ควรจะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดีนะ ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปตอนครั้งแรกล่ะก็ คงจะเป็นตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นประถม ณ สนามกีฬาของโรงเรียนในยามเย็น เด็กน้อยคนนั้นที่นั่งอยู่บนยอดของเครื่องเล่นปีนป่าย กำลังใช้กำปั้นเล็กๆ ถูเข้าที่ตาอย่างแรง และร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเสียง ตัวที่เล็กจิ๋วกับผมสีดำขลับที่ถักเอาไว้อย่างเรียบร้อย แล้วก็กระเป๋าทรงกลม
ผมเดินเข้าไปใกล้เธอโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่ได้ชวนเธอคุยอะไรเลยสักนิด ได้แต่ยืนจ้องมองเด็กคนนั้นอยู่นิ่งๆ จนเมื่อเงาที่ทอดยาวของผมคล้อยต่ำลง เด็กนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองผม
ตอนนั้นผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนนะ จำไม่ได้เลยแฮะ แต่ว่าผมจำใบหน้าของเด็กคนนั้นได้อย่างชัดเจนเลยล่ะ ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยน้ำตา และใบหน้าสีแดงแจ๋ สีหน้าในตอนนั้นที่เธอจ้องมองผม ต่อให้พยายามลืม ก็ลืมไม่ลงเลยจริงๆ
ทั้งไฝเล็กๆ ที่อยู่ใต้ตาข้างขวา ทั้งฟันหน้าเล็กๆ ที่กัดริมฝีปากเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมา ทั้งเส้นผมที่เปียกคราบน้ำตาจนมาแปะอยู่ที่แก้ม
เด็กคนนั้นที่จู่ๆ ก็กระโดดพรวดลงมาจากเครื่องปีนป่าย ก่อนจะรีบหันหลังขวับ แล้วเดินออกห่างจากผมไป ตอนแรกมันก็เป็นเพียงแค่ความสงสัยเท่านั้น ทำไมถึงร้องไห้กันนะ แล้วก็ทำไมถึงต้องพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาขนาดนั้น แต่ว่าพอเอาเข้าจริง เมื่อเด็กคนนั้นหายไปแล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรหลงเหลือค้างคาอยู่ภายในใจของผมอีก
“แล้วไงต่อ แค่เนี่ยนะ”
ในวันสุดท้ายของปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ การเป็นนักเรียนชั้นปีที่สามของแผนกมัธยมต้นรออยู่ข้างหน้า ผมกำลังนั่งอยู่บนดาดฟ้าบ้านเพื่อนและมองดูท้องฟ้ายามดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงตาของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่องเป็นประกาย คำถามถึงเหตุการณ์ต่อไปจากปากเพื่อนทำให้ผมได้แต่หัวเราะออกมาแทนคำตอบ
ดูจากกระป๋องเบียร์ที่วางเอียงๆ อยู่นั่น ผมคงจะเริ่มเมาขึ้นมานิดๆ แล้ว จู่ๆ พอได้ลองพูดถึงเด็กคนนั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของอดีต มันก็ทำให้หน้าอกจั๊กจี้ขึ้นมาอย่างประหลาด
“หลังจากนั้นก็เป็นที่สวนสาธารณะ”
“สวนสาธารณะ?”
