สวิตเซอร์แลนด์ในฤดูหนาวถึงจะหนาวกว่าที่คิดเอาไว้ แต่สวยงามมาก ทันทีที่พวกเรามาถึงโรงแรม พวกเราก็หมดแรงและหลับไป ยามเช้าในโลซานน์ที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก จะว่ายังไงดีนะ มันเป็นวิวทิวทัศน์ที่โรแมนติกมากๆ เลย ฉันมองดูหิมะสีขาวที่ทับถมกันและโทนสีของวิวทิวทัศน์ที่เย็นตา พลางยืดเส้นไปด้วย รู้สึกเหมือนว่าตัวเบาสบายกว่าปกติอีกแฮะ
ในหอประชุมซึ่งเป็นที่รวมตัวของนักเรียนทั้งหมดที่เข้าร่วมการแข่งขันที่โลซานน์เต็มไปด้วยความเร่าร้อน จากเสียงซุบซิบกันเบาๆ เริ่มกลายเป็นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มได้รับการแจกจ่ายบัตรหมายเลข และหมายเลขที่จะต้องอยู่ด้วยกันกับฉันไปตลอดช่วงเวลาแข่งขันในอีกห้าวันต่อจากนี้ ก็คือเบอร์เจ็ดสิบสอง
“บรรยากาศนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยเนอะ”
อัจฉริยะอย่างเซจินเองยังดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงยังไง นี่ก็คือการรวมตัวกันของนักเต้นซึ่งถูกเลือกมาจากแต่ละประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้นก็ย่อมต้องมีความกดดันที่มองไม่เห็นและสุดจะบรรยายแฝงเอาไว้อยู่ ทั้งแววตา ทั้งท่าทาง ทุกอย่างไม่ได้แสดงออกมามั่วๆ มันเหมือนกับว่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ คือ ดวงดาวที่ส่องประกาย
“นี่ อย่ากลัวสิ ต้องนั่งด้วยท่าทางมั่นใจ ถึงจะดูดีนะ”
เสียงกระซิบของอีเซทำให้เอวของเซจินตั้งตรงในทันที เซจินที่หันไปมองรอบๆ อย่างมั่นใจ จากนั้นจึงเชิดคางขึ้น หันไปหรี่ตาใส่อีเซ แล้วกระซิบว่า แบบนี้เหรอ ท่าทางการหยอกล้อกันของทั้งสองคนทำให้ฉันหัวเราะในลำคอ แต่แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันเย็นยะเยือกส่งมาจากข้างหลัง
“ช่วยเงียบๆ หน่อยจะได้ไหม แล้วก็อย่าส่งเสียงดังเอะอะด้วย น่าอายจริงๆ”
คนที่ต่อว่าพวกเราด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก็คือรุ่นพี่โซยอนนั่นเอง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่อยู่ในท่ากอดอกพร้อมกับกัดเล็บด้วยความกังวล ดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
พอเซจินทำปากจู๋ พลางตอบว่า ค่า ด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เสียงกระซิบเบาๆ ของอีเซที่ทำให้หูรู้สึกจั๊กจี้ก็ดังต่อขึ้นมา
“รุ่นพี่คนนั้น สงสัยเขาจะเลิกคอสเพลย์เป็นสาวน้อยไร้เดียงสาแล้วสินะ”
อุ๊บ พอเซจินระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา สายตาที่ดุดันยิ่งกว่าเดิมของรุ่นพี่โซยอนก็หันมาทางพวกเรา พวกเราต่างห่อตัวลงแล้วจ้องตากันไปมา ขณะที่เอาแต่ขำออกมาไม่หยุด
นี่ควรจะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่านะ การที่ได้อยู่ด้วยกันกับเพื่อนๆ แบบนี้ ทำให้ฉันเกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าการแข่งขันที่โลซานน์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“โอ๊ะ ดูเหมือนจะย้ายที่แล้ว”
