บทที่ 461 ป้องกันอัคคีภัย หัวขโมยและอสูรกาย 2
ฉู่ชวิ๋นยกก้อนหินด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าขณะตวาดว่า “พวกนายเป็นหมูโง่หรือไง? ม่านพลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักพรต และเป้าหมายของนักพรตก็คือการขับไล่ปีศาจ ป้องกันอาณาเขต ที่ดาบลำแสงเล่นงานแต่พวกนาย ก็เพราะม่านพลังนี้มีอานุภาพในการป้องกันอัคคีภัย หัวขโมยกับพวกอสูรกายโดยเฉพาะไงเล่า”
พวกค่งหลี่ฉุนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น อะไรคือการป้องกันอัคคีภัย หัวขโมยและอสูรกาย? ฟังไม่ลื่นหูเอาเสียเลย แต่เมื่อลองมาคิดดูดี ๆ แล้ว สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
พลัน ม่านพลังระเบิดลำแสงเป็นประกายอีกครั้งแล้ว แสงสว่างปกคลุมทั่วท้องฟ้า ดาบลำแสงเล่มล่าสุดที่มีความยาวมากกว่า 10 เมตร กำลังตวัดกวัดแกว่งไปมาด้วยความน่ากลัว
เปรี้ยง!
เมื่อตัวดาบตวัดลงมา มวลอากาศก็สั่นไหว ทิศทางของดาบยังคงพุ่งตรงเข้าหาพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์อยู่เช่นเดิม
พวกค่งหลี่ฉุนรับไม่ได้กับการถูกโจมตีอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งห้าก็รวบรวมพลังยิงลมปราณเข้าใส่ดาบลำแสงอย่างพร้อมเพียง
ตู้ม!
คลื่นแรงระเบิดแผ่กระจายในวงกว้าง ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว
ดาบลำแสงถูกทำลายลงไปอีกครั้งหนึ่ง แต่พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ก็อยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้ามากแล้ว พวกมันจำเป็นต้องล่าถอยกันไปคนละหลายก้าว
พวกเกาโมหยุนพบเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบถอยร่นออกมาทันทีเช่นกัน
“เร็วเข้า โยนก้อนหินใส่ม่านพลังซะ” ฉู่ชวิ๋นร้องตะโกน
หลิวจิวหยวนกับหวงไห่ยืนนิ่งด้วยความไม่เข้าใจ จะให้เอาก้อนหินโยนใส่ม่านพลังเนี่ยนะ? นี่มันเป็นแผนการอะไรกันแน่?
“ยังไม่รีบทำอีก!” ฉู่ชวิ๋นตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ถึงแม้ผู้ถูกออกคำสั่งจะยังไม่เข้าใจสักนิดเดียว แต่สุดท้าย พวกมันก็นำก้อนหินน้ำหนักหลายตันที่แบกรับเอาไว้ โยนเข้าใส่ม่านพลังอย่างรุนแรง
โครม!
ก้อนหินใหญ่เหล่านี้มีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 10 ตัน พุ่งเข้ากระแทกม่านพลังสีทองคำด้วยความแม่นยำ
วูบ!
ม่านพลังระเบิดลำแสงเจิดจ้า แล้วดาบลำแสงเล่มใหม่ก็ปรากฏขึ้น ดาบลำแสงเล่มนี้ฟาดฟันก้อนหินใหญ่ทั้ง 11 ก้อนแหลกสลายเป็นผุยผงไปในพริบตา
ดวงตาของหลิวจิวหยวนกับหวงไห่ลุกโชนด้วยไฟโทสะ พวกมันส่งเสียงคำรามขณะที่โคจรพลังลมปราณในร่างกายขึ้นมาป้องกันตัวเอง
วูบ…!
ดาบลำแสงพุ่งตรงเข้าเล่นงานพวกมันทั้งสองคน แต่หลิวจิวหยวนกับหวงไห่รับมือได้ทันเวลา ดาบลำแสงจึงระเบิดตัวหายไปแล้ว
หลังจากนั้น หลิวจิวหยวนกับหวงไห่ก็โดนแรงระเบิดซัดกระเด็นลอยไปไกลหลายร้อยเมตร
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนทั้งสองก็ตกอยู่ในสภาพมอมแมมซอมซ่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น ที่มุมปากมีเลือดไหลซึมออกมา ใบหน้าซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ ไม่เป็นอันตรายถึงตาย แต่ก็ทำให้พลังในการต่อสู้ลดลงไปอย่างน่าใจหาย
หลิวจิวหยวนกับหวงไห่โมโหสุดขีด สุดท้ายก็ต้องให้โยนก้อนหินใส่ม่านพลังอยู่ดี แล้วทำไมถึงไม่สั่งให้พวกมันโจมตีใส่ม่านพลังตั้งแต่แรก? ประโยชน์ของการให้พวกมันแบกก้อนหินอยู่นานสองนานคืออะไร?
