บทที่ 458 ช่างน่าอายนัก
จอมยุทธ์ขั้นเซียนของพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหกคนไม่อาจสลายม่านพลังเข้าสู่ยอดเขาฮั่นหยางได้จริง ๆ ตอนแรกสีหน้าของพวกมันก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ยิ่งเห็นพฤติกรรมของฉู่ชวิ๋นในตอนนี้ ใบหน้าของพวกมันก็ยิ่งไม่น่าดูไปกันใหญ่
“พวกท่านมาทำอะไรที่นี่?” ยอดเขานี้เป็นของมนุษย์ เกาโม่หานเป็นตัวแทนของทุกคนออกไปเจรจา
“พวกเรามาขอเข้าพบสหายหลุนหุย” ค่งหลี่ฉุนพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพราบเรียบ
แต่พวกเกาโม่หานไม่ใช่ตัวโง่งม ทุกคนล้วนเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของสัตว์ร้ายกลายพันธุ์กลุ่มนี้ ที่พวกมันมาที่นี่ ก็เพราะไม่สามารถทลายม่านพลังเข้าไปได้ต่างหาก
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปากเล็กน้อย หันไปมองหน้าฝ่ายตรงข้ามทั้งหกคน สีหน้าแสดงความเหยียดหยามออกมาชัดเจน
“มาพบทำไม?” ฉู่ชวิ๋นถามเสียงแผ่วเบา
“สหายหลุนหุยได้โปรดช่วยสลายม่านพลังให้พวกเราด้วย” ค่งหลี่ฉุนกล่าว
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที เขาโบกมือสะบัดหนึ่งครั้ง ไวน์ที่อยู่ในแก้วเบื้องหน้าเขาก็พุ่งออกไปกลายเป็นลูกศรวารีหนึ่งดอก มีความรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ พุ่งตรงเข้ากลางหน้าผากของค่งหลี่ฉุน
“แก…”
ค่งหลี่ฉุนเดือดดาลแล้ว โคจรพลังจากทั่วร่างกาย ก่อนยกมือขึ้นมาตะปบไปที่ลูกศรวารีดอกนั้น
ซ่า!
ลูกศรวารีโดนฝ่ามือตะปบจนแตกกระจาย หยดน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
ตุบ! ตุบ!
ค่งหลี่ฉุนเซถอยหลังไปสองก้าว ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
ทุกคนตกตะลึง เพียงแค่ไวน์แก้วเดียวก็สามารถโจมตีจนทำให้ค่งหลี่ฉุนถึงกับต้องเซถอยหลังได้แล้วหรือนี่
ในที่แห่งนี้มีแต่จอมยุทธ์ขั้นเซียน พวกมันต่างรู้ดีว่าฉู่ชวิ๋นเพียงแค่ลงมือทักทาย ยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ
บุรุษหนุ่มคนนี้มีความน่ากลัวและมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก
“พวกแกกล้าดีอย่างไรมาออกคำสั่งกับฉัน?” ฉู่ชวิ๋นมองหน้าค่งหลี่ฉุนอย่างเย้ยหยัน
ค่งหลี่ฉุนดวงตาเป็นประกายด้วยความเย็นชา ถลึงตาจ้องมองฉู่ชวิ๋นเหมือนพร้อมที่จะทำสงครามแล้ว
“ตกลงว่าอยากจะต่อสู้ใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ค่งหลี่ฉุนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตัวแทนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์คิงคองก็แทรกขึ้นว่า “อย่าเข้าใจพวกฉันผิด สหายหลุนหุย พวกเรามาที่นี่อย่างเป็นมิตรต่างหาก”
เฮยจง หวงไห่ และหลางมู่ ทั้งหมดเป็นศัตรูของฉู่ชวิ๋น ยังไม่รวมค่งหลี่ฉุนที่เพิ่งจะสร้างความบาดหมางกันเมื่อสักครู่นี้ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็นึกดีใจที่ตัวแทนจากเผ่าพันธุ์คิงคองปีศาจพูดออกไปเช่นนี้
“สัตว์ร้ายกลายพันธุ์จะมาเป็นมิตรกับมนุษย์เนี่ยนะ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ
“สหายน้อยหลุนหุย ฉันว่าพวกเราปล่อยวางความแค้นกันชั่วคราวไม่ดีกว่าหรือ ม่านพลังที่ปกป้องยอดเขาแห่งนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเราทั้งหกก็ทลายเข้าไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันคิดว่าพวกเราควรมาร่วมมือกันคงจะดีที่สุด” มนุษย์คิงคองขั้นเซียนพูด
“คิดแบบนั้นจริงสิ?” ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกายแวววาว “แต่พอดีพวกเราไม่อยากเป็นมิตรกับพวกแก ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!”