“หมายถึงสวนสาธารณะข้างๆ ป้ายรถเมล์ที่มีลานน้ำพุน่ะ”
ผมจำได้ว่าวันนั้น หลังจากที่ถูกพ่อแม่ดุ ผมก็วิ่งออกจากบ้านด้วยความโกรธจัด วิ่งอย่างกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง จนมาถึงสวนสาธารณะ ผมในตอนนั้นยังเด็กเอามากๆ เลยไม่เข้าใจว่าความว่างเปล่าและความอึดอัดที่สะสมอยู่ข้างในว่ามันคืออะไร
การใช้ชีวิตที่ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ เหมือนวงล้อ นอกจากบัลเล่ต์แล้ว ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย การกลายเป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเรียบร้อยตามความคาดหวังของพ่อแม่คงจะเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินกำลังของผมในวัยเด็ก ก็นะ ถึงตอนนี้จะยังเด็กอยู่ก็เถอะ
ผมที่ยังไม่รู้วิธีการแก้ไขความอึดอัดนั้น จึงเอาแต่เต้นอย่างบ้าคลั่งจนกว่าจะเหนื่อยไปเอง หรือจนกว่าจะสามารถหลับไปโดยที่ไม่คิดอะไร ผมเอาแต่เต้นแล้วเต้นเล่าอยู่หลายรอบ
วันนั้นเองก็เช่นกัน ผมหลับหูหลับตาวิ่งไปจนถึงสวนสาธารณะ และในตอนที่ผมเต้นจนเหงื่อออกท่วมไปหมด เด็กคนนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าผมราวกับเป็นเรื่องโกหก
ส่วนสูงที่ดูสูงขึ้นจากตอนนั้นนิดหน่อย แก้มที่แดงเปล่งปลั่ง ดวงตากลมโต และไฝเล็กๆ ที่อยู่ข้างใต้ตานั่น ถึงจะอยู่ในความมืดแต่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กคนนั้น
ดวงตาที่มองมาที่ผมและกลอกไปมาอย่างแปลกพิลึกดูน่ารักอย่างประหลาด อ่า พอลองคิดดูแล้ว เหมือนตอนนั้นผมจะคิดอย่างนั้นสินะ คิดว่า วันนี้ไม่ได้ร้องไห้นี่นา
มือข้างหนึ่งถือไฟเย็นที่กำลังไหม้ขึ้นไป ส่วนมืออีกข้างก็ถือไอศกรีมรสแตงโมที่กินจนเกือบหมดแท่ง พลางจ้องมองผมด้วยท่าทางเหม่อลอย ใบหน้าของเด็กคนนั้นกำลังเปล่งประกาย เพราะอะไรกันนะ ผมเผลอเดินเข้าไปใกล้เด็กคนนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวอีกแล้ว ก่อนจะเอ่ยถาม
“ฉันถามเธอไปว่า ‘ชอบบัลเลต์ไหม’”
“ว้าว เอาจริงดิ”
“ก็ตอนนั้นน่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น แต่คงเป็นเพราะว่าคิดคำอื่นไม่ออกแล้วล่ะมั้ง”
ผมหัวเราะคิกคัก พร้อมกับบี้กระป๋องเบียร์ที่ว่างเปล่า ในตอนที่ผมได้ตระหนักว่าตัวเองค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว และผมก็เริ่มคุ้นเคยกับการแสดงเป็น ‘นักเรียนดีเด่น’ ตามที่พ่อแม่คาดหวังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แม้ว่าผมจะแสดงการต่อต้านเล็กๆ อย่างเช่นการแอบดื่มเหล้าแบบนี้ แต่วินาทีที่ผมกลับเข้าไปในบ้าน ผมก็จะกลับมาเป็นนักเรียนดีเด่นอย่างเต็มตัว ลูกชายคนโตที่โตมาอย่างดีและเรียบร้อย นักเต้นที่ได้รับการคาดหวัง และนักเรียนที่แสร้งทำเป็นสมบูรณ์แบบ
“แล้วยัยเด็กคนนั้นพูดว่าอะไรล่ะ”
“ก็แค่ พยักหน้าหงึกๆ น่ะ ที่จริงคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมายถึงอะไร”