เมื่อคิดจะถามคำถามนี้ออกไป พลัน ก็ได้ยินเสียงฉู่ชวิ๋นตะโกนว่า “เร็วเข้า ม่านพลังเปิดแล้ว ทุกคนรีบเข้าไป”
แน่นอนว่าม่านพลังตรงบริเวณที่โดนก้อนหินกระแทกใส่ บังเกิดเป็นรูโหว่ขนาดเล็ก แต่มันก็ใหญ่มากพอที่คนคนหนึ่งจะแทรกตัวผ่านเข้าไปได้
ในขณะนี้ ทุกคนต่างสงสัยในสิ่งเดียวกันว่า ทำไมฉู่ชวิ๋นถึงไม่เข้าไปเป็นคนแรก
วูบ…!
เงาคนกระโดดวูบวาบ กลุ่มสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในร่างมนุษย์แทรกตัวผ่านรูโหว่เข้าไปด้านในม่านพลัง ไม่เสียเวลาคิดอะไรให้มากความอีกแล้ว
“เร็วเข้าสิ ม่านพลังจะปิดตัวแล้วนะ” ฉู่ชวิ๋นตะโกนเร่งเร้า
บัดนี้ แม้แต่หลิวจิวหยวนกับหวงไห่ก็ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์อีกแล้ว พวกมันต่างพากันสอดตัวเข้าไปผ่านรูโหว่ในม่านพลังอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าไปเรียบร้อย ฉู่ชวิ๋นก็เหยียดยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ ก่อนที่จะทุบก้อนหินใหญ่ในมือของตนเองให้เหลือเพียงขนาดเท่ากับกำปั้น แล้วก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นในมือเขา ก็หายวับไปในพริบตา
ที่แท้หินก้อนนี้คือตาเปิดปิดม่านพลังนี่เอง
ฉู่ชวิ๋นนำก้อนหินเก็บไว้ในแหวนมิติ เมื่อเขาแทรกตัวผ่านรูโหว่เข้าไปเป็นคนสุดท้าย ม่านพลังก็ปิดตัวลงทันที
เมื่อพบว่าฉู่ชวิ๋นติดตามเข้ามาเรียบร้อย เกาโมหยุนก็หันมาส่งยิ้มให้เขาอย่างลำบากใจว่า “สหายน้อยหลุนหุย คงเหนื่อยมากเลยสินะ”
“เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกครับ เราเป็นพวกเดียวกัน ต้องคอยช่วยเหลือกันอยู่แล้ว” ฉู่ชวิ๋นว่า
หลิวจิวหยวนกับหวงไห่ยังคงมีสีหน้าไม่พอใจ แต่สภาพของพวกมันทั้งสองคนดูน่าอนาถใจมากกว่าใครเพื่อน
“แกรู้หรือเปล่าว่าหน้าที่โยนก้อนหินเป็นงานอันตราย?” หลิวจิวหยวนทนเก็บความเดือดดาลไม่ไหว จึงต้องถามออกมาแล้ว
“รู้สิ” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาอย่างจริงใจ
“แต่ก็ยังให้พวกฉันทำหน้าที่นี้เนี่ยนะ?” หวงไห่มีดวงตาเย็นชาอย่างยิ่ง
“อย่าทำเหมือนฉันเป็นตัววายร้ายได้ไหม ฉันรู้ว่าหน้าที่นี้มันอันตราย แต่ฉันไม่ได้จับพวกนายโยนใส่ม่านพลังสักหน่อย” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “ถึงยังไงก็ต้องมีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว จริงไหม? ถึงจะมีสภาพออกมาไม่น่าดูชม แต่ถ้าอยากจะเข้ามาในม่านพลัง พวกนายก็ต้องทำงานแลกเปลี่ยนสิ ไม่งั้นพวกนายจะเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
หลิวจิวหยวนกับหวงไห่โกรธแค้นจนแทบจะบ้าตายแล้ว
ทุกคนที่ได้รับฟังล้วนแล้วแต่มีสีหน้าประหลาดพิกล หลุนหุยคนนี้พูดจาขวานผ่าซากเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหลิวจิวหยวนกับหวงไห่มีสภาพน่าสงสารมากเพียงใด ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ปราศจากการถนอมน้ำใจขนาดนี้ก็ได้กระมัง?
“เอาละ เลิกโต้เถียงกันได้แล้ว ในเมื่อตอนนี้ เราผ่านม่านพลังเข้ามาได้สำเร็จ จากนี้ไป ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละคนแล้ว” ค่งหลี่ฉุนพูดจบก็เดินตรงไปที่ประตูหินบานหนึ่งบนยอดเขาเป็นคนแรก
เมื่อคนอื่นเห็นดังนั้น ก็เดินตามไปทันที
หวงไห่หันมาชำเลืองมองฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาดุร้าย ก่อนที่จะยิ้มเย้ยหยัน แล้วหมุนตัวเดินจากไป
หลิวจิวหยวนส่งเสียงคำรามในลำคอ แล้วจึงหันหลังกลับและเดินตรงไปที่บานประตูเช่นกัน
“สหายน้อยหลุนหุย…” เกาโมหยุนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ได้แต่ยิ้มแหย ๆ และกล่าวว่า “จากนี้ไป น้องต้องระมัดระวังตัวสักหน่อยนะ”
“พวกเราก็ไปกันบ้างดีกว่า หลังจากนี้ เห็นทีคงต้องระวังตัวกันทุกฝีก้าวแล้ว” เกอจ้านกล่าว
ชายวัยกลางคนทั้งสามอำลาฉู่ชวิ๋น ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปหลังบานประตูตาม ๆ กันไป
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปากออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะเดินทอดน่องตรงไปที่บานประตูอย่างสบายอารมณ์
ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ใกล้กับยอดเขาฮั่นหยางได้พบเห็นว่า คนกลุ่มนี้สามารถผ่านม่านพลังเข้าไปได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่าคงไม่เกิดอันตรายอะไรขึ้นเป็นการชั่วคราว ดังนั้น พวกมันจึงกลับมารวมตัวกันบริเวณยอดเขาฮั่นหยางด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกครั้ง
เมื่อฉู่ชวิ๋นเดินผ่านเข้าไปในประตูหิน เบื้องหน้าเขาก็มีแต่สีดำมืดสนิท ลมเย็นโชยพัดมาปะทะผิวกาย และรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครสักคนกำลังเป่าลมหายใจรดต้นคออยู่ตลอดเวลา ชวนให้รู้สึกขนหัวลุกเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว พลัน เท้าข้างหนึ่งของเขาก็พบเพียงความว่างเปล่า ดีที่ยังรั้งตัวเองไว้ทัน ไม่ได้ก้าวตกลงไป
เมื่อลองใช้จิตวิญญาณสำรวจพื้นที่โดยรอบ ฉู่ชวิ๋นก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด หลังบานประตูเต็มไปด้วยค่ายอาคม และมันเป็นค่ายอาคมที่วางไว้อย่างสลับซับซ้อน
ข้างหน้าไม่มีเส้นทางให้ก้าวเดิน ทางเดียวที่มีก็คือสะพานหินที่มีความกว้างเพียง 3 ฟุต ส่วนสองฟากฝั่งเป็นหุบเหวดำมืดไร้ที่สิ้นสุด
“พวกที่เข้ามาก่อนหน้านี้จะตกลงไปข้างล่างหรือเปล่านะ?” ฉู่ชวิ๋นอดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาอย่างร้ายกาจ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย จอมยุทธ์ขั้นเซียนไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ต่ำต้อย ค่ายอาคมธรรมดาเช่นนี้ไม่น่าจะเล่นงานพวกเขาได้ง่ายดายเกินไปนัก
“หิวเหลือเกิน” ทันใดนั้น เสียงเย็น ๆ ชวนขนลุกก็ดังขึ้นด้านหลังศีรษะของฉู่ชวิ๋น พร้อมกับที่มีลมเย็นเป่ารดต้นคอของเขา
ฉู่ชวิ๋นกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น เมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหันก็อดสะดุ้งโหยงไม่ได้ ค่ายอาคมของนักพรตมีความพิเศษเหนือธรรมดาจริง ๆ วิญญาณลวงตาตัวนี้ทำได้เหมือนของจริงมาก ชายหนุ่มรู้สึกด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนกำลังกระโดดเกาะแผ่นหลังของเขาอยู่
“ข้าหิวเหลือเกิน!” เสียงกระซิบดังขึ้นหลังใบหูของฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
“หิวเหรอ? เดี๋ยวฉันจะเอาของให้กินก็แล้วกันนะ” ฉู่ชวิ๋นคิดอย่างนึกสนุก แล้วเปลวไฟสีม่วงก็ลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะสาดเปลวไฟไปด้านหลังโดยไม่ต้องเหลียวหน้ามอง
พรึบ!
กลิ่นเนื้อไหม้ไฟลอยมาเตะจมูก ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเย็นวาบที่ฝ่ามือ จึงดึงมือกลับมาดูว่ามันเป็นอะไร และแล้วขนทุกเส้นบนร่างกายของเขา ก็ต้องลุกซู่ด้วยความสยองขวัญ
บนฝ่ามือของเขาเปื้อนเลือดสีเขียวจำนวนหนึ่ง ควันสีขาวกำลังลอยขึ้นมาจากฝ่ามือ บ่งบอกให้รู้ว่าเลือดสีเขียวจำนวนนี้ มีฤิทธิ์สามารถกัดกร่อนผิวหนังได้
แต่เมื่อเปลวไฟสีม่วงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เลือดสีเขียวบนฝ่ามือของเขาก็ถูกเผาผลาญหายไป
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่อยู่ในค่ายอาคมนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่แถวนี้มีปีศาจสิงสู่อยู่จริง ๆ ถึงแม้ว่าพวกมันอาจจะทำอันตรายอะไรไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ใจสั่นขวัญหายด้วยความหวาดผวาได้เป็นอย่างดี
ฉู่ชวิ๋นปล่อยจิตวิญญาณออกไปสำรวจรอบบริเวณอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนขั้นบันไดของตัวสะพานหิน
แต่ในวินาทีนั้นเอง มือขนาดใหญ่ที่มีขนสีเขียวรุงรังพลันยื่นออกมาจากใต้สะพาน และคว้าจับข้อเท้าของเขาเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นปล่อยเส้นไหมวิญญาณออกไปรัดพันมือปีศาจที่จับข้อเท้า เขาหัวเราะเยาะเล็กน้อยแล้วมือปีศาจข้างนั้นก็กระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด หยดเลือดสีเขียวของมันจำนวนหนึ่งสาดกระเด็นมาเปื้อนสะพานหิน
โครม!
ฉู่ชวิ๋นกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อไป แต่ทันใดนั้นสะพานหินก็ถล่มตัวลงมา สองเท้าของเขาเหยียบพบเพียงความว่างเปล่า ส่งผลให้ตัวคนหล่นวูบลงไปสู่หุบเหวแห่งความมืดมิดด้านล่าง!
ฉู่ชวิ๋นตบฝ่ามือลงไปบนก้อนหินที่ลอยอยู่ข้างตัว ใช้มันเป็นแรงส่งลอยขึ้นไปสู่ด้านบนอีกครั้ง
แต่ทุกครั้งที่ฉู่ชวิ๋นกระโดดกลับขึ้นมายืนบนสะพานหินได้สำเร็จ ตัวสะพานบริเวณที่เขายืนอยู่ก็จะถล่มลงมาทันที ฉู่ชวิ๋นจำเป็นต้องใช้เส้นไหมวิญญาณดึงตัวเองกลับขึ้นมารอบแล้วรอบเล่า
แต่ที่น่าแปลกก็คือทุกครั้งพื้นสะพานก็จะถล่มลงมาเรื่อย ๆ ฉู่ชวิ๋นลองกระโดดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไกลหลายกิโลเมตร แต่ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน เขาก็ยังไม่พ้นสะพานหินแห่งนี้ไปอยู่ดี
ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงครางในลำคอ ค่ายอาคมของนักพรตจะไม่มีส่วนหัวและส่วนท้าย นับเป็นหลักคำสอนที่ปฏิบัติตามกันมานานแสนนาน เท่ากับว่าตอนนี้เขาติดอยู่ในค่ายอาคม ทุกครั้งที่เหยียบเท้าก้าวลงไปบนสะพาน หมายความว่าเขาจะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเสมอ
ฉู่ชวิ๋นไม่มั่นใจว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ ดังนั้นจึงตัดสินใจยอมรับความเสี่ยง ปล่อยตัวเองให้ตกลงไปสู่หุบเหวแห่งความมืดมิดที่ด้านล่าง
ผลั่ก!
เสียงกระแทกพื้นกังวาน เท้าทั้งสองข้างของฉู่ชวิ๋นสัมผัสพื้นหินอ่อนที่อยู่ด้านล่าง ก่อนที่จะเกิดเสียงคนล้มลงกลิ้งหลุน ๆ ตามมาติด ๆ
ฉู่ชวิ๋นยิ้มฝืดข่มความเจ็บปวด นึกเอาไว้ไม่มีผิดว่าหุบเหวนี้เป็นของปลอม ตอนแรกมั่นใจว่ามันคงมีความลึกหลายร้อยเมตร แต่ที่ไหนได้ มันมีความลึกเพียงแค่ 5 เมตรเท่านั้น ฉู่ชวิ๋นจึงตกลงมาสู่พื้นด้านล่างโดยไม่มีเวลาได้เตรียมตัว ชายหนุ่มไม่ได้โคจรพลังลมปราณรอรับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น ในตอนนี้ร่างกายของเขาจึงรู้สึกด้านชาไปหมดแล้ว