หลังจากกลับมาจากทริปเลี้ยงฉลอง พวกเราก็กลับเข้าสู่ชีวิตประจำวันอีกครั้ง คลาสเรียนซ้ำๆ ทุกวัน ฝึกซ้อม แล้วก็ความเงียบสงบซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้รู้สึกเบื่อ
อาจจะเป็นเพราะอากาศที่เริ่มเย็นลง ลมที่พัดมาในตอนเช้ากับตอนเย็นจึงโชยกลิ่นอ่อนๆ เย็นๆ ของผลไม้ตระกูลซิตรัส[1]ออกมา กลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงที่แม้จะนุ่ม แต่ก็ซาบซ่า
“อยากกินส้มจัง”
“เออ ฉันก็เพิ่งจะคิดแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน!”
ฉันใส่เสื้อไหมพรมกับกางเกงวอร์ม เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นในขณะที่กำลังวอร์มอัพ ฉันสนับสนุนคำพูดของเซจินที่จู่ๆ ก็พูดลอยๆ ขึ้นมาขณะนั่งอยู่ข้างกัน พอเข้าช่วงนี้ทีไรก็จะคิดถึงส้มขึ้นมาทุกที ถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง ก็ต้องเป็นส้มสินะ
ฉันใช้ปลายลิ้นที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายเลียริมฝีปากที่แห้งผากเพราะอากาศแห้งๆ ก่อนจะโค้งตัวอย่างช้าๆ
“เฮ้อ อยากให้ถึงปีหน้าเร็วๆ จัง”
“ทำไมล่ะ”
“ก็อยากให้การแข่งที่โลซานน์จบลงเร็วๆ น่ะสิ ความกังวลมันทำให้เสียสุขภาพจิตน่ะ”
“แหม ดูท่าจะมั่นใจว่าจะได้ไปสวิตนะเนี่ย”
ถึงฉันจะแกล้งพูดหยอกเล่นๆ แต่ความจริงแล้ว ถ้าเป็นเซจินล่ะก็ ฉันก็คิดว่าน่าจะสามารถผ่านเข้ารอบชิงไปได้สบายๆ ถ้าสามารถไปด้วยกันได้ล่ะก็ พวกเราก็จะได้คอยให้กำลังใจกันด้วย คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ
“แน่นอนสิ พวกเราต้องได้ไปด้วยกันอยู่แล้ว เตรียมตั๋วเครื่องบินรอไว้เลย”
เซจินหัวเราะ พลางตีหลังฉันเบาๆ ฉันคิดถึงคำพูดของเซจินอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ที่จริงฉันกำลังพยายามไม่นึกถึงวันประกาศผลที่ใกล้จะมาถึงนี้อยู่
ถึงฉันจะประกาศกร้าวไปต่อหน้ารุ่นพี่อีกงว่าจะไปโลซานน์ให้ได้ก็เถอะ แต่ความไม่มั่นใจก็คือไม่มั่นใจนั่นแหละนะ ความกล้าที่จะท้าทายกับความมั่นใจน่ะมันต่างกันนะ ฉันบ่นพึมพำในใจ
“นี่ วอร์มร่างกายไว้เยอะๆ เลย ถ้าข้อเท้าพลิกนิดเดียวล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่”
“รู้แล้วล่ะน่า”
เซจินทำปากจู๋ใส่เมื่อได้ยินฉันตอบอย่างไม่ใส่ใจ ฉันจึงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเมื่อได้เห็นท่าทางน่ารักนั่น ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่ แล้วจับขา หลังจากนั้นจึงทิ้งตัวลงไปอย่างเต็มที่
ในฤดูแบบนี้ หากไม่วอร์มอัพร่างกายให้พิถีพิถันมากกว่าเดิมก็จะทำให้ได้รับบาดเจ็บเสมอ เป็นเพราะอากาศที่เย็นลง เลยทำให้กล้ามเนื้อหดตัวมากกว่าปกติ เมื่อก่อนฉันเคยฝึกซ้อมโดยที่ไม่ยอมวอร์มร่างกายให้ดีก่อน จึงได้รับบาดเจ็บเล็กๆ ก่อนการแข่งขัน ดังนั้นพอถึงช่วงนี้ทีไร ฉันก็จะยิ่งรู้สึกกังวลเป็นพิเศษ
“ว่าแต่ ไม่เห็นซูฮยอนเลยแฮะ”
“อ๋อ เมื่อกี้เห็นบอกว่าจะแวะห้องพักอาจารย์ก่อนน่ะ”
“ห้องพักอาจารย์ ทำไมเหรอ”
“ไม่รู้สิ เห็นบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับอาจารย์น่ะ”
เซจินยักไหล่ ต่อจากนั้นก็ลากบาร์ที่ตั้งวางติดอยู่ตรงกำแพงออกมา ในไม่ช้าอาจารย์กับซูฮยอนก็เดินเข้ามาในห้องซ้อมเต้นพร้อมกัน พวกเราจึงรีบจัดบาร์ให้เข้าที่ แล้วมายืนประจำที่ของตัวเอง