“น่ารักจังแฮะ”
เพื่อนของผมหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะนอนหงายลงไปบนแคร่ไม้ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า พอผมลองนอนเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ข้างๆ หมอนั่น ก็ได้เห็นว่าทั่วทั้งท้องฟ้ายามเย็นเต็มไปด้วยสีของลูกพลับสุก
พอได้นึกย้อนไปแล้ว ตอนนั้น เด็กนั่นร้องไห้หนักมากเลยล่ะ เอาแต่บอกว่าเจ็บเพราะไฟเย็นหล่นลงไปอยู่ที่หลังเท้า แล้วก็ร้องไห้แงๆ ทันทีที่ความทรงจำผุดขึ้นมา ผมก็หลุดหัวเราะออกมา เพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆ จึงหันมามองผม แล้วถามว่า
“งั้น เด็กนั่นก็เป็นรักครั้งแรกของนายงั้นสิ”
“…นั่นสินะ”
รักครั้งแรกงั้นเหรอ ผมขุดคุ้ยความทรงจำอันแสนห่างไกลอีกครั้ง
ตอนที่ได้พบกับเด็กคนนั้นอีกครั้งคือตอนชั้นประถมปีที่หก วันสุดท้ายของวันกีฬาสี ตั้งแต่ที่เริ่มเต้นบัลเลต์มา ผมก็ไม่เคยได้เล่นกีฬาแบบที่เด็กรุ่นเดียวกันเล่น ไม่ว่าจะเป็นเบสบอล ฟุตบอล การวิ่งที่เร็วจนเกินไป หรือชกต่อยยิ่งแล้วใหญ่
ไม่สิ ต้องเรียกว่าไม่สามารถเล่นได้ถึงจะถูก นั่นเป็นเพราะคำสั่งสอนของพ่อแม่ที่บอกว่าสำหรับนักเต้นแล้ว ถึงแม้จะเป็นบาดแผลเล็กๆ ก็ยังถือว่าเป็นอันตรายร้ายแรง
วันนั้นก็เหมือนกัน ผมเป็นเพียงแค่ผู้ชมที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งเท่านั้น ในตอนที่กำลังมองลงไปที่สนามอย่างไม่ได้สนใจอะไร ผมก็ได้เห็นเด็กคนนั้นยืนอยู่ข้างหน้าเส้นชัยของลู่วิ่งที่ถูกวาดด้วยเส้นสีขาว ดูท่าเธอน่าจะรับหน้าที่แจกจ่ายธงประจำลำดับสินะ ที่ลู่วิ่ง การแข่งขันวิ่งผลัดถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว
ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม แต่ผมวิ่งลงไปที่สนามกีฬา แล้วบอกกับคุณครูว่า อยากวิ่งเป็นไม้สุดท้ายของการวิ่งผลัด และดูเหมือนผมจะตั้งใจวิ่งมากซะด้วย
เป็นเพราะผมอยากเข้าถึงเส้นชัยเป็นคนแรก เพราะผมอยากจะรับธงลำดับที่หนึ่งที่เด็กคนนั้นเป็นคนถือ ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าอยากรับธง ต้องบอกว่าบางทีผมอาจจะอยากพูดคุยกับเด็กคนนั้นอีกสักครั้งก็ได้นะ
“เด็กนั่นสวยงั้นเหรอ แกถึงได้คิดอย่างนั้นทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันแค่สามครั้งเอง”
“…สวยไหมนะ นั่นสิ ก็ไม่ได้ถึงกับสวยอะไรนะ”
“แน่ะๆ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตามันก็แค่คอยแต่จะมองตามตลอด”
“อาการหนักนะเนี่ย”
ผมหัวเราะออกมาสั้นๆ ตามเพื่อนที่หลุดขำออกมา แล้วจ้องมองอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าอย่างเหม่อลอย
“มันก็เป็นแค่เรื่องสมัยเด็ก ถ้าบอกว่าเป็นรักครั้งแรก มันไม่ดูยังไงๆ ไปหน่อยเหรอ”
“หือ พูดอย่างกับแกรู้ว่ารักคืออะไรงั้นแหละ”
หมอนั่นแทงศอกลงมาที่สีข้างของผม พลางหัวเราะอย่างกับว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ก่อนจะเอามือมาขยี้หัวของผมจนยุ่งอย่างหยอกล้อ ผมหน้าม้าที่ยาวอย่างเห็นได้ชัดเอาแต่ลงมาปรกตาตลอด
“เออ ใช่ แกมีแสดงพรุ่งนี้ในพิธีปฐมนิเทศนี่”
“อ๋อ อือ”
“พวกผู้หญิงเอะอะใหญ่เลยล่ะ แล้วก็เอาแต่ กรี๊ดดด อ๊ายยย อีกงสุดเซ็กซี่ของพวกเราจะถอดท่อนบนด้วยล่ะ”
“…อย่าเลียนแบบดิ ขนลุก”
การล้อเลียนของเพื่อนทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว หลังจากพยุงร่างที่นอนหงายอยู่ให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ผมเห็นท้องฟ้าสีครามในยามค่ำอยู่ที่ปลายสุดของดวงอาทิตย์ที่ตกลงไป ผมใช้ปลายลิ้นลิ้มรสขมๆ ของเบียร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ขอบปาก พลางหยิบกระเป๋าที่แผ่อยู่บนพื้นขึ้นมา ตอนนี้ได้เวลากลับไปเป็นนักเรียนดีเด่นแล้ว
* * *
นั่นมันเรื่องจริงเหรอเนี่ย การพบกันอีกครั้งแบบที่คาดไม่ถึงเลยสักนิด หลังจากที่การแสดงเพื่อแสดงความยินดีกับนักเรียนใหม่จบลง ผมก็หันไปโค้งให้กับผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่วินาทีที่เงยหน้าขึ้นมา เด็กคนนั้นเข้ามาอยู่ในสายตาของผมอย่างกับเป็นเรื่องโกหก
เสี้ยววินาทีนั้น เหมือนเวลาได้หยุดลง ทั้งเด็กที่อัดแน่นกันอยู่เต็มห้องประชุม และเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องไปทั่วได้เงียบหายไป ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเหลือเพียงแค่ผมและเด็กคนนั้น ทำให้ผมหายใจติดขัด
ดวงตาที่โตกว่าคนปกติ ดวงตานั้นที่จ้องมองมาที่ผมอย่างเปล่งประกาย และไฝที่เล็กจนเกือบจะมองไม่เห็น กับแก้มสีแดงระเรื่อ เพราะไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดจึงทำให้ผมสามารถจำเธอได้ตั้งแต่ครั้งแรก เธอยังคงตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน นั่นเลยทำให้เธอได้นั่งอยู่ข้างหน้าสุด และในตอนที่ผมได้พบกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง ผมก็ได้รู้ตัวว่าหัวใจของผมกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ใช่แล้ว นี่น่ะเป็นเพราะการเดินทางเข้าไปในความทรงจำเมื่อวานแน่ๆ เพราะเอาแต่พูดถึงเรื่องน่าเบื่อ อย่างเช่น รักครั้งแรกหรืออะไรเถือกๆ นั้น เลยกลายเป็นแบบนี้แน่เลย เด็กนั่นก็เป็นเพียงแค่รุ่นน้องที่หลงเหลืออยู่ภายในความทรงจำอันเลือนรางที่ผมให้ความสนใจนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
แต่ว่าถึงมันจะแปลกก็เถอะ ผมกลับจ้องมองเด็กคนนั้นไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างๆ รอยยิ้มที่ลืมเลือนไปเนิ่นนาน
พอเด็กคนนั้นวางมือลงตรงเข่าหลังจากปรบมือเบาๆ เสร็จแล้ว ผมก็ได้เห็นป้ายชื่อของเธอที่ติดอยู่ตรงด้านซ้ายของแจ็คเก็ตนักเรียน ชื่อนั้นที่ถูกปักเอาไว้แน่นด้วยด้ายสีเหลืองสะดุดตาของผมอย่างจัง
‘คิมฮวีกยอม’