ระหว่างที่พวกเราหัวเราะคิกคักกันเงียบๆ เหล่านักเรียนที่รวมตัวกันอยู่ก็เริ่มตั้งแถวออกไปจากหอประชุม ในที่สุดก็เริ่มสักที ฉันกำบัตรหมายเลข 72 เอาไว้ในมือ แล้วลุกขึ้นจากที่อย่างกระฉับกระเฉง
* * *
การพิจารณาให้คะแนนของโลซานน์จะเริ่มตั้งแต่การรวมตัวเพื่อวอร์มอัพและบาร์เวิร์คในห้องโถง พอมายืนอยู่คนเดียวภายในบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยและภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ มันก็เลยพลอยทำให้การเคลื่อนไหวที่ร่างกายคุ้นชินจนเป็นกิจวัตรกลายเป็นสิ่งไม่เคยชินไปด้วย
ถ้าหากว่าไม่ถูกมือใครบางคนมาจัดท่าจัดทางให้เป็นครั้งคราวละก็ แม้แต่ในห้องโถงที่มีผู้คนมากมายยืนอยู่ ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนเกาะร้าง
เสียงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ฟังดูค่อนข้างแข็งกระด้าง ความกังวลที่สะสมอยู่ในตัว ในตอนที่ฉันรู้สึกได้ว่าฝ่ามือที่กำลังจับบาร์อยู่เริ่มจะเปียกชุ่ม การทำบาร์เวิร์คก็เป็นอันเสร็จสิ้น ฉันประคองร่างกายอันอ่อนล้าขึ้นมา พร้อมกับกระดกน้ำเย็นลงไปอึกใหญ่ นี่เพิ่งจะเริ่มแท้ๆ แต่เหมือนกับว่าสติได้เลือนรางไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อด้วยการทำเซ็นเตอร์เวิร์คที่ทำต่อเนื่องกัน และอยู่ในระดับที่ยากมากทีเดียว ที่สุดของความเหนื่อยล้าที่ไม่เคยรู้สึกแม้แต่ในตอนที่ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายตอนอยู่ที่เกาหลี ทำให้ทุกส่วนของร่างกายกดดันไปหมด บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันตื่นเต้นเกินไปก็ได้
ฉันใช้ปลายลิ้นไล่เลียริมฝีปาก ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างตบลงที่แก้มเบาๆ พร้อมกับเตือนตัวเองภายในใจไม่หยุดว่า มีสมาธิสิๆ
“ฉันรู้สึกอ่อนปวกเปียกไปหมดทั้งตัวเลย”
พอหลังจากเสร็จคลาสในช่วงเช้า พวกเราก็ไปยังโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ที่นั่นมีเสียงโหวกเหวกจากหลายๆ ภาษาทั่วโลกปนกันอยู่อย่างวุ่นวาย เซจินนอนหมอบอยู่บนโต๊ะราวกับกระดาษทิชชู่เปียกน้ำ พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ ติดกัน อีเซที่นั่งอยู่ตรงข้ามเองก็คงจะไม่มีแรงตอบโต้ หมอนั่นจึงเอาแต่ใช้ส้อมเขี่ยอาหารด้วยใบหน้าไร้วิญญาณ
“ฉันอยากกินซุปกิมจิชะมัด”
“อือ ฉันเองก็อยากกินต๊อกพกกี”
“ส่วนฉันอยากกินข้าวยำ ใส่โคชูจังกับน้ำมันงาลงไปเยอะๆ”
บทสนทนาที่รับส่งกันด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เหมือนพูดคนเดียวจบลงด้วยการถอนหายใจ ฉันบิดตัวที่แข็งตึงไปมา ก่อนจะหยิบขนมปังแห้งๆ ที่วางอยู่ในจานขึ้นมา
แต่แล้วในตอนนั้นเอง ใครบางคนที่เดินผ่านโต๊ะของพวกเราไป ก็เหวี่ยงขอบกระเป๋าที่สะพายอยู่มาชนหัวของฉัน ขณะที่ฉันกำลังจะทาเนยลงบนขนมปังพอดี
“โอ๊ย…”
“อุ้ย ขอโทษ”
เจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา ทำให้ฉันหันไปด้วยความตกใจ แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ฉันมองตาค้างจ้องไปที่คนๆ นั้นที่สะพายกระเป๋ายืนอยู่ข้างฉัน
“พอดีตัวเล็กเกินไป เลยมองไม่เห็นน่ะ รู้สึกผิดจัง ทำไงดีน้า”
คนที่ยืนยิ้มหวานพร้อมกับเอามือมาวางบนไหล่ของฉันก็คือรุ่นพี่โซยอนนั่นเอง ฉันกัดฟันกรอดพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น พอเห็นว่าเซจินกำลังแกล้งหัวเราะออกมาอย่างเหลืออด ฉันก็รีบลุกพรวดขึ้นจากที่
“…เซจิน”
“เฮอะ ให้ตายเถอะ…”
เซจินจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อไปยังด้านหลังของรุ่นพี่โซยอนที่เดินนวยนาดไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ โดยทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันพยายามทำให้เธอใจเย็นและนั่งลง แต่อยู่ดีๆ หูข้างที่ถูกกระเป๋าชนก็เจ็บแปลบขึ้นมา
นั่นเลยทำให้ฉันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับยกมือขึ้นมาคลำหู อีเซที่นั่งอยู่ตรงข้ามจึงมองหน้าฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“…นี่ เธอเป็นอะไรน่ะ”
“หา? อ๋อ… ไม่มีอะไรหรอก”
ฉันฝืนยิ้ม พลางส่ายหน้า แต่อีเซดูเหมือนจะยิ่งโกรธขึ้นมา
“ไม่เป็นไรงั้นเหรอ ฮวีกยอม ยัยนั่นเป็นบ้าหรือเปล่าเนี่ย”
“ก็แค่กระแทกถูกนิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ฉันทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันไปยิ้มให้เซจินที่ฟึดฟัดขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ และในตอนที่ฉันเอื้อมไปหยิบขนมปังที่ตกลงบนพื้นนั่นเอง
อีเซที่นั่งเทนมใส่แก้วอยู่เงียบๆ จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา แล้วเดินถือแก้วที่มีนมอยู่เต็ม ค่อยๆ เดินไปทางโต๊ะที่รุ่นพี่โซยอนนั่งอยู่
“นี่ เขาเป็นอะไรของเขาน่ะ”
น้ำเสียงเลิ่กลั่กของเซจินดังเข้ามาในหูเหมือนกับเสียงไซเรน ฉันจับหูที่เริ่มเจ็บขึ้นเรื่อยๆ เอาไว้แน่น พร้อมกับรีบลุกออกจากที่แล้ววิ่งไปทางอีเซ
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ห้ามหมอนั่น นมที่อยู่ในแก้วที่หมอนั่นกำลังถืออยู่ในมือก็ถูกเทราดลงไปบนหัวของรุ่นพี่โซยอนในทันที
“กรี๊ดดด!”
เสียงกรีดร้องของรุ่นพี่โซยอนดังลั่นไปทั่วทั้งโรงอาหาร นั่นจึงทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่รุ่นพี่โซยอนกับอีเซ
ฉันถึงกับชะงักอยู่กับที่แล้วจ้องไปที่อีเซด้วยใบหน้ามึนงง หมอนั่นกำลังเทนมราดลงไปบนหัวของรุ่นพี่โซยอนจนหยดสุดท้ายด้วยสีหน้าเฉยชา
“นายเป็นบ้าหรือไง ทำอะไรของนายเนี่ย!”
รุ่นพี่โซยอนลุกพรวดขึ้นจากที่พร้อมกับทำท่าจะตบหน้าอีเซ เธอจ้องมองอีเซซึ่งอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่สั่นไหวเลยสักนิด ก่อนจะเริ่มแผดเสียงออกมา
“บ้าไปแล้ว! ไม่ใช่แค่บ้านะ นี่มันเรียกว่าเสียสติแล้ว! กรี๊ดดดด!”
