เป็นเพราะเสียงหัวใจที่ดังจนน่าหนวกหูทำให้ฉันข่มตาหลับไม่ลง พร้อมกับต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยขอบตาดำคล้ำ ร่างกายหนักอึ้งเหมือนกับโดนทุบตีมา เฮ้อ ฉันส่งเสียงอันเหนื่อยล้าออกมา พร้อมกับลากร่างที่กว่าจะลุกขึ้นมาได้ไปยังห้องน้ำ
พอร่างโดนสายน้ำที่ไหลออกมาพร้อมกับเสียงสดชื่น ความคิดนับพันก็ไหลผ่านเข้ามาในทันที อีเซในวันที่รุ่นพี่อีกงสารภาพรัก วันเวลามากมายหลังจากนั้นที่หมอนั่นเอาแต่หลบหน้าฉัน และตอนที่หมอนั่นเอาเงินจำนวนไม่น้อยมาให้ฉัน
“…ยัยบ้าเอ๊ย”
ฉันยกคันโยกฝักบัวขึ้นด้วยความหงุดหงิด น้ำที่ไหลลงมาอย่างแรงทำให้ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายตื่นขึ้น ฉันค่อยๆ หันหน้าไปมองกระจก ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในกระจก บูดบึ้งและดูแย่มากจริงๆ ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับเสยผมขึ้นลวกๆ
“โอ๊ย”
ตอนที่ฉันกำลังจะออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกปวดหูขึ้นมาอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ฉันงอตัวพร้อมกับทรุดฮวบลงตรงนั้นทันที
มันรู้สึกเวียนหัวจนเหมือนจะอ้วกออกมา ฉันคลานไปตามพื้น แล้วจับโถส้วมเอาไว้ ก่อนที่จะอ้วกออกมาจนโล่งท้องในที่สุด
ฉันกลืนน้ำลายที่ไหลออกมา ก่อนจะพิงหัวที่ปวดเหมือนกับโดนค้อนทุบตรงประตูห้องน้ำ หยดน้ำเปียกๆ ที่ยังเกาะอยู่ที่เส้นผมไหลผ่านท้ายทอยลงไปที่หลัง นี่มันชักจะแปลกๆ แล้วสิ มีบางอย่างผิดปกติ
ฉันยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาปิดหูที่คุ้นเคยกับการได้ยินเสียงแว่ว ใช่แล้ว อาการหนักขึ้นแน่ๆ อาการปวดหัวจากความเครียดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแค่วันสองวัน แต่เสียงแว่วทุ้มๆ ที่ทำให้รู้สึกอึดอัดกับอาการปวดจนหูอื้อนั้นยิ่งรุนแรงขึ้น และถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ฉันคิดทบทวนถึงความกังวลที่พยายามแกล้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ตลอดมา และชั่วขณะที่ฉันลดมือที่จับหูลงมาอย่างไม่ตั้งใจ ฉันก็รู้สึกขนลุกไปหมดทั้งตัว
“…นี่มันอะไรกัน”
เมื่อชั่วขณะซึ่งเหมือนกับว่าเวลาหยุดลงนั้นเดินผ่านไป ฉันก็เอาแต่พึมพำปนกับเสียงครวญครางอยู่คนเดียว ฉันตัดสินใจไม่ได้ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริงหรือเปล่า หรือจะเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมา ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าไม่ได้ น่าจะต้องบอกว่าไม่อยากตัดสินใจถึงจะถูก
นั่นเป็นเพราะว่าที่ฝ่ามือของฉันกำลังเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงชัดเจน เหมือนกับว่าถูกสีสาดใส่
ฉันที่ได้สติกลับมาในทันทีราวกับโดนราดด้วยน้ำเย็น จึงรีบเอามือคลำไปที่ท้ายทอยและไหล่ทั้งสองข้าง แต่วินาทีที่ฉันแน่ใจเรื่องรอยสีแดงที่เปื้อนอยู่บนฝ่ามือ ฉันก็ลืมทุกอย่างที่จะพูด แล้วก็ได้แต่เหม่อลอยมองไปยังอากาศที่ว่างเปล่า
เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่ร่างกายจะสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้ง ฉันใช้พลังเฮือกสุดท้ายบีบเค้นเสียงออกมา แต่ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง ทั้งที่ควรจะได้ยินในห้องน้ำแคบๆ นี้ หรือจะเป็นเพราะฉันตกใจเกินไป เสียงก็เลยไม่ยอมออกมากันนะ ไม่สิ มันจะต้องเป็นอย่างนั้นเท่านั้น
