บทที่ 432 คนจากแดนสวรรค์
ตัวแทนสัตว์ร้าย ตายไปสองและบาดเจ็บสาหัสสอง
หวูเค่อจินคิดว่าตนเองวางแผนมาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายแผนการทุกอย่างก็ถูกฉู่ชวิ๋นทำลายล้างยับเยิน
ผู้อาวุโสลำดับที่ 9 จากเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษามีสีหน้าโศกสลด ตัวมันเองต้องตกอยู่ในกำมือของจอมมารฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง จึงรู้ดีว่ามีโอกาสรอดอยู่เพียงน้อยนิด
เผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาของมันนับตั้งแต่ที่ฟื้นตื่นขึ้นมา ต่างก็ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูง
แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับจอมมารฉู่ชวิ๋น พัดขนนกทองคำถูกแย่งชิงไป โลหิตของวิหคยักษ์ก็ถูกขโมย ผู้อาวุโสหลายสิบตัวถ้าไม่บาดเจ็บสาหัส ก็ตกตายอย่างน่าอนาถ สุดท้าย เมื่อมันต้องตกมาอยู่ในกำมือของฉู่ชวิ๋นเป็นครั้งที่สอง ชะตากรรมก็คงไม่ต่างกันนัก
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แกจะฆ่าฉันไม่ได้ ไม่กลัวสำนักนกยูงปีศาจของพวกฉันตามไปล้างแค้นแกหรือไง?” ค่งเถิงเฟยพูดด้วยความหวาดกลัว นับตั้งแต่ที่โลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง พวกมันบรรดานกยูงปีศาจก็เติบใหญ่อย่างเข้มแข็ง ได้รับความเคารพอย่างสูงในโลกยุทธภพ ให้มาตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ค่งเถิงเฟยไม่มีทางยอมรับได้เด็ดขาด
แต่บางครั้ง ถึงยอมรับไม่ได้ ก็ต้องยอมรับแล้ว
“ถ้าฉันไม่ฆ่าแก แกก็จะไม่ฆ่าฉันสินะ?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “ฉันอ่านแผนการของแกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว”
โดยไม่เปิดโอกาสให้สัตว์ร้ายทั้งสองสายพันธุ์ได้พูดอะไรอีก ฉู่ชวิ๋นก็ยกมือขึ้น ซัดพลังลมปราณใส่ทันที แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางรอดชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้ไปได้
ฉู่ชวิ๋นไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้ตอบโต้กลับ ถึงแม้ว่าสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนี้จะมีสภาพเหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอดแล้วก็ตาม
มีคนจำนวนไม่น้อยต้องมาตายเพราะ เปิดโอกาสให้ศัตรูได้โจมตีกลับ เขาไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด
ขณะนี้ ท้องฟ้ามีแสงสว่างแล้ว
หลังจากทำลายซากศพเรียบร้อย ฉู่ชวิ๋นก็เดินทางกลับเข้าไปในเมือง
ช่วงกลางวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ยามราตรี ฉู่ชวิ๋นทอดสายตาจ้องมองไปยังหุบเขาอเวจี พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่ 14 กรกฎาคมแล้ว
หวูเค่อจิน ศัตรูที่ไม่เคยพบหน้า ฉู่ชวิ๋นไม่กล้าประเมินฝีมือของมันผู้นี้ต่ำเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่ชวิ๋นยังไม่รู้เหตุผลที่หวูเค่อจินมาเปิดศึกกับเขาเช่นนี้ ต้นสายปลายเหตุยังคงเป็นปริศนา หลังจากที่ทบทวนความทรงจำอยู่หลายรอบ ฉู่ชวิ๋นก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองไม่เคยพบเจอบุคคลผู้นี้มาก่อน
“หวูเค่อจิน ไม่ว่าแกเป็นใคร แกต้องตายอยู่ที่นี่แหละ” ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงเบาราวกระซิบ
คนที่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาย่อมไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่คือหลักคิดอันแน่วแน่ของชายหนุ่ม
ดึกสงัด
ฉู่ชวิ๋นเตรียมร่างกายให้พร้อมรับมือการต่อสู้อย่างเต็มที่
เขาจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่เคยพานพบและไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้
ระยะเวลากว่า 3,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้ฉู่ชวิ๋นได้พบเจออะไรมากมายและมันทำให้เขาไม่เคยประมาทคู่ต่อสู้
วันต่อมา
วันที่ 14 กรกฎาคม เทศกาลปล่อยผี
แต่เทศกาลปล่อยผีประจำปีนี้ มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากปีที่แล้ว
เนื่องจากว่าเทศกาลปล่อยผีประจำปีนี้ เป็นวันชุมนุมการล่าปีศาจ!
