บทที่ 424 จัดเตรียมการ
ฉู่ชวิ๋นพักอยู่ในภูเขาเฉียนหลงแค่เพียง 2 วันเท่านั้น
เช้าวันที่ 3 เขารีบเดินทางออกมาโดยไม่รบกวนผู้ใด
ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ชายหนุ่มได้จัดการสร้างค่ายกลรอบภูเขาให้แน่นหนามากขึ้น
และได้ย้ำเตือนเฉินฮั่นหลง ซุนหยิงและคนอื่น ๆ ไม่ให้ออกไปจากภูเขาบ่อยมากนัก
เนื่องจากเขาพบว่าพวกของเฉินฮั่นหลงเริ่มมีแนวเส้นสีดำอยู่บริเวณเหนือหัวคิ้วแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณของสิ่งที่เลวร้าย
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกผิดที่มีเวลาอยู่กับบิดามารดาน้อยเกินไป
นอกจากความเป็นห่วงแล้ว เขาคิดว่าผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนต่างก็คงรู้สึกหวาดกลัวแทนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
โดยเฉพาะทุกครั้งที่เขามีเรื่องกับผู้ใด ช่วงเวลาที่ฉู่ชวิ๋นต้องผ่านการนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า ข่าวเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วโลก ย่อมต้องมาถึงหูพ่อแม่ของเขาเช่นกัน
ถ้าเปลี่ยนเป็นพ่อแม่ทั่วไป คาดได้ว่าคงเป็นลมไปนานแล้ว พ่อแม่ที่ไหนกันเล่าจะทนให้ลูกออกไปต่อสู้ได้ทุกวัน?
ก่อนที่ฉู่ชวิ๋นจะเดินทางจากมา เขาได้เข้าไปที่ห้องพักของบิดามารดา และโขกศีรษะคำนับสามครั้ง
หลังจากนั้น ก็ออกเดินทางมาที่เมืองกู่เจียง มุ่งหน้าตรงไปที่สำนักภูผาทมิฬ
เขาใช้เวลาอยู่กับถางโร้วและจิ่วโยวสองวัน ก่อนที่จะเดินทางออกมา
ฉู่ชวิ๋นได้ทิ้งของที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการฝึกวิชาเอาไว้เป็นจำนวนมาก
และกำชับให้พวกเธอรีบหนีไปที่ภูเขาเฉียนหลงทันทีหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็เดินทางจากมาด้วยความเงียบงัน ถางโร้วกับจิ่วโยวทราบดีว่าคราวนี้พวกเธอไม่สามารถติดตามเขามาได้
ฉู่ชวิ๋นเดินทางกลับไปที่เมืองหลวงโดยไม่หยุดพัก และรีบจัดการเรื่องราวในวังมังกรเพลิงอย่างเร่งด่วน
จากนั้น เขาก็พาจิงหงไปที่ภูเขาหลงฉีเพื่อพบกับจักรพรรดิอ๋าวฮวง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงรู้เรื่องที่ฉู่ชวิ๋นจะเดินทางไปหุบเขาอเวจีแล้ว
ฉู่ชวิ๋นบอกอ๋าวฮวงว่าเขารู้สึกได้ถึงลางร้ายบางอย่าง แต่ไม่ทราบเลยว่ามันเป็นเรื่องอะไร หรืออะไรคือสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหากันแน่?
“เจ้าคิดว่าการไปครั้งนี้จะเกิดอันตรายขึ้นใช่ไหม?” อ๋าวฮวงพูดอย่างครุ่นคิด
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า “ผมมั่นใจว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไอ้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นน่ะ มันคืออะไรกันแน่?”