“โอ๊ย หนวกหูชะมัด”
พอน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของอีเซดังขึ้นเบาๆ รุ่นพี่โซยอนที่โมโหจนต้องกระทืบเท้า ก็แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างโกรธเคือง
แต่อีเซกลับไม่สนใจท่าทางแบบนั้นของรุ่นพี่โซยอนเลยสักนิด เขาวางแก้วที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะอย่างเสียงดัง ก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มที่ดูสบายๆ
“รุ่นพี่อยากได้ยินคำว่า Ugly Korean รึไงครับ อยู่ในที่สาธารณะก็ควรจะรักษามารยาทหน่อยสิครับ”
“ว่าไงนะ? หน็อย! นี่แกพูดอะไรของแกน่ะ!”
“พอดีอายุสมองของรุ่นพี่ดูจะยังไม่ค่อยโตน่ะครับ ผมก็เลยอยากให้กินเจ้านี่ แล้วก็ช่วยรีบๆ โตสักทียังไงละครับ”
โอ๊ย ฉันเอามือกุมหัวพร้อมกับส่ายหัวไปมา ลีอีเซ นายทำได้ดีมากจริงๆ
* * *
จากเหตุการณ์ที่โรงอาหารทำให้อีเซกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปในทันที ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีแต่สายตาจับจ้อง หลังจากที่ตารางทั้งหมดในวันนั้นจบลง พวกเราก็เดินทางกลับที่พักกัน แต่ระหว่างทางอีเซก็ยังคงไม่หายโกรธเคือง แถมยังทำสีหน้าบึ้งตึง พร้อมกับเบ้ปากอีกด้วย
“ต้องรู้ไว้แล้วละว่าลีอีเซเป็นคนอารมณ์ร้อนน่ะ”
“…เซจิน นี่เธอกำลังยิ้มอยู่งั้นเหรอเนี่ย”
“ทำไมล่ะ ก็มันรู้สึกดีนี่นา”
เซจินดูท่าทางตื่นเต้น ต่างไปจากฉันที่กำลังปวดหัวตุบๆ อีเซ สุดยอด! เธอพูดพลางยกนิ้วโป้งให้ ส่วนฉันกลับรู้สึกอึดอัดไปจนถึงหน้าอก
“ทำอย่างนั้นได้ยังไง ถ้าโดนหมายหัวจะทำยังไง ก่อเรื่องก็มีสิทธิถูกไล่ออกได้ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันเป็นคนหาเรื่องก่อนหรือไงล่ะ ยัยนั่นเป็นคนทำตัวไม่ดีใส่เธอก่อนนะ”
อีเซบ่นอุบด้วยเสียงสูง ต่อจากนั้นหมอนั่นก็เดินผ่านฉันไป แล้วเริ่มเดินนำไปข้างหน้า ฉันบอกให้เซจิน เข้าไปก่อนแล้วจึงรีบวิ่งตามหลังอีเซไป
“อีเซ เดี๋ยวก่อนสิ”
กว่าที่ฉันจะคว้าตัวอีเซซึ่งก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเอาไว้ได้ ฉันก็หอบแฮกๆ ไปเสียแล้ว ในตอนนั้น อีเซชำเลืองมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ที่ฉันพูดก็เพราะว่ากลัวนายจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่างหาก ใช่ว่าอยากจะตำหนิสักหน่อย”
“แล้วใครว่าอะไรละ อยู่ดีๆ จะมาแก้ตัวทำไมเนี่ย”
“ก็นายงอนนี่นา”
อีเซทำปากจู๋ พลางละสายตาจากฉันแล้วหันไปมองทางอื่น ทำสีหน้าเป็นเด็กๆ ไปได้ ฉันเขย่งเท้าแล้วยื่นมือไปลูบหัวของอีเซ