ผู้คนทั้งโลกต่างให้ความสนใจ
มีคำถามเกิดขึ้นว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้รอดชีวิต
ฝ่ายที่รวมตัวกันเพื่อล่าปีศาจแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น แต่ปีศาจที่พวกมันอยากจะล่า มีนามว่าจอมมารฉู่ชวิ๋น
บรรดาตัวแทนจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ถูกส่งออกไปโจมตีบริวารของฉู่ชวิ๋น ส่วนพวกลิ่วล้อที่เหลืออยู่ประจำการอยู่ในหุบเขาอเวจี รอรับคำสั่งจากหวูเค่อจิน
รุ่งเช้าวันนี้ มีนกยูงปีศาจตัวหนึ่งบินเข้ามาในเมือง
นกยูงปีศาจตัวนี้ ฉู่ชวิ๋นจำได้ดีว่าเป็นค่งหยิง
ค่งหยิงบินอยู่บนท้องฟ้าด้วยท่วงท่าสง่างาม ใช้สายตาดูถูกดูแคลนจ้องมองทุกคน
“คุณหวูสั่งให้ฉันมาเรียนเชิญทุกคนขึ้นไปรับชมการต่อสู้บนภูเขา”
เกิดความคิดเห็นมากมายขึ้นทันที
ในงานชุมนุมล่าปีศาจ บรรดาเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ถึงกับเชิญมนุษย์ขึ้นไปรับชมการต่อสู้? นี่แอบแฝงไปด้วยเล่ห์กลใดหรือไม่?
“ทุกคนวางใจได้ ฉันขอเอาภาพลักษณ์ของสำนักนกยูงปีศาจเป็นเดิมพัน ไม่ว่าผลการต่อสู้จะออกมาอย่างไร? เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนดูแม้แต่น้อย”
ค่งหยิงยังคงพูดจาวางท่าใหญ่โต ในขณะที่ดวงตาของบรรดาจอมยุทธ์ที่อยู่ด้านล่าง เป็นประกายแวววาวขึ้นมาแล้ว
“พูดจริงหรือเปล่า?” จอมยุทธ์คนหนึ่งถามขึ้น
ค่งหยิงตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “คิดว่าภาพลักษณ์ของสำนักนกยูงปีศาจเป็นเรื่องตลกหรือยังไง? การต่อสู้ในครั้งนี้ พวกเราจะถ่ายทอดสดไปทั่วโลก!” เมื่อพูดจบแล้ว ค่งหยิงก็กระพือปีกบินจากไป
เหล่าจอมยุทธ์ที่รวมตัวอยู่ในเมืองจับกลุ่มพูดคุยกัน
“ฉันไม่อยากจะพูดแบบนี้เลยนะ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้จอมมารฉู่ชวิ๋น น่าจะไม่รอดเสียแล้ว”
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะขึ้นเขาไปให้กำลังใจจอมมารฉู่ชวิ๋น คราวนี้พวกเรามนุษย์โดนดูถูกมากเกินไปแล้วจริง ๆ”
“ถูกต้อง จอมมารฉู่ชวิ๋นก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา ไอ้มนุษย์กลายพันธุ์พวกนั้นคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ฉันจะเดินทางขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น และทำให้พวกมันเห็นว่ามนุษย์ไม่ใช่ฝ่ายที่จะถูกรังแกได้ง่าย ๆ ฉันนี่แหละจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้จอมมารฉู่ชวิ๋นเอง”
“ฉันก็จะไปด้วยเหมือนกัน”
ทุกคนประสานเสียงและหันไปร้องตะโกนสาปแช่งหุบเขาอเวจี
ฉู่ชวิ๋นเองก็แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ พวกเขาเดินทางมาถึงบึงน้ำ
จอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยถอดใจไม่กล้าเดินหน้าต่อ
กลุ่มคนที่ร่วมเดินทางมาในขณะนี้ มีจำนวน 400 ถึง 500 คน ระดับพลังล้วนคละเคล้ากันไป
ผู้ใดที่มีพลังไม่ถึงขั้นจักรพรรดิ ก็ได้แต่มองบึงน้ำด้วยสายตาเศร้าสร้อย และถอนหายใจออกมาเท่านั้น
เมื่อมาถึงตรงนี้ จอมยุทธ์ที่อยากเดินทางต่อเหลือเพียง 200 กว่าคน
ระหว่างที่เดินทางฝ่าบึงน้ำ คนกลุ่มนี้ถูกสัตว์ร้ายโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน มีครั้งหนึ่งที่พวกมันโจมตีแล้วทำให้จอมยุทธ์ตายไปเกือบร้อยคนในพริบตาเดียว
วูบ!