ซูฮยอนเหมือนจะชำเลืองมองมาที่เซจินสักพัก ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองตรงแล้วจับบาร์เหมือนกับทุกครั้ง พอเริ่มทำบาร์เวิร์ค มันก็จะติดเป็นนิสัยที่ฉันจะเอาแต่โฟกัสไปที่ภาพของตัวเองในกระจกโดยที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น
* * *
ต้นเดือนพฤศจิกายน จำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม จนโถงของอคาเดมีแน่นขนัด แต่แล้วขาของฉันก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นรุ่นพี่โซยอนท่ามกลางผู้คนที่ออกมาจากห้องซ้อมเต้น
ครั้งแรกที่ฉันเห็นรุ่นพี่โซยอน ก็คือวันแรกที่เริ่มเรียนคลาสสิกใหม่ ในตอนที่ฉันเห็นรุ่นพี่โซยอนกำลังวอร์มอัพอยู่ในที่ไม่มีใครอยู่ ฉันรู้สึกตกใจเอามากๆ
แต่รุ่นพี่โซยอนกลับไม่สนใจคนอย่างฉันเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องเรียกว่า ไม่แม้แต่จะทำเป็นรู้จักกันด้วยซ้ำ ก็นะ อย่างน้อยฉันก็คาดเอาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นประมาณนี้
“ขอบคุณค่ะ/ครับ”
“ขอบใจทุกคนมาก”
ห้องซ้อมเต้นที่เคยเสียงดังอึกทึก จู่ๆ ก็เงียบลง ฉันยืนเหม่อมองไปที่ประตูที่ถูกปิดไปแล้วสักพักหลังจากที่เหล่านักเรียนเดินออกไปเหมือนกับคลื่นเวลาน้ำลง ก่อนจะค่อยๆ ปลดเสื้อคาร์ดิแกนที่ผูกอยู่ที่เอวลงอย่างเชื่องช้า
เป็นเพราะสัญญากับรุ่นพี่อีกงเอาไว้ว่าพวกเราจะกลับบ้านพร้อมกัน ฉันเลยวางแผนว่าจะรอจนกว่ารุ่นพี่จะซ้อมเสร็จ อีกไม่กี่วันก็จะถึงการแข่งขันเต้นโมเดิร์นครั้งแรกของรุ่นพี่แล้ว ตอนนี้เลยถือว่าเป็นการซ้อมในโค้งสุดท้าย
เพราะว่ามัวแต่อืดอาด ฉันเลยออกมาจากห้องซ้อมเต้นเป็นคนสุดท้าย หลังจากเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด ฉันก็หยิบขวดน้ำออกมาจากล็อกเกอร์ แล้วดื่มมันจนหมดด้วยท่าทียืดยาด ไม่ใช่แค่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบร้อนหรอกนะ แต่อีกเหตุผลก็เป็นเพราะว่าฉันไม่อยากเจอกับรุ่นพี่โซยอนที่อยู่ในห้องอาบน้ำนั่นแหละ
ทำไมจู่ๆ รุ่นพี่โซยอนถึงได้มาที่อคาเดมีกันนะ รุ่นพี่โซยอนน่าจะมีที่ซ้อมประจำของตัวเองนี่นา
“เฮ้อ…”
พอละปากออกจากขวดน้ำที่ว่างเปล่าก็ถอนหายใจยาวออกมา หากจะมีเหตุผลที่ทำให้รุ่นพี่โซยอนมาที่นี่ก็คงเป็นเพราะรุ่นพี่อีกงนั่นแหละ พูดแล้วก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่มุมหนึ่งของหัวใจเลยแฮะ ฉันกำขวดน้ำที่ถืออยู่ในมือเอาไว้แน่น จะว่าไงดี แบบว่ามันรู้สึกไม่พอใจมากๆ น่ะ
ฉันถอนหายใจออกมาดังๆ พลางยัดขวดน้ำที่ว่างเปล่าใส่เข้าไปในกระเป๋า หลังจากถอดคาร์ดิแกน ชุดลีโอตาร์ด และกางเกงวอร์มทีละชิ้นเสร็จแล้ว ฉันก็ยัดมันใส่เข้าไปในล็อกเกอร์
ระหว่างที่เดินผ่านผู้คนที่เพิ่งออกมาจากห้องอาบน้ำพร้อมกับกำลังสะบัดผมที่เปียกชุ่ม ฉันรีบเข้าไปจับจ้องห้องน้ำที่กำลังว่างอยู่ แล้วจึงยกคันโยกขึ้น
สายน้ำอุ่นๆ สาดลงมาดัง ซ่า พร้อมกับไหลลงบนหัว ฉันใช้ฝ่ามือถูกระจกที่มีไอน้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด ใบหน้าของฉันมีหยดน้ำเกาะเต็มจนมองแทบไม่ชัด
หลังจากเสยผมที่ติดอยู่ตรงแก้มขึ้นไป ฉันก็ยืนจ้องมองกระจกที่เต็มไปด้วยหยดน้ำอย่างเหม่อลอย
“ฮวีกยอม ตอนออกมาอย่าลืมปิดไฟด้วยนะ”
“อ๊ะ ค่ะ!”
