ” เสียงของฉินเจิงดังมาจากเบื้องหน้า
เซี่ยฟางหวาลดข้อมือลงเชื่องช้า ตวัดตามองฉินเจิงที่เดินเข้ามาจากบานประตูบนกำแพงรั้วไผ่ มือหนึ่งถือคันธนู มือหนึ่งถือไก่ฟ้า ภายใต้แสงแดดที่ส่องลงมา ถึงแม้ในมือเขาถือไก่ฟ้าอยู่ ทว่าเขายังคงหล่อเหลาเกินบรรยาย
ใครก็ตามที่เห็นเขาคงไม่นึกว่าเป็นชายหนุ่มในชนบทเป็นแน่ แต่เป็นคุณชายบริสุทธิ์สูงส่งซึ่งมีท่วงท่าสง่างามอย่างเห็นได้ชัด
นางหรี่ตาลง นิ่งมองเขา
ฉินเจิงวางคันธนูลง มิได้รีบเดินเข้ามาหา แต่เปลี่ยนเส้นทางเดินไปยังห้องครัว พลางเอ่ยบอกนาง “ในเมื่อตื่นแล้วก็ยืดเส้นยืดสายสักหน่อย แล้วมาช่วยข้าทำอาหาร”
น้ำเสียงทั่วไป ประหนึ่งพวกเขามิได้ทะเลาะกันแม้แต่น้อย
เซี่ยฟางหวามองเขาไม่พูดจา
ฉินเจิงหายเข้าไปในห้องครัว ไม่นานก็มีเสียงภาชนะกระทบกันดังออกมา
เซี่ยฟางหวาจ้องประตูห้องครัวเป็นนานก่อนละสายตากลับมา มองไปยังนอกกำแพงรั้วไผ่ พบว่ารอบบริเวณเป็นป่าเขา เรือนหลังนี้ตั้งอยู่กลางแนวสันเขา แม้ถูกล้อมด้วยป่าไม้ แต่กลับบดบังแสงตะวันมิได้ แดดแรงกล้ายังส่องมาถึงเรือนหลังนี้
รอบบริเวณเงียบสงัดอย่างยิ่ง ได้ยินเพียงเสียงนกร้องที่บังเอิญบินผ่านมาเป็นครั้งคราว
ที่นี่คือที่ใดมิอาจแยกออก แต่สิ่งเดียวที่ทราบคือ ที่แห่งนี้มิได้อยู่ในอาณาเขตเมืองหลวงเป็นแน่ เพราะภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้จากเมืองหลวง นอกจากวัดฝ่าฝอซื่อแล้วก็ไม่มีป่าไม้แบบนี้อีก แต่ถึงวัดฝ่าฝอซื่อมีป่าก็มิได้มีภูมิประเทศแบบนี้
โดยเฉพาะค่ายกลอันประณีตที่กางอยู่รอบนอกนั่น
ค่ายกลแบบนี้นางมองแวบเดียวก็ทราบทันทีว่าเป็นค่ายกลปิดตาย มีทางเข้า หากแต่ไร้ทางออก
ฉินเจิงชะโงกศีรษะออกมาจากห้องครัว มองนางแวบหนึ่ง พบว่านางกำลังยืนหรี่ตาหน้าประตู นิ่งไม่ไหวติง จึงเลิกคิ้วเอ่ยถาม “กำลังคิดว่าที่นี่คือที่ใดรึ”
เซี่ยฟางหวาหันมามองเขา
“หรือกำลังคิดว่าจะทำลายค่ายกลออกไปอย่างไร” ฉินเจิงถามอีก
“อย่าบอกว่าเจ้าจะใช้ค่ายกลขังข้าไว้ที่นี่ตลอดชีวิต” เซี่ยฟางหวานิ่งมองเขา
ฉินเจิงพลันหัวเราะออกมา “ขังเจ้าตลอดชีวิตแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นภรรยาของข้า อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ถึงชาติหน้าก็อย่าได้คิดว่าจะหนีข้าพ้น”
เซี่ยฟางหวาเห็นเขาหัวเราะ ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกตาพร่า กล่าวด้วยโทสะ “ใครเป็นภรรยาเจ้า ข้ากับเจ้ามิได้เกี่ยวข้องกันแล้ว”
ฉินเจิงเลิกคิ้ว ทิ้งงานในมือโดยพลัน ก่อนล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบม้วนพระราชโองการสีทองอร่ามออกมาโยนให้นาง “เจ้าอ่านดูเอาเอง”
เซี่ยฟางหวายื่นมือรับแล้วกางออก นึกไม่ถึงว่าเป็นพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้
“เป็นเช่นไร เจ้ามิใช่ภรรยาของข้า แล้วใครเป็นภรรยาข้า” ฉินเจิงเหลือบมองนาง “เจ้ายังมีถ้อยคำจะโต้แย้งอีกหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพูดไม่ออกชั่วขณะ หลังเงียบลงเป็นนานก็พลันตวัดตามองเขา กล่าวอย่างจริงจัง “ในนี้มิใช่เขียนว่าหากไม่ปรองดองกันอีก ย่อมแยกจากกันได้โดยความสมัครใจรึ”
ใบหน้าปกติสุขของฉินเจิงแปรเปลี่ยนโดยพลัน โยนฟืนในมือที่เพิ่งหยิบขึ้นมาทิ้งไป ลั่นวาจาโหดเ**้ยม “เจ้าฝันไปเถอะ”