พื้นโคลนระเบิดตัว จระเข้ที่ตัวยาว 3 เมตรตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาพร้อมกับอ้าปากกว้าง หมายกัดจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับแรกเริ่มที่อยู่ข้างๆ ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นซัดพลังใส่จระเข้ตัวนั้นตามสัญชาตญาณ
“ข้าน้อยขอขอบคุณพี่ชายมากมายที่ช่วยเหลือ” จอมยุทธ์คนนั้นรีบหันมาขอบคุณยกใหญ่
ฉู่ชวิ๋นโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร แค่นี้เรื่องเล็กน้อย
“น้องชายมีฝีมือแข็งแกร่ง เราควรร่วมมือกัน แสดงให้ไอ้สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์พวกนั้นหวาดกลัวพวกเราบ้าง” ชายชราคนหนึ่งหันหน้ากลับมา ดูท่าทางเก่งกาจเอาเรื่อง มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 7
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ ตอนนี้เขาแปลงโฉมเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเขานี่แหละเป็นปีศาจร้าย ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในงานวันนี้
“พี่ชายก็มาเป็นกำลังใจให้จอมมารฉู่ชวิ๋นเหมือนกันใช่ไหม?” จอมยุทธ์ที่ฉู่ชวิ๋นช่วยชีวิตเอาไว้ ถามออกมาด้วยความกระตือรือร้น
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ผู้อาวุโสท่านนี้พูดถูกแล้ว ถ้ามนุษย์เราสามัคคีกัน ทำไมจะต้องกลัวพวกสัตว์ประหลาดนั่นด้วย”
“ถูกต้อง พวกมันยกพวกมาหมายจะรุมเล่นงานจอมมารฉู่ชวิ๋น แต่ถ้าเราร่วมมือกัน ก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว จริงไหม?” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ลองคิดดูให้ดีนะ ที่พวกมันจัดงานครั้งนี้ขึ้นมา ก็เป็นเพราะความหวาดกลัวที่มีต่อจอมมารฉู่ชวิ๋นนั่นแหละ หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาสังหารพวกสัตว์ประหลาดไปมากมาย ฉันว่าถ้าเกิดจอมมารฉู่ชวิ๋นถูกรังแกมากเกินไป พวกเราสมควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 พูดด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเกิดจอมมารฉู่ชวิ๋นเป็นอะไรขึ้นมา สัตว์ประหลาดพวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจไปกันใหญ่ เราจะให้เกิดอะไรขึ้นกับจอมมารไม่ได้เด็ดขาด”
“ในความเห็นของฉันนะ นี่คืองานชุมนุมล่าสัตว์ประหลาดมากกว่า พวกเรารวมตัวกันทำป้ายเชียร์จอมมารฉู่ชวิ๋นดีไหม?”
ความคิดนี้ได้รับการตอบรับจากทุกคนอย่างกระตือรือร้น
บนเส้นทางที่ทอดไปยังหุบเขาอเวจี ได้เกิดการรวมตัวของกลุ่มคนกลุ่มใหม่ขึ้นมาแล้ว และคนกลุ่มนี้เรียกขานตัวเองว่าสมาคมเทพเจ้าฉู่ชวิ๋น
ตอนนี้ เหลือคนไม่ถึง 200 คนเดินทางผ่านบึงน้ำ และสามารถขึ้นสู่ยอดเขาอเวจีได้สำเร็จ
ทุกคนสามารถปีนขึ้นถึงยอดเขาได้อย่างปลอดภัย
ค่งหยิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“นึกว่าจะไม่มีใครกล้ามาเสียแล้ว”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
จอมยุทธ์กลุ่มนี้มีพลังขั้นจักรพรรดิขึ้นไปทั้งสิ้น ย่อมไม่สามารถทนทานการโดนดูถูกได้เด็ดขาด
“จะให้ไปที่ไหนพวกฉันก็กล้าไปทั้งนั้น แม้แต่ผ้าห่มบนเตียงเธอ ฉันก็ยังกล้ามุดด้วยซ้ำ”
คำพูดนี้ทำให้ค่งหยิงใบหน้าขาวซีดไปแล้ว แต่บรรดาจอมยุทธ์กลับระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ
“หากกล้าพูดจาสามหาวอีกครั้ง อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ค่งหยิงแค่นหัวเราะเสียงเย็นชา
“เธอเป็นคนไปเชิญให้พวกฉันขึ้นมา ฉันก็มากันแล้วนี่ไง ยังจะต้องการอะไรอีก?”