“ขอบใจนะที่โกรธแทนฉัน แต่คราวหน้าอย่าทำอีกละ”
“…”
“เข้าใจไหม”
อีเซที่ขี้บ่นดูน่ารักซะจนฉันเผลอทำน้ำเสียงเป็นคุณครูอนุบาลออกมา ส่วนอีเซที่เอาหน้าซุกอยู่ใต้ผ้าพันคอก็ยักไหล่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร ดวงตาเข้มๆ ของเขาค่อยๆ จ้องมาที่ฉัน
ฉันยิ้มร่าออกมา พลางยืนเขย่งปลายเท้าอีกครั้ง ก่อนจะขยี้หัวของอีเซเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ว่ามือของอีเซที่อยู่แต่ในกระเป๋าเสื้อ จู่ๆ ก็เอื้อมมาจับข้อมือของฉันเอาไว้
ฉันที่ขยับนิ้วมือไปมาอยู่กลางอากาศรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ในทันที หลังจากลังเล ในที่สุดฉันก็เลิกเขย่งเท้า
และแล้วในตอนนั้นเอง ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามือของอีเซออกแรงจับที่ข้อมือของฉันมากยิ่งขึ้น แล้วทันใดนั้น หมอนั่นก็ดึงตัวฉันไปอย่างแรง ฉันจึงเสียหลักล้มคว่ำไปข้างหน้า แล้วอยู่ๆ ก็มีสัมผัสนุ่มๆ เย็นๆ สัมผัสลงตรงหน้าผากของฉัน
สัมผัสที่ไม่คาดคิดมาก่อนนั่นทำให้ฉันตกใจจนผลักตัวอีเซที่อยู่ตรงหน้าออกไปอย่างแรง
เอ้อ คือว่า…ก็นั่นน่ะมันเป็น…ของอีเซนี่นา
“…คิมฮวีกยอม”
น้ำเสียงหนักแน่นของอีเซให้ความรู้สึกแปลกใหม่ หิมะสีขาวที่ทับถมกันอยู่กำลังส่องแสงเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงไฟถนน
“ยัยหัวทึบ”
เสียงของอีเซฟังแตกพร่า ฉันกุมหน้าผากของตัวเองที่ถูกริมฝีปากของอีเซสัมผัสถูกด้วยสีหน้าเอ๋อๆ ดวงตาของอีเซที่ทอดมองมาที่ฉันมันกำลังสั่นไหวด้วยแววตาแห่งความเหงา
* * *
พอฉันหย่อนตัวแช่ลงไปในอ่างอาบน้ำแคบๆ ในที่พัก น้ำอุ่นที่รองไว้เต็มอ่างอาบน้ำก็ไหลลงไปที่พื้น ฉันนั่งกอดเข่าเอาไว้พลางหลับตาแน่น และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อากาศไหลออกมาจากริมฝีปากลงไปบนผิวหน้า ทำให้เกิดการกระเพื่อมเบาๆ กระจายตัวออกไป
‘ฉันจะต้องคว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์ให้ได้ ในแบบที่เท่ยิ่งกว่าพี่’
‘แล้วฉันก็จะสารภาพกับเธออย่างเป็นทางการ ว่าฉันชอบเธอ’
‘ขอโทษนะ ที่จู่ๆ ฉันก็พูดแบบนี้ออกมา’
คำพูดต่างๆ ที่น่าเหลือเชื่อซึ่งออกมาจากปากของอีเซ คอยแต่วนเวียนอยู่ภายในหัวของฉัน ฉันซบหน้าลงบนหัวเข่า พลางถอนหายใจยาวๆ ออกมาอีกครั้ง
“…ทำเกินไปแล้วนะ ลีอีเซ”
เสียงวิ้งๆ ดังไปทั่วห้องน้ำแคบๆ เป็นอีกครั้งที่ฉันเอามือทั้งสองข้างขึ้นป้องหูที่รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา ก่อนจะเอาหน้าดำลงไปในน้ำ ลมหายใจอุ่นๆ กลายเป็นฟองอากาศลอยขึ้นมา
* * *