ฉันพยุงร่างกายที่สั่นเทาให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในกระจกมันดูแย่เหลือเกิน ในตอนนั้นเองที่ฉันได้รู้ความจริงว่าฉันสามารถร้องไห้โดยที่ไม่ส่งเสียงออกมาได้ ราวกับว่ากำลังลืมตาอยู่แต่มองไม่เห็น มันช่างแปลกประหลาดและน่าสยดสยองไปพร้อมกัน
* * *
หลังจากนั้นหลายสิบนาที ประสาทการได้ยินก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับโกหก เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องนั้นขึ้น หลังจากที่สวมเสื้อผ้าด้วยสติที่ล่องลอยเสร็จ ฉันก็มานั่งรออยู่ร้านกาแฟข้างหน้าหอพัก หัวใจที่พังทลายราวกับเจอแผ่นดินไหวจึงสงบลง
บางทีตอนนี้เซจินคงจะกำลังตามหาฉันให้วุ่นแล้วสินะ ฉันเอามือทั้งสองข้างกุมหน้าผากเอาไว้ขณะที่ซบหน้าลงกับโต๊ะ รู้สึกอย่างกับว่าร่างกายมันถูกกดลงไปอย่างแรง
นั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพักทั้งที่รู้ว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้สาระ แต่ฉันก็เอาแต่นึกถึงชื่อโรคต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถคิดออกมาได้ พร้อมกับเริ่มเปรียบเทียบอาการของตัวเองกับโรคเหล่านั้น
เริ่มปวดหัวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ฉันได้ยินเสียงแว่วมานานเท่าไหร่แล้วนะ แล้วที่รู้สึกปวดล่ะ
แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างมีสติขนาดไหน ภายในหัวของฉัน ก็มีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้นที่หมุนวนไปมาอย่างชัดเจน
ความกลัวที่ว่า อาจจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
ฉันจับมืออีกข้างที่สั่นขึ้นมาอีกครั้งเอาไว้ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะท่าจะเริ่มเย็นแล้วสินะ ยัยบ้าเอ๊ย ทำไมฉันถึงได้ปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่สนใจละ โง่จริงๆ ร่างกายของตัวเองกลับไม่รู้จักดูแลสักนิด
ฉันเอาแต่โทษตัวเองไม่หยุด และต้อนตัวเองจนจนมุม แต่ความจริงแล้วฉันเองก็รู้สึกอยู่แล้วว่าต่อให้ฉันรู้ถึงปัญหานี้เร็วกว่านี้ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี
เพราะกลัวว่าจะได้ยินเสียงที่น่ากลัว เพราะกลัวว่าจะผิดหวัง ฉันถึงได้ปล่อยปละละเลยมันไว้อย่างนั้น แม้แต่ในเวลานี้ฉันก็ยังอยากที่จะทำอย่างนั้น ไม่สิ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ ทำไมถึงได้เกิดปัญหาขึ้นได้กันนะ
แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็ได้คิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง นี่มันช่างสับสนวุ่นวายจริงๆ
ฉันนั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้นสักพัก จนเจ้าของร้านซึ่งมีอายุประมาณหนึ่งมองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันจึงรีบแบกกระเป๋าเดินออกมาข้างนอกร้าน แล้วมาหยุดยืนเหม่อลอยอยู่ตรงกลางถนน
ตอนนี้ฉันจะต้องไปที่ไหนนะ ฉันจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันโดยที่ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหมนะ ไม่สิ หูฉันจะระเบิดออกมาก่อนหรือเปล่า ฉันกำสายสะพายกระเป๋าเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกกังวล และในตอนที่ฉันมัวแต่จ้องไปที่รถยนต์ที่ขับผ่านไปมา
“นี่”
จู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากข้างหลัง ถึงจะรู้ว่าใครคือเจ้าของเสียง แต่ฉันก็หันหลังกลับไปด้วยความหวังว่าขอให้ไม่ใช่เธอคนนั้น แต่แล้วความคาดหวังของฉันก็พังทลายลง
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ”
รุ่นพี่โซยอนที่พูดเน้นคำว่า ‘คนเดียว’ ขึ้นมาเป็นพิเศษกำลังยืนกอดอกและจ้องมองมาที่ฉัน พร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา ฉันยืนก้มหน้าพลางกัดริมฝีปากล่างแน่น
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง ฉันถามว่าทำไมถึงอยู่คนเดียว แล้วลีอีเซกิ๊กเธอไปไหนแล้วล่ะ”
แต่คำต่อจากนั้นที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของรุ่นพี่โซยอนก็ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมาราวกับลวดสปริง พลางจ้องรุ่นพี่โซยอนเขม็ง ริมฝีปากสีแดงแจ๋ของรุ่นพี่โซยอนกระตุกขึ้นเบาๆ พร้อมกับหัวเราะเสียงดังออกมา
“ฉันเห็นนะ เมื่อคืนนี้ที่ลีอีเซจูบเธอน่ะ”
“…”
“อ๋อ บอกว่าจูบก็คงจะเกินไป ก็แค่จุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากสินะ”
หลังจากที่ยิ้มพลางเหน็บแนมจนพอใจแล้ว เสียงของรุ่นพี่โซยอนก็เบาลง แต่ฉันที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี ทำได้เพียงแค่เหม่อมองไปที่รุ่นพี่โซยอน
“ทำไม ตกใจละสิ”
“หมายความว่ายังไง…”
“เธอนี่มันสุดยอดกว่าที่ฉันคิดอีกนะ ต่อหน้าแกล้งทำเป็นใส เป็นคนไร้เดียงสา แต่ลับหลังกลับเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์”
ฉันกลืนน้ำลาย พลางส่ายหัวอย่างแรง
“เข้าใจผิดแล้วละค่ะ ฉันกับอีเซน่ะไม่ได้…”
“จะมาแก้ตัวให้ฉันฟังทำไม เก็บไว้บอกรุ่นพี่อีกงเถอะ”
คำพูดที่มาพร้อมด้วยน้ำเสียงแดกดันปนเสียงหัวเราะสั้นๆ ของรุ่นพี่โซยอนกดลงมาตรงกลางใจฉัน จนมันหนักอึ้งไปหมด
ฉันรีบหันหลังให้ทันที เพราะฉันรู้ดีว่าการที่ได้มาพบเจอกับรุ่นพี่โซยอนแบบนี้ จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
แต่คำพูดของรุ่นพี่โซยอนที่ดังมาจากข้างหลัง ก็ทำให้ขาของฉันที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าต้องหยุดชะงักลง
“ความรู้สึกที่ได้ไปๆ มาๆ ระหว่างพี่กับน้องน่ะ เป็นไงล่ะ คงจะรู้สึกดีจนอยากจะฮัมออกมาเป็นเพลงเลยละสิ”
ฉันกำมือที่สั่นไม่หยุดไว้แน่น พลางหันหลังกลับไปด้วยท่าทีโกรธจัด ชักจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่ว่าก่อนที่ฉันจะพูดอะไรออกไป เสียงกรีดร้องของรุ่นพี่โซยอนก็ดังไปทั่วทั้งซอยในยามเช้าอันแสนเงียบสงบ
“กรี๊ด! อะไรของเธอน่ะ!”
“ให้ตายสิ เห็นว่าเป็นรุ่นพี่เลยยอมให้ แต่ก็ยังกลับมาอาละวาดอยู่ดีสินะ”
ฉันทำได้เพียงแต่มองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยใบหน้าเหลอหลา ไม่รู้ว่าเซจินโผล่มาจากที่ไหน แต่เซจินที่แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำกำลังจิกผมของรุ่นพี่อย่างแรงจากทางด้านหลัง
“ว่าไงนะ? อาละวาดงั้นเหรอ นี่แก!”
“ถ้าไม่อยากผมร่วงหมดหัวก็หุบปากนั่นซะ”
เซจินที่กำลังกัดฟันกรอด ตะเบ็งเสียงใส่รุ่นพี่โซยอน พร้อมกับออกแรงดึงเส้นผมของรุ่นพี่ที่อยู่ในมือ ต่อจากนั้น เสียงกรีดร้องแหลมสูงเหมือนจะขาดใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันรีบเข้าไปห้ามเซจินที่กำลังโมโหได้ที่
“ใจเย็นๆ นะ เซจิน! นะ”
“โอ๊ย ปล่อยนะ วันนี้ได้เห็นดีกันแน่”
“อดทนไว้นะ ขอร้องละ!”
“นี่มันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ปล่อยนะ!”
ถนนกลายเป็นสนามรบไปในพริบตาเดียว เสียงดังวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เหล่าผู้คนในร้านค้าต่างวิ่งกรูกันออกมาดูพวกเราด้วยความตกใจพร้อมกับเอะอะโวยวาย ฉันใช้แรงทั้งหมดที่มีแยกทั้งสองคนออกจากกัน แล้วตะโกนสุดเสียง
“หยุดเลยทั้งสองคน ก่อนที่ฉันจะเรียกอาจารย์มา!”
ในตอนนั้นทั้งรุ่นพี่โซยอนและทั้งเซจินต่างจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายด้วยสภาพผมที่กระเซอะกระเซิง และเสียงหายใจกระหืดกระหอบ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกจากกัน ฉันรีบตรวจดูหน้าของเซจิน โชคดีนะ ดูเหมือนจะไม่ได้มีรอยแผลที่สะดุดตาเป็นพิเศษ ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แล้วหันไปทางรุ่นพี่โซยอน
“…รุ่นพี่คะ ฉันจะไม่บอกให้ขอโทษหรอกนะคะ”
“ว่าไงนะ”
ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนบูดเบี้ยวหนักเข้าไปอีก นั่นจึงทำให้เซจินส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธอีกครั้ง ฉันจับมือของเซจินเอาไว้แต่ตากลับจ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่โซยอน พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
“คำหยาบคายที่รุ่นพี่พูดกับฉัน ไม่ต้องขอโทษหรอกนะคะ เพราะฉะนั้นรุ่นพี่เองก็อย่ามาหาเรื่องฉันอีกจะดีกว่า”
“มันก็เป็นเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ เธอมันก็เป็นแค่ยัยจิ้งจอก ที่ควงทั้งรุ่นพี่อีกงแล้วก็อีเซไว้เล่นสนุกๆ ไม่ใช่รึไงล่ะ!”
“…จะยังไงมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้นก็เชิญแต่งเรื่องไปตามสบายใจเถอะค่ะ”
“ถ้าอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่อีกงจริงๆ เธอยังจะกล้าพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่าน้า ถ้าฉันบอกเรื่องทั้งหมดให้รุ่นพี่อีกงรู้ คิดว่ารุ่นพี่จะคบกับเธอต่อไปรึไง”
“อยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเลยค่ะ”
คำพูดเด็ดขาดของฉันทำให้คิ้วของรุ่นพี่ขมวดมุ่นเข้าหากันเหมือนกับว่าหมดคำที่จะพูดต่อ พร้อมกับจ้องมาที่ฉัน หูรู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาอีกแล้ว
ฉันจับมือเซจินที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไว้ แล้วหันหลังเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร ถึงแม้ว่าจะมีสายตาดุดันของรุ่นพี่โซยอนไล่ตามมาจากด้านหลัง แต่พวกเราก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง
ตลอดเวลาที่เดินบนถนน เซจินไม่พูดอะไรเลยสักคำ พอฉันเอาแต่เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอะไรกับเซจินดี เซจินที่จับมือฉันมาตลอดทางก็หยุดเดิน
“ฮวีกยอม”
“…อือ”
“เมื่อกี้ที่รุ่นพี่โซยอนพูดเป็นเรื่องจริงเหรอ อีเซทำแบบนั้น…กับเธอจริงเหรอ”
เหมือนกับว่าเซจินไม่กล้าพูดคำที่ตัวเองได้ยินออกมาจนจบประโยค สีหน้าของเซจินดูแปลกพิลึก ฉันลังเลสักพัก ก่อนจะพยักหน้าออกไปในที่สุด แล้วต่อจากนั้นเซจินก็พูดว่า ว่าแล้วเชียว พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หมอนั่นเนี่ย ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนั้นในเวลาสำคัญแบบนี้นะ”
“…เธอรู้อยู่แล้วเหรอ”
“มีแค่เธอคนเดียวน่ะสิที่ไม่รู้”
เซจินจิ๊ปากพลางส่ายหน้า เธอนี่มันทึ่มซะจน… หลังจากพูดคำนั้นเสร็จ เซจินก็ขยี้หัวฉันเสียยกใหญ่ ฉันที่ไม่มีอะไรจะแก้ตัว จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบ
โอ๊ย พอได้มายืนอยู่กับเซจินแบบนี้แล้ว เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับอีเซ รวมถึงปัญหาเรื่องเกี่ยวกับหูที่ได้เจอมาเมื่อเช้านี้เป็นเพียงแค่ฝันไปเลยแฮะ ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นแค่ความฝันก็ดีน่ะสิ
“มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจำเป็นจะต้องสนใจหรอกน่า”
“…”
“มันก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ที่เธอชอบรุ่นพี่อีกงน่ะ”
ใช่ เซจินพูดถูก ไม่ใช่ว่าถ้าฉันรู้เรื่องนี้มาก่อน แล้วฉันจะรับรักอีเซสักหน่อย เหมือนกับที่ถ้ารู้อยู่แล้วว่าหูตัวเองจะใช้การไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าฉันจะไม่กลัวสักหน่อย ฉันเผลอยกมือขึ้นมากุมใบหู แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ว่าแต่ว่า ทำไมเธอถึงออกมาเดินเตร็ดเตร่ตั้งแต่เช้าโดยไม่บอกก่อนล่ะ”
“…ก็แค่มาเดินเล่นน่ะ”
“แหม แล้วก็โชคดีซะด้วย”
ฉันหันไปยิ้มหน้าเจื่อนๆ ให้กับเซจินที่พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ภายในหัวของฉันคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว คือขอให้เรื่องทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนถึงวินาทีที่กลับไปถึงเกาหลี ทั้งเรื่องหูของฉัน เรื่องอีเซ และเรื่องรุ่นพี่โซยอนด้วย