ฉันตอบรับเสียงของอาจารย์ที่ดังออกมาจากนอกห้องอาบน้ำ ในตอนนั้นเองที่ฉันได้สติกลับมา แล้วจึงรีบฟอกสบู่ทั่วทั้งตัว เสียงน้ำที่หยดลงมาจากฝักบัวดังราวกับเสียงฟ้าร้อง
ความรู้สึกมึนหัวที่เหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นมาทำให้ฉันรีบอาบน้ำก่อนจะออกมา จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูพันผมที่ยังไม่ทันแห้งดีเอาไว้ พร้อมกับรีบหยิบเสื้อหลายตัวขึ้นมาใส่
“บรึ๋ยย หนาวจัง”
อากาศในห้องเปลี่ยนเสื้อที่เย็นยะเยือกโอบล้อมอยู่รอบร่างกายที่ยังไม่แห้งสนิท ด้วยความที่กลัวว่าจะเป็นหวัด ฉันจึงค่อยๆ เป่าผมจนแห้ง แล้วใส่เสื้อโค้ท หลังจากที่ส่องกระจกที่ติดอยู่ในล็อกเกอร์ พลางหวีแล้วมัดผมขึ้นไป ฉันก็มองหากิ๊บติดผมที่รุ่นพี่อีกงให้เป็นของขวัญ ฉันติดเอาไว้ที่สายกระเป๋า
“…เอ๋”
ฉันรู้สึกงงขึ้นมาทันที เพราะว่าไม่มีอะไรติดอยู่ที่สายสะพายกระเป่าเลยน่ะสิ
“ก็ฉันติดมันไว้อยู่ตรงนี้นี่นา…”
ฉันเริ่มหากิ๊บติดผมในกระเป๋า แน่นอนว่ารวมไปถึงภายในล็อกเกอร์อย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่เจอกิ๊บติดผมที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเลย ถึงจะลองหาทุกที่ ทั้งห้องเปลี่ยนเสื้อ และห้องอาบน้ำ ก็หาไม่เจอเหมือนกัน
ฮือออออ วินาทีนั้นหัวใจของฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ฉันทรุดนั่งลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น
“หายไปซะแล้ว”
อ๊า ฉันครวญครางออกมาพลางดึงทึ้งหัวตัวเอง ซุ่มซ่ามจนก่อเรื่องอีกแล้วสิเรา น้ำตามันเหมือนจะทะลักออกมาซะตอนนี้ ทำไงดี ฉันรู้สึกโกรธในความน่าสมเพชของตัวเอง
“…ยัยโง่เอ๊ย”
ยัยโง่ ยัยบ้า ฉันเอาแต่ตีอกชกหัวตัวเอง ก่อนที่สุดท้ายจะนั่งกอดเข่าแล้วเอาหน้าซุกลงไป คิมฮวีกยอม ยัยโง่ ยัยโง่
* * *
ฉันย่ำเท้าออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้ออย่างหมดแรง และมานั่งลงบนม้านั่งข้างหน้าอคาเดมีที่ฉันได้นัดกับรุ่นพี่เอาไว้ อากาศยามค่ำที่มืดลงเรื่อยๆ หนาวจนเหมือนจะเป็นน้ำแข็ง
ฉันติดกระดุมคอเสื้อโค้ท พลางเอาหน้ามุดเข้าไปข้างในเสื้อ ความหดหู่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังจมดิ่งลงไปในน้ำ
ฉันลูบคลำหัวที่ว่างเปล่า พลางเม้มปากเอาไว้แน่น จะบอกรุ่นพี่ว่ายังไงดีนะ
“ยัยโง่เอ๊ย”
ฉันเริ่มโทษตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับที่หลับตาทั้งสองข้างและหายใจออกมายาวๆ ความปวดแสบที่ปลายลิ้นปี่ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอึดอัด
ฉันเอาหน้ามุดลงไปที่คอเสื้อโค้ทลึกยิ่งขึ้น และในตอนที่ฉันเอาแต่ถอนหายใจ ฉันก็รู้สึกได้ถึงมือที่จู่ๆ ก็มาโอบรอบคอของฉันจากทางด้านหลัง พร้อมกันนั้นกลิ่นที่คุ้นเคยก็โชยส่งมา กลิ่นจางๆ ของอาคาเซียที่มักปนมากับกลิ่นของค่ำคืนในฤดูหนาว ฉันจึงหันหน้าไปดูด้วยความตกใจ