“สาวน้อย ดูจากอายุอานามของเธอแล้วคงสู้พวกเราไม่ได้หรอก ไปตามหัวหน้าของเธอมาดีกว่า”
ค่งหยิงเพิ่งเข้าร่วมยุทธภพได้ไม่นาน แต่กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ ล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์ที่มีอายุ 100 กว่าปีหมดสิ้น พวกเขารู้ดีว่าควรจะยั่วยวนกวนโทสะเธออย่างไร
“ฉันขอเตือนอีกครั้ง อย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่านไปไหน โปรดรอคอยอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นมาอย่ามาโทษพวกเราก็แล้วกัน” ค่งหยิงหัวเราะเหยียดหยาม ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
ในไม่ช้า กลุ่มคนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์นกยูง เผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา เผ่าพันธุ์มนุษย์ผีดิบ และเผ่าพันธุ์มังกรดำก็ปรากฏตัวขึ้น
“พวกแกมีกันเพียงแค่นี้เองหรือ? ไอ้พวกตัวที่เป็นหัวหน้าหายไปไหนกันหมดแล้วล่ะ?”
ทุกคนพบว่าคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา มีพลังแค่เพียงขั้นจักรพรรดิระดับแรกเริ่มเท่านั้น
“ทุกท่านวางใจได้ ผู้ที่เป็นหัวหน้า ย่อมต้องปรากฏตัวทีหลังเป็นธรรมดา” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
ทันใดนั้น มนุษย์กลายพันธุ์ที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ พร้อมใจกันแหวกออกเป็นทางทันที
ชายหนุ่มในชุดสีขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขามีร่างผอม หน้าตาหล่อเหลา ก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย
คนผู้นี้มีลักษณะธรรมดาอย่างยิ่ง แต่กลับแผ่ความรู้สึกที่รบกวนจิตใจอย่างยิ่งเช่นกัน
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานชุมนุมล่าปีศาจ”
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลง คนผู้นี้จะต้องเป็นหวูเค่อจินนั่นเอง
“เรียกหัวหน้าของแกออกมาเดี๋ยวนี้ เลิกลีลาได้แล้ว” จอมยุทธ์คนหนึ่งตะโกน
หวูเค่อจินหัวเราะในลำคอและตอบว่า “นอกจากฉันก็ไม่มีใครอีกแล้ว”
“หมายความว่าไง? แกเนี่ยนะจะสู้กับจอมมารคนเดียว?” หนึ่งในกลุ่มจอมยุทธ์อุทานออกมา ส่งผลให้คนที่เหลืออยู่ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นทันที
“ถูกต้อง มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอที่วันนี้ หัวของจอมมารจะต้องหลุดออกจากบ่า” หวูเค่อจินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
กลุ่มจอมยุทธ์เงียบอยู่ประมาณสามวินาที ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะครืนใหญ่
“จะตัดหัวจอมมารฉู่ชวิ๋น นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?” ใครคนหนึ่งพูดไปหัวเราะไป
“ฉันดูเหมือนล้อเล่นหรือไง?” หวูเค่อจินพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“สัตว์ประหลาดอย่างพวกแก ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมมารฉู่ชวิ๋นหรอก พวกมนุษย์หมาป่าวิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้วหรือไง?”