สัตว์ร้ายกลายพันธุ์จากหกเผ่าพันธุ์สีหน้าเคร่งเครียด พวกมันมีพลังถึงขั้นเซียน ไม่เคยมีใครพูดจาหยาบคายใส่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้มาก่อน
พวกเกาโม่หานตกใจอยู่ไม่น้อย หลุนหุยคนนี้ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว ไม่ว่าคำพูดคำจาหรือการกระทำ ไม่เคยแสดงออกถึงความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
“สหายหลุนหุย ดูมั่นใจเหลือเกินนะว่าจะสามารถสลายม่านพลังได้” มนุษย์คิงคองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ได้ไม่ได้มันก็เรื่องของพวกเรา” ฉู่ชวิ๋นมองตอบกลับมาด้วยสายตาเฉยชา “มีอะไรจะพูดอีกไหม? ถ้าไม่มีก็กลับไปได้แล้ว”
“หลุนหุย แกมันโอหังเกินไปแล้วนะ!” หวงไห่แผ่รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างรุนแรง
พวกที่เหลือของมันอีกห้าคน ต่างก็จ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาก้าวร้าว พร้อมที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างได้ตลอดเวลา
“ดูเหมือนพวกแกจะไม่ได้มาผูกมิตร แต่มาหาเรื่องมากกว่ามั้ง” ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเป็นประกายเย็นชาขึ้นมาเช่นกัน
“ตอนแรกเรามาที่นี่อย่างสันติ แต่สหายหลุนหุยกลับพูดจาดูถูกเราทุกถ้อยคำ” ค่งหลี่ฉุนพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น
“มาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ก็จงทำตัวให้สงบเสงี่ยม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจออกมาหน่อยสิ” พลัน ฉู่ชวิ๋นกลับเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จอมยุทธ์ขั้นเซียนจากพวกมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหกคนยืนอึ้งกันไปหมดแล้ว พวกมันไม่เข้าใจเลยว่าฉู่ชวิ๋นหมายความว่าอย่างไร
เกาโม่หานและคนอื่น ๆ ก็หันมามองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความงงงวยเช่นกัน
“สหายอยากได้ความจริงใจแบบไหนล่ะ?” ค่งหลี่ฉุนถาม
ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นยืน แล้วหันมามองหน้าทั้งหกคน “พวกนายเป็นตัวแทนจากเผ่าพันธุ์ของตัวเอง มีพลังฝีมือแข็งแกร่ง และได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง ถูกต้องไหม?”
สัตว์ร้ายกลายพันธุ์ขั้นเซียนทั้งหกคนมีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่พวกมันกล้ายอมรับได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ถูกต้องแล้ว” ค่งหลี่ฉุนตอบรับด้วยความภาคภูมิใจ
“ถ้าเป็นอย่างนั้น การแสดงความจริงใจก็ไม่ยากเย็นอะไรเลย” ฉู่ชวิ๋นหยุดเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มกว้าง “พวกนายก็แค่ต้องเอาสมุนไพรจิตวิญญาณระดับสูง หรือดอกไม้วิเศษ หรือผลไม้วิเศษก็ได้ รวมให้ได้คนละ 500 กำเท่านั้น แค่นี้ก็แสดงให้เห็นถึงการผูกมิตรที่แท้จริงได้แล้ว”
หา!
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหกคนจะตกตะลึงขนาดไหน แม้แต่พวกเกาโม่หานก็ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นี่มันคือการรีดไถกันอย่างซึ่ง ๆ หน้าไม่ใช่หรือ?
“พวกเราอยากจะมาสร้างพันธมิตร แบบนี้ไม่เท่ากับสหายเอาเปรียบพวกเราเกินไปหน่อยรึ?” ค่งหลี่ฉุนถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ในเมื่อพวกนายมาขอความช่วยเหลือจากฉัน มันจะผิดอะไรถ้าฉันอยากจะมีหลักประกันบ้าง? อีกอย่าง ฉันไม่ได้จะเอาสมุนไพรจิตวิญญาณพวกนั้นเก็บไว้คนเดียวสักหน่อย นี่เป็นแค่หลักประกันว่าพวกนายมาอย่างสันติจริง ๆ เท่านั้น ไม่งั้นเราจะเชื่อใจพวกนายได้ยังไง? ใครจะรู้ว่าเมื่อม่านพลังถูกสลายลงไปแล้ว พวกนายจะไม่หันมาไล่ฆ่าพวกเราทีหลัง ถ้าพวกนายทำตัวเป็นมิตรกับพวกเราตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ เดี๋ยวฉันจะคืนสมุนไพรจิตวิญญาณทั้งหมดให้พวกนายเอง”
สัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหกคนหันมองหน้ากัน และรู้สึกว่าสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพูดออกมา ก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่กล้าทำ ก็อย่าพูดเรื่องการผูกมิตรอีกเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “ถ้าพวกนายกล้าเอาสมุนไพรจิตวิญญาณออกมาเป็นหลักประกัน พวกฉันก็จะเอาสมุนไพรจิตวิญญาณของพวกฉันออกมารวมด้วยเช่นกัน หลังจากนั้น ก็ส่งมอบให้คนหนึ่งคนทำหน้าที่เก็บรักษาสมุนไพรทั้งหมดเอาไว้ เมื่อสามารถสลายม่านพลังเข้าไปสู่ยอดเขาได้สำเร็จ ถ้ามีคนใดคนหนึ่งหันมาทำร้ายกัน สมุนไพรจิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถูกทำลายทิ้งไปทันที”
“ฉันว่าที่สหายน้อยหลุนหุยพูดออกมามีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง” เกาโม่หานพยักหน้า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสัตว์ร้ายกลายพันธุ์หรือฝ่ายมนุษย์ ต่างก็ไม่มีใครเชื่อใจใครทั้งนั้น การทำแบบนี้ ย่อมทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องคิดหนักหากจะหักหลังกันขึ้นมาจริง ๆ
เตียวซิงอี้กับเกอจ้านคิดว่าวิธีการนี้เหมาะสมแล้ว
“ถ้าพวกนายไม่กล้าเอาสมุนไพรจิตวิญญาณมาเป็นหลักประกัน ก็จงกลับไปซะเถอะ” ฉู่ชวิ๋นโบกมือไล่ ก่อนจะหันกลับมา นั่งจิบไวน์ต่อจากเดิม
ผู้มาเยือนทั้งหกคนหันมองหน้ากัน ค่งหลี่ฉุนหยิบศิลาเก็บเสียงออกมาตั้งเอาไว้ และเริ่มต้นปรึกษาหารือกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่นานหลังจากนั้น ค่งหลี่ฉุนก็เก็บศิลาเก็บเสียงเข้าที่เดิม หันมามองหน้าฉู่ชวิ๋น พูดว่า “พวกเราเห็นด้วยกับวิธีการของสหายหลุนหุย”
“แต่ใครจะเป็นคนเก็บสมุนไพรทั้งหมดนี้ล่ะ?” หวงไห่ถามออกมา
ทุกคนเงียบกริบ มนุษย์ไม่มีทางส่งมอบสมุนไพรจิตวิญญาณของตนเองให้เหล่าสัตว์ร้ายกลายพันธุ์เก็บเอาไว้เด็ดขาด แต่พวกมันก็คงไม่ยอมส่งมอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้พวกเขาเก็บเอาไว้โดยง่ายเช่นกัน
“ไม่รู้สิ เรื่องนี้คุยกันเองก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นยังคงนั่งจิบไวน์ต่อไป
“เอาแบบนี้ เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเก็บให้เอง” หลิวจิวหยวนพลันปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเกาโม่หาน “พี่เกา ใจร้ายเกินไปหน่อยไหม ไม่ตามผมมาดื่มด้วยสักคนเชียวหรือ”
เกาโม่หานเพียงแค่ยิ้มและไม่ตอบคำใด
ฉู่ชวิ๋นตวัดสายตามองหน้าผู้ที่มาถึงเป็นคนสุดท้าย “นี่คือการรวมตัวกันระหว่างมิตรสหาย สุนัขข้างทางมาเห่าหอนอะไรแถวนี้?”
“หลุนหุย” หลิวจิวหยวนคำรามอย่างโกรธแค้น จ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาไม่พอใจ “เราทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อของวิเศษบนยอดเขา ฉันไม่ได้อยากจะสนใจแกหรอกนะ แต่แกมันกวนประสาทฉันเกินไปแล้ว”
“เมื่อกี้แกว่าจะให้ทุกคนฝากสมุนไพรจิตวิญญาณไว้ที่แกใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นขึงตามอง
“ใช่ ฉันขอเอาภาพลักษณ์ของตระกูลหลิวเป็นเดิมพัน ว่าจะเก็บเอาไว้ด้วยความซื่อสัตย์ยุติธรรม ถ้ามีใครเกิดหักหลังพวกเราขึ้นมา ฉันจะทำลายสมุนไพรของมันเป็นคนแรกเอง” หลิวจิวหยวนพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ภาพลักษณ์ของตระกูลหลิวเนี่ยนะ?” ฉู่ชวิ๋นระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ “ไม่มีคุณค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย ขยะหน้าบ้านฉันยังน่าเชื่อถือกว่า”
“หลุนหุย แกนี่มันรนหาที่ตายจริงๆ” หลิวจิวหยวนคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
“เงียบไปซะ ส่งสมุนไพรจิตวิญญาณของแกมาเถอะ ไม่ต้องพูดมาก” ฉู่ชวิ๋นโต้ตอบกลับไปด้วยความฉุนเฉียว
ผู้มาเยือนทั้งหกคนเห็นดังนี้ ก็แอบพยักหน้าให้กันเล็กน้อย
ค่งหลี่ฉุนพูดว่า “สหายหลุนหุย พวกเราตัดสินใจแล้ว ขอเลือกให้สหายหลิวเป็นคนเก็บสมุนไพรทั้งหมดก็แล้วกัน”
“ขอปฏิเสธ ฉันไม่ไว้ใจมัน” ฉู่ชวิ๋นว่า
สัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหกคนหัวเราะด้วยความขบขัน
“สหายหลุนหุย นายบอกว่าไม่สนใจเรื่องนี้ และให้พวกเราคัดเลือกกันเอง ตอนนี้เราเลือกคนที่จะเก็บสมุนไพรได้แล้ว แต่นายกลับไม่เห็นด้วย แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร?” ค่งหลี่ฉุนถามออกมา
“หลุนหุย ข้าสงสัยว่าเจ้านั่นแหละที่ไม่ซื่อสัตย์มากที่สุด” หวงไห่ได้โอกาสพูดขึ้นมาบ้าง
“พวกแกหุบปากไปเดี๋ยวนี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางเชื่อใจมันเด็ดขาด” ฉู่ชวิ๋นคำรามออกมาน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ทุกคนได้โปรดอย่าทะเลาะกันเลย” เกาโม่หานทำหน้าที่ห้ามทัพอีกครั้ง ก่อนจะหันมาพูดกับฉู่ชวิ๋นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “สหายน้อยหลุนหุยไม่เชื่อใจน้องหลิวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ตอนนี้ คงไม่มีใครเหมาะสมมากกว่าน้องหลิวของพวกฉันอีกแล้ว”
ทุกคนพยักหน้า หลิวจิวหยวนเคยมีเรื่องบาดหมางกับฉู่ชวิ๋น ชายหนุ่มย่อมไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา แต่หลิวจิวหยวนเป็นเพียงคนเดียวที่พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ไว้วางใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเหมาะสมมากกว่าหลิวจิวหยวนแล้วจริงๆ
“แต่ฉันไม่เชื่อใจมัน” ฉู่ชวิ๋นพูด
เกาโม่หานกล่าวว่า “เอาละ ถ้าสหายน้อยหลุนหุยเชื่อใจฉัน ฉันจะขอรับรองให้ ถ้าน้องหลิวเกิดหักหลังพวกเราขึ้นมา ฉันจะมอบสมุนไพรจิตวิญญาณคืนให้แก่สหายน้อยเอง แบบนี้คงไม่เป็นไรแล้วกระมัง?”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดอยู่สักครู่ ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“คุณพูดออกมาเองนะ ถ้าไอ้แก่นี่มันฮุบสมุนไพรของผมไป คุณต้องรับผิดชอบ” ฉู่ชวิ๋นว่า
หลิวจิวหยวนโกรธแค้นจนหนวดเคราชี้ชัน ไม่เคยมีใครพูดจาหยาบคายใส่หน้ามันแบบนี้มาก่อน หลิวจิวหยวนทำท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่อง แต่เตียวซิงอี้ก็คอยห้ามเอาไว้
เกอจ้านก็คอยปลอบโยนให้ใจเย็นลงอีกคน ในที่สุดฉู่ชวิ๋นก็ยอมตกลง แต่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาเชื่อใจหลิวจิวหยวนเด็ดขาด
หลิวจิวหยวนเดือดดาลจนปวดหัว ฉู่ชวิ๋นเอาแต่หาเรื่องไม่เลิกรา แบบนี้คงปล่อยไปไม่ได้เสียแล้ว
“เอาเถอะ ในเมื่อได้ข้อตกลงเรียบร้อยดีแล้ว ฉันจะเอาของฉันออกมาก่อนก็แล้วกัน” เกาโม่หานพูด โบกมือหนึ่งครั้ง สมุนไพรจิตวิญญาณระดับสูงก็มากองอยู่ตรงหน้า พร้อมด้วยดอกไม้วิเศษและผลไม้วิเศษ รวมถึงยาสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยบำรุงร่างกายอีกหลายชนิด
แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ยังได้ไม่ถึง 500 กำอยู่ดี