รุ่นพี่ยิ้มบางๆ พลางเอนตัวอย่างเต็มที่จากข้างหลังม้านั่งมาทางฉัน เขาใส่เสื้อจั๊มเปอร์ที่ปิดอย่างมิดชิดทับเสื้อเชิ้ตที่กลัดกระดุมจนถึงคอ
ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ขยับเข้ามาใกล้มากๆ โดนอากาศหนาวๆ เล่นงานจนแห้งไปหมด ฉันพยายามลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อกี้ไปให้หมด แล้วมองจ้องรุ่นพี่ในสภาพร่างไร้วิญญาณ
ในตอนนั้น ฉันที่กำลังไม่ระวังตัวก็ถูกอะไรนุ่มๆ มาสัมผัสเข้าที่ริมฝีปากของตัวเองดังจุ๊บ ก่อนจะผละออก สัมผัสกะทันหันนั่นทำให้ตาของฉันเบิกโพลงในชั่วพริบตา สติที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ บินกลับเข้ามาประจำที่ของตัวเอง รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังมองมาที่ฉันพร้อมกับรอยยิ้ม
“…อะไรกันคะ รุ่นพี่”
เสียงบ่นเคอะเขินของฉันทำให้รุ่นพี่พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“นี่คือคำเตือนให้เธอมีสติเวลาไปไหนมาไหนไงล่ะ ถ้าเอาแต่ไม่ระวังตัว แล้วก็ไร้สติแบบนี้บ่อยๆ ก็จะต้องโดนโจมตีแบบนี้แหละ”
“…”
“ยัยหัวช้าเอ๊ย”
รุ่นพี่หัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำไม่อยู่ พลางดีดหน้าผากของฉันเบาๆ ทันทีที่สัมผัสของมือรุ่นพี่แตะลงบนหัวของฉัน ฉันก็คิดถึงเรื่องกิ๊บติดผมที่หายไป แล้วก็เริ่มรู้สึกหดหู่ขึ้นมา หัวใจที่เต้นรัวจนถึงเมื่อกี้สงบลงไปราวกับเป็นเรื่องโกหก
รุ่นพี่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นใบหน้าที่ดูหม่นลงในชั่วพริบตาของฉัน เขาจึงค่อยๆ คลายแขนที่คล้องอยู่ที่คอของฉัน พลางขมวดคิ้ว
“เป็นอะไรไปน่ะ”
“…คะ”
“มีอะไรงั้นเหรอ สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ”
“เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ไม่ได้ จะบอกไม่ได้ ฉันส่ายหัวเบาๆ พลางเอามือกำผ้าพันคอที่พันอยู่รอบคอเสื้อคลุมด้านใน จี้เล็กๆ ทรงกลมเลื่อนมาแตะอยู่ตรงฝ่ามือ
“…สงสัยจะรอนานสินะ หน้าเย็นเชียว”
อยู่ๆ มือของรุ่นพี่ก็ยื่นมากุมแก้มเย็นๆ ของฉัน รุ่นพี่คงจะสังเกตเห็นได้ว่าฉันกำลังรู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงไม่ถามอะไรต่อ แล้วเปลี่ยนเรื่อง น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นพอๆ กับมือเลยล่ะ
ฉันพยายามเกร็งตาที่น้ำตาเหมือนจะพรั่งพรูออกมา ก่อนจะกะพริบเปลือกตาแรงๆ
ใบหน้าของรุ่นพี่แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมาเมื่อมองมาที่ฉันซึ่งแสดงท่าทางแบบนั้น ดูท่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ทั้งบัลเลต์ ทั้งความรัก ทั้งสีหน้า ทั้งการกระทำ หรือแม้กระทั่งการซ่อนความรู้สึกของตัวเอง
รุ่นพี่วางมือลงบนหลังม้านั่ง แล้วกระโดดพรวดข้ามมายืนอยู่ข้างหน้าฉัน ต่อจากนั้นก็ยื่นมือมาทางฉัน
“ไปกันเถอะ ดึกแล้ว”
[1] ผลไม้ตระกูลซิตรัส อาทิเช่น มะนาว เลม่อน ส้ม เป็นต้น