นั่นคือชื่อของเด็กคนนั้นนั่นเอง
* * *
มักจะมีกลิ่นแตงโมลอยออกมาจากตัวฮวีกยอมเสมอ ผมคิดไปว่าเธอเป็นเด็กที่เหมือนกับฤดูร้อน คงเป็นเพราะว่าเธอดูเหมาะกับเสื้อผ้าฤดูร้อนมากกว่าเสื้อผ้าฤดูหนาวหรือเปล่านะ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะกลิ่นแตงโมล่ะมั้ง ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ชอบฤดูร้อนก็เถอะ
“เห็นบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรดีๆ น่ะค่ะ บอกว่าเป็นลางร้าย หรืออะไรเนี่ยแหละ”
เซจิน รุ่นน้องที่มาสนิทกันโดยไม่ทันรู้ตัวพูดเสริมขึ้นอีกว่า ‘นั่นคือทั้งหมดเท่าที่ฉันรู้ค่ะ’ ในตอนที่ผมได้รู้ว่าฮวีกยอมเต้นบัลเลต์ ตอนนั้นหัวใจของผมเต้นรัวขึ้นอย่างประหลาด มันเหมือนกับความตื่นเต้นเมื่อครั้งแรกที่ได้เรียนเต้นที่สถาบันสอนเต้น
ผมคิดว่าเราอาจจะได้แสดงปาเดอเดอด้วยกันในสักวัน ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ถ้าได้แสดงปาเดอเดอกับเด็กนั่น ผมจะรู้สึกแบบไหนกันนะ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ผมคอยแต่มองหาฮวีกยอมโดยไม่รู้ตัว ถึงจะแทบไม่เคยคุยกันเลย แต่ตาของผมก็มักจะมองหาเธออยู่เสมอ ถ้าเห็นก็จะรู้สึกโล่งใจ แต่ถ้าไม่เห็นก็จะรู้สึกไม่สบายใจ
ผมเป็นอะไรสำหรับเธอกันนะ เธอจะยังจำผมได้อยู่หรือเปล่านะ มีคำมากมายที่ผมอยากจะเอ่ยถาม แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ดีๆ สักที จนผมกลายมาเป็นนักเรียนมัธยมปลาย และต้องจากแผนกมัธยมต้นไป
ทุกๆ วันได้แต่เต้นไปตามที่ถูกสั่ง เคลื่อนไหวไปตามที่กำหนด ผมเข้ากับผู้คนได้โดยที่ไม่ต้องพยายามอะไร พร้อมกับรอยยิ้มที่เกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว ผู้คนต่างมองว่าผมเป็นคนพิเศษ แต่สำหรับผม ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่พิเศษอะไรเลย
สำหรับฮวีกยอมเองก็เช่นกัน ผมเกิดความคิดว่า ผมอาจจะเป็นเพียงแค่ตัวแทนความใฝ่ฝันที่เธอไม่อาจข้ามมันไปได้ก็ได้ แล้วจู่ๆ มุมหนึ่งของหัวใจก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเบาๆ ถ้าดวงตาเป็นประกายที่จ้องมองมาทางผมกับแก้มสีแดงระเรื่อนั่นมองผมเป็น ‘ความใฝ่ฝัน’ ล่ะก็ ผมควรจะทำอย่างไรกับหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเด็กคนนั้น
“อ๊ะ รุ่นพี่อีกง!”
ในวันที่เริ่มต้นการเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่สาม ผมที่กำลังโบกมือพลางยิ้มเล็กๆ ให้กับเซจินระหว่างทางไปโรงเรียน เสี้ยววินาทีนั้นผมกลับยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
ข้างๆ ของเซจินนั้นมีฮวีกยอมกำลังยืนอยู่ นาทีที่ผมเห็นเด็กคนนั้นซึ่งโตขึ้นมากพอสมควรจนแผ่ออร่าแบบผู้ใหญ่ออกมา ผมก็ได้รับรู้ความจริงข้อหนึ่งซึ่งผมไม่อยากจะรับรู้มันเลยขึ้นมา
ว่าผมน่ะ ได้ชอบคิมฮวีกยอม เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้เข้าซะแล้ว
* * *