“รอให้จอมมารฉู่ชวิ๋นมาถึงเสียก่อนเถอะ แล้วพวกนายจะได้รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งเป็นใครกันแน่” หวูเค่อจินกล่าว
หลังจากนั้น ทุกคนก็เงียบงันไปทันที
พวกเขาแกล้งยั่วโมโหหวูเค่อจินและรู้สึกได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ล้อเล่น
“มันพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย มันเนี่ยนะหัวหน้า?” จอมยุทธ์คนหนึ่งถามออกมาเสียงดัง
“เรื่องนี้เป็นความจริง คุณหวูเป็นหัวหน้ากลุ่มนักล่าปีศาจ ฉันขอแนะนำให้พวกนายพูดกับเขาด้วยความเคารพมากกว่านี้” ค่งหยิงคำรามเสียงดัง
ว่าไงนะ? ทุกคนตกตะลึงไปแล้ว
หวูเค่อจินคนนี้คือหัวหน้ากลุ่มนักล่าปีศาจของเหล่าสัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนล้วนทราบดี ไม่เคยมีใครสามารถรวบรวมให้เหล่าสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์รวมกลุ่มกันได้มาก่อน นี่คือสิ่งที่ไม่ใช่จะทำสำเร็จได้ง่ายๆ ผู้ที่ทำได้จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งระดับสูงสุด
แล้วผู้ที่เอาชนะเหล่าสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ได้ทุกสายพันธุ์อย่างนี้ ใครจะกล้าต่อสู้ด้วย?
“แกก็เป็นพวกสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์เหมือนกันใช่ไหม?” ใครคนหนึ่งถามขึ้น
หวูเค่อจินส่ายหน้า
“ฉันไม่ใช่พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ แล้วฉันก็ไม่ใช่มนุษย์ ถ้าจะให้บอกจริงๆ ก็คือ ฉันเป็นคนของแดนสวรรค์”
เทพเซียน?
ทุกคนยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง เทพเซียนกลับมาโลกมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ฉู่ชวิ๋นหัวใจกระตุกวูบ ชายหนุ่มคนนี้เป็นพวกเทพเซียน? หรือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแดนสวรรค์โดยตรง?
พวกแดนสวรรค์กลับมาแล้วหรือ?
“ไอ้พวกตัวแทนผู้แข็งแกร่งจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ หายหัวไปไหนกันแล้วล่ะ?”
หลายคนถามออกไปด้วยความสงสัย หวูเค่อจินบอกว่าจะต่อสู้กับฉู่ชวิ๋นเพียงลำพัง แต่มันกลับรวบรวมเหล่าสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์เอาไว้ที่นี่มากมาย แต่เมื่อถึงกำหนดวันต่อสู้เข้าจริงๆ หัวหน้าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“พวกเขากำลังเดินทางไปทำภารกิจสำคัญ” หวูเค่อจินตอบกลับมาด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง
“แกบอกว่าจะฆ่าจอมมารฉู่ชวิ๋น คิดว่าตัวเองมีความสามารถมากพอหรือไง?” จอมยุทธ์อีกคนหนึ่งส่งเสียงออกมา เป็นตัวแทนของใครหลายคนที่อยากถามคำถามนี้เช่นกัน
“แค่กระดิกนิ้ว ฉันก็ฆ่ามันได้แล้ว” หวูเค่อจินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บรรดาจอมยุทธ์พร้อมใจกันสบถด้วยความโกรธแค้น ไอ้หมอนี่มันอวดดีเกินไปแล้ว
“ไม่ต้องทำพูดดีไป ระวังให้ดีเถอะจอมมารฉู่ชวิ๋นมาเมื่อไหร่ รับรองว่าแกตายแน่ ไม่มีทางหนีรอดเด็ดขาด” กลุ่มจอมยุทธ์ส่งเสียงตะโกนโวยวาย
“จอมมารฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋น เหอะ” หวูเค่อจินหัวเราะในลำคอด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “พวกแกเชื่อมั่นในตัวมันเหลือเกินนะ ก็แค่คนเพียงคนเดียว ถ้าฉันอยากจะฆ่ามัน ฉันไม่ต้องออกแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ”
คราวนี้ โดยไม่รอให้ใครได้พูดอะไรออกมาอีกแล้ว หวูเค่อจินพลันมีดวงตาเย็นยะเยือกและระเบิดพลังลมปราณออกไปรอบกาย
พลังลมปราณที่แผ่กระจายออกไปนั้น แฝงด้วยแรงกดดันมหาศาล ทำให้กลุ่มจอมยุทธ์ที่รวมตัวอยู่ในบริเวณนั้นถึงกับตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัว!