บทที่ 457 ความขัดแย้งระหว่างความแค้น
ฉู่ชวิ๋นกลับมายังยอดเขาที่พักของตนเองและรีบแจ้งทุกคนทันที
“ทุกคนรีบลงจากภูเขาแล้วเดินทางไปที่สำนักภูผาทมิฬ!” ฉู่ชวิ๋นบอกพวกจิ่วโยว ต่อจากนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังยุทธ์ขั้นเซียน จิ่วโยวอยู่ที่นี่ต่อไปก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้เขาห่วงหน้าพะวงหลังเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจิ่วโยวจะไม่อยากกลับ แต่เด็กหญิงก็รู้ตัวว่าควรระมัดระวังคำพูด นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะทำตัวเอาแต่ใจ
“นายท่านครับ ตอนนี้พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์มันยึดครองภูเขากับแม่น้ำไปเกือบหมดแล้ว ทำให้จักรพรรดิสัตว์ป่าหลายตัวต้องเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัย ผมสนิทกับพวกมันอยู่ไม่น้อย ผมอยากจะชักชวนให้พวกมันมาเข้าร่วมหน่วยรบมังกรฟ้าของเรา ได้หรือไม่ครับ” ช้างเผือกกล่าว
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้าตกลง
“เดินทางระวังตัวกันด้วยนะ” ฉู่ชวิ๋นไม่ลืมย้ำเตือน
พวกช้างเผือกปีนขึ้นไปบนหลังของนกอินทรีเงิน และเดินทางออกจากภูเขาหลู่ซานไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ทุกคนจะเดินทางจากไป ฉู่ชวิ๋นไม่ลืมที่จะมอบอาวุธลึกลับให้หน่วยรบมังกรฟ้าติดตัวไปด้วย
เมื่อพวกช้างเผือกเดินทางกลับไปแล้ว ฉู่ชวิ๋นจึงได้กลับมามีเวลานั่งคิดเรื่องราวต่าง ๆ และรู้สึกว่าตนเองขาดความสามารถในการสั่งสอนอยู่อีกมาก
จิ่วโยวเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็กลัวเธอจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงคอยปกป้องจิ่วโยวมาตลอด
ตอนนี้ ชายหนุ่มถึงเพิ่งรู้ตัวว่าดอกไม้ที่อยู่แต่ในเรือนกระจก คงไม่มีทางต้านทานฟ้าฝนและแรงลมได้แน่ ความจริง จิ่วโยวควรมีประสบการณ์ต่อสู้จริง ๆ ก่อนหน้านี้นานแล้วด้วยซ้ำ
หลังจากนี้ไป เขาคงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียแล้วสิ
ทุกคนที่อยู่ในวังมังกรเพลิงต้องออกมาเผชิญหน้ากับประสบการณ์ต่อสู้จริง โลกนี้กำลังเปลี่ยนแปลง และผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด
หน่วยรบมังกรเงินที่แข็งแกร่งของเขา ต้องติดแหง็กอยู่ในวังมังกรเพลิงรวมถึงที่อื่น ๆ ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด ซึ่งน่าเสียดายความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เขาจะส่งคนตระกูลฉู่ออกไปเปิดรับประสบการณ์นองเลือดในโลกแห่งความเป็นจริงเสียที
แต่การมาถึงของพวกเกาโม่หาน ทำให้ฉู่ชวิ๋นหลุดออกจากภวังค์
“สหายน้อย หลุนหุย”
ผู้มาเยือนทั้งสามคนทักทายอย่างเป็นมิตร
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย
“องค์หญิงจิ่วโยวกับคนอื่น ๆ ไปไหนแล้วล่ะ?” เกาโม่หานถามออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อไม่พบเห็นพวกของเด็กหญิง
“ผมให้พวกเธอกลับไปแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” ฉู่ชวิ๋นตอบ ก่อนพูดต่อ “เชิญผู้อาวุโสทั้งสามนั่งลงก่อน ผมกินอยู่อย่างเรียบง่าย หวังว่าทุกคนคงไม่ถือสา”
ชายวัยกลางคนทั้งสามคนมีสีหน้าแปลกประหลาด นี่มันมากเกินกว่าคำว่าเรียบง่ายไปหลายเท่า แถวนี้ไม่มีเก้าอี้เลยสักตัวด้วยซ้ำ ฉู่ชวิ๋นเดินไปนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่ง
เกาโม่หานเห็นดังนั้นก็เดินไปนั่งลงบนก้อนหินอีกก้อนอย่างไม่สนใจอะไรเช่นกัน
เตียวซิงอี้กับเกอจ้านพยายามรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ ขณะที่เดินไปนั่งลงเคียงข้างกัน
จอมยุทธ์ขั้นเซียนจะมาหัวเสียกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้เด็ดขาด
“สหายน้อยหลุนหุย ผู้อาวุโสมีเรื่องอยากจะถาม ถ้าสะดวกตอบ ก็ตอบ ถ้าไม่สะดวกตอบ ก็ไม่เป็นไร” เกาโม่หานพูด
“ถามมาเถอะครับ” ฉู่ชวิ๋นว่า
เกาโม่หานมองหน้าฉู่ชวิ๋น แล้วถามออกมาทันที “น้องคือจอมมารฉู่ชวิ๋นปลอมตัวมาใช่ไหม?”
เตียวซิงอี้กับเกอจ้านก็กำลังจ้องมองใบหน้าของฉู่ชวิ๋นอย่างพิจารณาอยู่เช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นยิ้มออกมาอย่างตลกขบขัน “เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือครับ?”
“มันเป็นเรื่องสำคัญมาก” เกาโม่หานมีสีหน้าใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ เหมือนกับว่ากำลังพยายามคัดเลือกคำพูดเป็นอย่างดี “ถึงพวกเราเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจากการฝึกวิชา แต่ก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจอมมารคนนั้นมามากมายเหลือเกิน”
“หืม?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเล็กน้อย “ข่าวลือเรื่องอะไร?”
เกาโม่หานเรียบเรียงคำพูด ก่อนที่จะยิ้มฝืดฝืน “น้องบอกพวกเรามาก่อนดีกว่าว่าน้องเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋นใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้น เกิดฉันพูดอะไรไม่ดีออกไป คงน่าอับอายขายหน้านัก”
“ผมไม่ใช่เขา” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“จริงหรือ?”
“จริง”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะขอพูดแล้วนะ” เกาโม่หานลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบในขณะที่นินทาเรื่องของจอมมารว่า “มีข่าวลือว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นเป็นพวกใจดำอำมหิต บ้าเลือดโรคจิต โลภมากและเห็นแก่ตัว ร่านราคะ และไร้ยางอายที่สุด”
มุมปากของฉู่ชวิ๋นกระตุกโดยไม่รู้ตัว
“พวกคุณคิดแบบนั้นเหมือนกันหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นหันหน้ามาถามเตียวซิงอี้กับเกอจ้าน
“ยิ่งกว่าคิดอีก ฉันได้ยินมาว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นเป็นพวกบ้าเลือดและอำมหิต ทุกครั้งที่เขาหายตัวไปและปรากฏตัวกลับมาอีกครั้ง จะต้องมีสำนักในยุทธภพโดนกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง หัวของคนที่เขาฆ่า หากนำมากองรวมกัน คงสูงเท่าภูเขาลูกนี้ไปแล้ว” เตียวซิงอี้เริ่มพูดบ้าง
“นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นมีฉายาอื่น ๆ อีก อย่างเช่น ฉู่ชวิ๋นจอมโรคจิต ฉู่ชวิ๋นจอมเชือด แล้วก็อีกหลายชื่อที่น่ากลัวทั้งนั้น” เกอจ้านกล่าวเสริม
เมื่อถึงตอนนี้ ฉู่ชวิ๋นไม่เพียงแต่ปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้เท่านั้น แม้แต่คิ้วของเขาก็กระดกขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา เหมือนคิ้วของเขากำลังเต้นระบำอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“สหายน้อยหลุนหุย มีอะไรหรือเปล่า?” เกาโม่หานสังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติเล็กน้อยของฉู่ชวิ๋น
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่รู้สึกคันยิบ ๆ ในใจนิดหน่อย สงสัยมีไอ้แก่ที่ไหนมันคงกำลังด่าผมอยู่แน่ ๆ เลย” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมกับกัดฟันกรอด
พวกเกาโม่หานทั้งสามคนหันมองหน้ากัน ทุกคนต่างนึกว่าชายหนุ่มกำลังพูดถึงหลิวจิวหยวน
“สหายน้อยหลุนหุย น้องบอกว่าเคยสนิทสนมกับจอมมารฉู่ชวิ๋นพอสมควร พวกเราแค่อยากรู้ว่า ข่าวลือพวกนั้นเป็นความจริงหรือไม่?” เกาโม่หานถามออกมาในที่สุด
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องนี้พวกคุณต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเอง ข่าวลือมันก็เป็นแค่สิ่งที่คนอื่นพูดต่อ ๆ กันมา มันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนิสัยใจคอของจอมมารฉู่ชวิ๋นหรอกครับ รอให้พวกคุณมีโอกาสเจอเขาสักวันหนึ่ง ค่อยตัดสินด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“สหายน้อยหลุนหุยพูดจามีเหตุผลอย่างยิ่ง” เกาโม่หานพยักหน้าหงึกหงัก
“เอาละ เราอย่าพูดเรื่องของจอมมารฉู่ชวิ๋นกันอีกเลย” เตียวซิงอี้หันกลับมามองหน้าฉู่ชวิ๋นอีกครั้งและกล่าวว่า “สหายน้อยหลุนหุย แน่ใจนะว่าพวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์มันจะสลายม่านพลังไม่ได้?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อย่างที่ผมได้พูดไปแล้ว ไม่มีใครสามารถทำลายม่านพลังนี้ได้นอกจากผมคนเดียวเท่านั้น”
ชายวัยกลางคนทั้งสามหันมองหน้ากัน
“สหายน้อยหลุนหุย ในเมื่อพวกองค์หญิงจิ่วโยวกลับกันไปหมดแล้ว อยู่ที่นี่คนเดียวคงเหงาน่าดู ผู้อาวุโสอยากจะขอเรียนเชิญไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ และร่ำสุรากันสักหน่อยเป็นอย่างไร?” เกาโม่หานเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
เตียวซิงอี้กับเกอจ้านกำลังจะเชิญชายหนุ่มไปเช่นกัน แต่ก็ถูกเกาโม่หานพูดตัดหน้าไปก่อน ทำให้ต้องแอบสบถด่ามารดาของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี้ในใจอย่างอดไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าตกลง อยู่ที่นี่ตัวคนเดียว เขาเบื่อหน่ายเกินไปจริง ๆ
“สหายน้อยหลุนหุย เชิญ” เกาโม่หานลุกขึ้นยืนและผายมือไปทางหนึ่ง
เกอจ้านกับเตียวซิงอี้หันมองหน้ากันเลิกลั่ก
“พี่เกา ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือครับ เราสองคนก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่คิดจะชวนกันบ้างเลยหรือ?” เตียวซิงอี้พูดเสียงดัง
“พี่เกา ผมก็นำไวน์รสเลิศติดตัวมาเหมือนกันนะ” เกอจ้านว่า
เตียวซิงอี้กับเกอจ้านรู้ว่ามีเพียงแต่ฉู่ชวิ๋นคนเดียวเท่านั้นที่จะสลายม่านพลังได้ จึงไม่อยากให้ฉู่ชวิ๋นคลาดไปจากสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
เกาโม่หานประหลาดใจไม่น้อย จากนั้นจึงเข้าใจว่าชายวัยกลางคนทั้งสองกำลังคิดอะไรอยู่ พวกมันคงคิดว่าเขาเป็นตัวร้ายที่อยากจะครอบครองของวิเศษเพียงแค่คนเดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เกาโม่หานแค่อยากจะร่ำสุรากับฉู่ชวิ๋นเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือไปจากนี้เลย
แต่เตียวซิงอี้กับเกอจ้านไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกมันเข้าใจว่าเกาโม่หานอยากจะเก็บฉู่ชวิ๋นเอาไว้อยู่ข้างกาย และเมื่อสบโอกาส ก็จะพาชายหนุ่มเข้าไปสลายม่านพลังบนยอดเขา เพื่อตักตวงของวิเศษให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด
เกาโม่หานส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนที่จะเชิญคนทั้งสองมาดื่มสุราด้วยกัน
แล้วพวกเขาทั้งสี่คนก็เดินข้ามยอดเขามายังที่พักของเกาโม่หาน
เกาโม่หานสั่งให้บริวารของตนเองจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมารับรองแขก
เกอจ้านได้นำไวน์รสเลิศติดตัวมาด้วยจริง ๆ
แล้วพวกเขาก็พูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ พลางจิบไวน์อย่างรื่นรมย์
ระหว่างการสนทนา พวกเกาโม่หานต้องตกตะลึงกับความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับการฝึกฝีมือของฉู่ชวิ๋น รวมถึงเรื่องราวปัจจัยที่ซับซ้อนในการฝึกวิชาอีกหลายแขนง ฉู่ชวิ๋นสามารถให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี เมื่อชายวัยกลางคนทั้งสามได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกตาสว่างขึ้นทันที
“สหายน้อยหลุนหุย พอจะถามได้ไหมว่าคุณสังกัดอยู่สำนักไหนกัน?” เกาโม่หานถามอย่างมีความสุข ก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเติม “อย่าเข้าใจผิดนะ ผู้อาวุโสก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “ไม่มีสังกัด ไม่มีสำนัก ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
หา…!
ชายชราทั้งสามคนนิ่งอึ้งตะลึงงัน ดูจากรากฐานการฝึกวิชาของหลุนหุยแล้ว เขาจะสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน?
ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกับว่าฉู่ชวิ๋นไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนอาจารย์ของเขา ดังนั้น จึงไม่มีใครถามอะไรออกมาอีกแล้ว
“อยากรู้เหมือนกันนะว่า ป่านนี้พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์เป็นยังไงบ้าง?” เกาโม่หานพูดขึ้นมาด้วยความสงสัย
“พวกมันพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากจะมีผู้มีพลังยุทธ์ขั้นเซียนปฐพีมาเท่านั้น ถึงจะสลายม่านพลังได้สำเร็จ” ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พวกของเกาโม่หานทั้งสามคนไม่อยากเชื่อหู ขั้นเซียนปฐพีอย่างนั้นหรือ? พวกมันเพิ่งจะอยู่ในขั้นเซียนช่วงแรกเริ่มเท่านั้น ความแข็งแกร่งห่างชั้นจากขั้นเซียนปฐพีอย่างเทียบไม่ติด
“พวกมันมากันแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพลันพูดสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจออกมา
“ใครมา?” เกาโม่หานถามด้วยความไม่เข้าใจ
เสียงของเกาโม่หานยังไม่ทันจะขาดหาย ก็ได้ยินเสียงมวลอากาศปั่นป่วนดังแทรกเข้ามา พร้อมกับคลื่นพลังลมปราณที่รุนแรงแผ่กระจายอย่างรวดเร็ว
ที่แท้พวกจอมยุทธ์ขั้นเซียนของสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหกคน ก็มาที่นี่แล้ว
เกาโม่หาน เตียวซิงอี้ และเกอจ้านหันหน้ามองฉู่ชวิ๋นด้วยความเหลือเชื่อ ตอนที่พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์มาถึงที่นี่ ไม่มีใครรู้สึกตัวเลย แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกตัวแล้ว ทำให้พวกเขาอดประหลาดใจไม่ได้จริง ๆ
จอมยุทธ์ขั้นเซียนทั้งหกของเหล่าสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ ปรากฏตัวขึ้นห่างไปไม่กี่ร้อยเมตรในพริบตาต่อมา
เกาโม่หาน เตียวซิงอี้ และเกอจ้านลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตัว
มีเพียงแค่ฉู่ชวิ๋นคนเดียวเท่านั้นที่ยังนั่งจิบไวน์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ไม่ได้สนใจการมาถึงของผู้มีขั้นเซียนทั้งหกคนนั้นเลยแม้แต่น้อย