อ๋าวฮวงนิ่งคิด สุดท้ายก็มอบหยดเลือดที่อยู่ในขวดหยกให้ชายหนุ่ม เลือดที่อยู่ในขวดเป็นของอ๋าวฮวงเอง
เขาบอกฉู่ชวิ๋นว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ห้ามนำออกมาใช้เด็ดขาด
ถึงแม้ว่าหยดเลือดเหล่านี้จะถูกจักรพรรดิอ๋าวฮวงปิดผนึกอยู่ในขวดหยกเป็นอย่างดี ฉู่ชวิ๋นก็ยังรู้สึกได้ถึงความรุนแรงที่บรรจุอยู่ด้านในอย่างเปี่ยมล้น
“เอาไว้ใช้แค่ยามฉุกเฉินเท่านั้น มันจะช่วยเพิ่มพลังของเจ้า ให้เทียบเท่ากับระดับแก่นแท้ลมปราณขั้นปลายได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ” อ๋าวฮวงกำชับเสียงเครียด
“ผมขออีกขวดได้ไหม?” เมื่อเห็นของดีอย่างนี้ พกติดตัวไว้เยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น
“อยากตายหรือไง” อ๋าวฮวงตวาด “โชคดีนะที่เจ้ามีโครงกระดูกมังกร ถึงสามารถทนทานพลังของหยดเลือดมังกรได้ คนธรรมดาไม่มีทางใช้งานหยดเลือดมังกรได้เด็ดขาด เพียงแค่เอื้อมมือสัมผัสก็ต้องตายอย่างไม่มีข้อแม้ และถึงแม้เจ้าจะใช้มันเองก็ตาม ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ถึงผลที่จะตามมาหลังจากนั้น มันอาจจะทำให้เจ้าบาดเจ็บสาหัสไปเลยก็ได้”
ฉู่ชวิ๋นล้มเลิกความคิดนั้นทิ้งไปทันที
ต่อมา พวกเขาก็ช่วยกันคิดว่ามองข้ามอะไรไปอีกหรือไม่
“ส่งหลงอี้กับหลงเอ้อร์ไปคอยอารักขาหัวหน้าหมายเลข 1 ด้วยดีกว่า” อ๋าวฮวงว่า
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณคิดว่าพวกมันจะกล้าทำร้ายหัวหน้าหมายเลข 1 เลยเหรอ?”
หัวหน้าหมายเลข 1 นอกจากมีอำนาจล้นเหลือในโลกมนุษย์แล้ว ยังนับเป็นผู้ฝึกวิชาอีกหนึ่งคน ปัจจุบันมีระดับพลังขั้นจักรพรรดิ บรรดาคนที่อารักขาอยู่รอบตัวในตอนนี้ก็เป็นจอมยุทธ์ระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น จะมีผู้ใดใจกล้าบ้าบิ่นหมายทำร้ายเขากัน?
“แค่ป้องกันเอาไว้ก่อนน่ะ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูด
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ข้าว่าส่งคนไปที่สำนักภูผาทมิฬสักหน่อยก็ดีนะ” จิงหงพูด
จิงหงเองก็ฝึกวิชาคัมภีร์ความลับฟ้ามาเช่นกัน เธอหันไปมองหน้าฉู่ชวิ๋นที่ผงกศีรษะตอบรับด้วยความร้อนใจ “ฉันก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ว่าจะสั่งให้ส่งนักรบมังกรเงินซักสี่คน ไปคอยคุ้มกันสำนักภูผาทมิฬอยู่พอดี”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทุกที่ก็ปลอดภัยเรียบร้อยแล้วละ” จิงหงกล่าว
“ลองคิดดูอีกทีซิ พวกเรามองข้ามอะไรไปอีกหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นลองใช้วิชาคัมภีร์ความลับฟ้า แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความอันตรายบางอย่างที่ตกค้างอยู่ในจิตใจ
“ตระกูลหยางกับปราสาทจตุรเทพล่ะ?” จิงหงนึกขึ้นมาได้
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า รีบโทรศัพท์ไปหาตระกูลหยางกับปราสาทจตุรเทพ กำชับให้ช่วงนี้พวกเขาระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ค่ำคืนสุดท้าย ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงนั่งมองหน้ากัน ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
มีอะไรที่เรามองข้ามไปอีกหรือเปล่านะ? ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว เค้นสมองขบคิด
“ให้พวกของถางโร้ว จิ่วโยว แล้วก็หงหลิง ไปพักอยู่ที่ภูเขาเฉียนหลงก่อนดีกว่า” จิงหงแนะนำ
แต่ครั้งนี้ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าปฏิเสธ หยานอี้มีกองกำลังจากตระกูลฉู่คอยช่วยเหลือ ถางโร้วกับจิ่วโยวก็มีพลังพอดูแลตัวเองได้ แถมพวกเธออยู่ใจกลางสำนักเลยพร้อมส่งนักรบมังกรเงินไปอารักขาแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
หลงอี้กับหลงเอ้อร์ถูกส่งไปคอยอารักขาหัวหน้าหมายเลข 1
นักรบมังกรเงินที่ชื่อหลงซาน หลงอู่ และหลงซื่อ ประจำการอารักขาวังมังกรเพลิง
ส่วนนักรบมังกรเงินที่เหลืออยู่ ถูกส่งไปคอยดูแลสำนักภูผาทมิฬ
ยังมีอะไรอีกหรือเปล่านะ?
ความจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องราวในเมืองหลวงสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าที่นี่มีจักรพรรดิอ๋าวฮวงอยู่ทั้งคน คงไม่มีใครกล้ามาก่อความวุ่นวายต่อหน้าต่อตาแน่นอน
“จิงหง เธอไปคอยดูแลปราสาทจตุรเทพ ฉันกลัวว่าพวกเผ่าพันธุ์ผีดิบมันจะใช้โอกาสนี้กลับมาโจมตีอีก” ฉู่ชวิ๋นพูด
“ไม่ ครั้งนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” จิงหงปฏิเสธ
ฉู่ชวิ๋นสั่นศีรษะและมองตาจิงหงด้วยสีหน้าจริงจัง “ครั้งนี้ฉันต้องไปคนเดียว ถ้าเห็นท่าไม่ดี ฉันจะได้หนีออกมาได้ง่าย ๆ”
“แต่ผีดิบตัวที่แข็งแกร่งที่สุด มันไปอยู่ที่หุบเขาอเวจีแล้ว ที่ปราสาทจตุรเทพมีเย่ฟานตี๋คอยดูแล เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมัง” จิงหงกล่าว
“ไอ้หนู เจ้าลืมบางอย่างไปแล้ว” อ๋าวฮวงพลันพูดขึ้นมา
ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงหันไปมองหน้าชายชราอย่างสงสัย
“ตัวเจ้าเองล่ะ?” อ๋าวฮวงว่า
จิงหงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที อ๋าวฮวงกล่าวได้ถูกต้อง ฉู่ชวิ๋นเป็นห่วงความปลอดภัยของคนอื่น จนลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง ช่างโง่เง่าอะไรเช่นนี้
ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน ความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้น เป็นเพราะว่าเขานั่นแหละคือตัวปัญหาเสียเองใช่หรือไม่?
“ข้าเห็นด้วยกับที่จิงหงพูด ครั้งนี้ให้นางไปกับเจ้าเถอะ” อ๋าวฮวงกล่าว
ฉู่ชวิ๋นไม่เห็นด้วย ถ้าแม้แต่เขาเองยังต้องตกอยู่ในอันตราย จิงหงไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์
“จิงหงไม่จำเป็นต้องเข้าหุบเขาอเวจีไปพร้อมกับเจ้า แต่รอคอยเจ้าอยู่ด้านนอกก็ได้” อ๋าวฮวงยื่นข้อเสนอ
“ฉู่ชวิ๋น อย่าลืมนะ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะปกป้องคนอื่นให้ปลอดภัยได้ จิงหงพูดมาเยอะแล้ว เจ้าลองคิดดูให้ดี ถ้าเจ้าเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา แล้วใครจะรับมือไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์พวกนั้น?”
สุดท้าย ฉู่ชวิ๋นก็ต้องยอมรับปากว่าจะพาจิงหงติดตามไปด้วย
“ตาเฒ่าอ๋าว ในเมื่อคุณเป็นห่วงผมนักหนา ก็ไปกับผมด้วยเลยสิ” ฉู่ชวิ๋นมองจักรพรรดิอ๋าวฮวง “ระดับฝีมืออย่างคุณ แค่กระดิกนิ้วทีเดียว พวกมันก็กลายเป็นผงหมดแล้ว”
จิงหงกำลังหันไปมองหน้าจักรพรรดิอ๋าวฮวงอยู่เช่นกัน เธอคิดว่าฉู่ชวิ๋นพูดจามีเหตุผล ในโลกนี้จะมีใครที่สามารถต่อกรกับจักรพรรดิอ๋าวฮวงได้อีก?
อ๋าวฮวงไม่ได้นึกถึงข้อเสนอนี้มาก่อน พลันสีหน้าของเขาก็ดูโดดเดี่ยวอย่างประหลาด ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะพูดออกมาได้ “ข้าออกไปจากที่นี่ได้ในเวลาจำกัดเท่านั้น”
“หมายความว่าไง?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“เจ้าไม่รู้เหรอ ข้าออกจากที่นี่ได้ไม่เกิน 5 ชั่วโมง ไม่งั้นจะถือว่าทำผิดกฎสวรรค์” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบ
ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงเบิกตาโต อย่าว่าแต่ฉู่ชวิ๋นจะตกใจเลย ขนาดจิงหงก็ยังอุทานออกมาให้กับคำตอบของอ๋าวฮวง
ถึงแม้เธอกับเขามาจากดินแดนเซียน แต่ก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวพวกนี้น้อยมาก
“ตาเฒ่าอ๋าว ขี้เกียจก็บอกว่าขี้เกียจ ใช้เหตุผลนี้มันไม่ตลกเกินไปหน่อยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นทำเสียงดุ “คุณแข็งแกร่งขนาดนี้ ยังมีใครกักขังคุณได้อีก?”
แม้แต่เด็กสามขวบในดินแดนเซียนก็ยังต้องรู้ว่า เมื่อเลื่อนระดับพลังจากขั้นสร้างกายทิพย์ขึ้นไปแล้ว ก็จะเป็นขั้นค้นหาเต๋า หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นเซียนและขั้นนิรันดร์! แล้วจักรพรรดิอ๋าวฮวงแข็งแกร่งขนาดนี้ไหน ใครจะกักขังเขาได้
“มันเป็นเพราะพันธนาการแห่งท้องฟ้านั่นแหละ” อ๋าวฮวงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มองตาฉู่ชวิ๋นแล้วพูด “ข้าตั้งใจจะบอกเจ้าตั้งแต่ตอนที่อยู่ขั้นลมปราณก่อกำเนิด แต่ไม่มีโอกาส วันนี้ก็ถือโอกาสบอกเจ้าเลยก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นสีหน้าของอ๋าวฮวง ความรู้สึกไม่ดีที่รบกวนจิตใจฉู่ชวิ๋นอยู่ ก็เพิ่มพูนมากขึ้นทันที
“พันธนาการแห่งท้องฟ้า เป็นเครื่องมือที่สวรรค์ใช้ควบคุมพวกเรา มันจะคอยดูดกลืนพลัง ทำให้ผู้ฝึกวิชาไม่สามารถใช้พลังได้เกินขั้นนิรันดร์ พันธนาการแห่งท้องฟ้ามีไว้เพื่อใช้ควบคุมบรรดาผู้มีพรสวรรค์ทัดเทียมฟ้า เมื่อผู้ฝึกวิชาคนนั้นมีทีท่าว่าจะมีพลังถึงขั้นนิรันดร์ โซ่ตรวนก็จะเริ่มเคลื่อนไหวทันที”
ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “นี่คุณกำลังจะบอกว่า พันธนาการแห่งท้องฟ้ามีชีวิตอย่างนั้นเหรอ?”
อ๋าวฮวงพยักหน้า อธิบายต่อว่า “สำหรับผู้ฝึกวิชาสายเซียน ต่อให้เราฆ่าศัตรูด้วยความโหดร้ายอำมหิตสักแค่ไหน แต่ถ้าระดับพลังยังไม่สูงมากเกินไป สถานะของพวกเราก็ยังไม่เป็นภัยต่อสวรรค์ เพราะพวกเรายังไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่อาจท้าทายสรรค์ได้ แต่ถ้าหากพวกเราเลื่อนระดับขึ้นไปถึงขั้นนิรันดร์เมื่อไหร่ พวกเราก็จะถูกมองว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่อสวรรค์ และสวรรค์จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้เด็ดขาด”
ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงต่างก็ตกตะลึงกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้
พูดไปแล้ว ก็เปรียบเสมือนมดที่อยู่รายล้อมสิงโต ไม่ว่าจะกระโดดให้สูงแค่ไหน พยายามแหกปากร้องตะโกนสักเท่าไหร่ สิงโตก็ไม่มีวันใส่ใจ เนื่องจากในสายตาของสิงโตแล้ว มดเหล่านี้ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กชั้นต่ำ ต่อให้มดอ้าปากกัด ก็ไม่สามารถทำร้ายพญาราชสีห์ได้เด็ดขาด
แต่ถ้ามดตัวเล็ก ๆ นั้นกลับพัฒนาขึ้นมาจนมีพลัง ในระดับที่สามารถกัดสิงโตให้บาดเจ็บได้ เมื่อนั้น สิงโตก็จะเริ่มรู้สึกว่ามดเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อตัวเองขึ้นมา
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกวิชาสายเซียนกับสวรรค์
“ไม่ใช่สิ” ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ในดินแดนเซียน มีผู้ฝึกวิชามีบรรลุถึงขั้นนิรันดร์มีนับสิบคน คุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง?”
“แกไม่คิดบ้างเหรอว่าพันธนาการแห่งท้องฟ้า ก็เป็นคนพวกนั้นแหละที่คิดค้นขึ้นมาเอง?” อ๋าวฮวงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ว่าไงนะ?” ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
“แบบนี้ไม่ถูกต้อง” ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า เขาไม่มีวันยอมรับทฤษฎีของอ๋าวฮวงเด็ดขาด จึงพยายามหาทางโต้แย้งเท่าที่ทำได้ “ถ้าพันธนาการแห่งท้องฟ้าเป็นสิ่งที่พวกนั้นคิดค้นขึ้นมา แล้วเซียนคนอื่น ๆ เขายอมได้ยังไง? รวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันล่ะ? พวกเขาจะยอมปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งทำตัวร้ายกาจแบบนี้ได้เรอะ?”
อ๋าวฮวงส่ายศีรษะ ตอบว่า “เพราะพวกเขารู้ดีว่า คนบางคนก็สามารถเป็นภัยคุกคามต่อสวรรค์ได้จริง ๆ ”
“เป็นภัยต่อสวรรค์?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจที่อ๋าวฮวง
“เหมือนปลาคาร์ฟในบ่อนี้” อ๋าวฮวงชี้มือไปที่บ่อน้ำข้างตัว แล้วพูดต่อ “เจ้าลองคิดว่าเจ้าเป็นคนเลี้ยงปลาคาร์ฟพวกนี้ขึ้นมา เจ้าอยากจะฆ่าพวกมันเมื่อไหร่ก็ได้ อยากจะจับพวกมันขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ในกลุ่มปลาคาร์ฟเหล่านี้มีบางส่วนที่ฝึกวิชาเพื่อต่อต้านเจ้า สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำวิวัฒนาการเกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่งจากปลาคาร์ฟ มันก็กลายร่างเป็นมังกรกระโดดขึ้นมาจากบ่อ ถึงตอนนั้น เจ้าก็เตรียมรับมืออะไรไม่ทันแล้ว เจ้าจะทำยังไง? หรือจะยอมให้มังกรตัวนั้นเหยียบย่ำจนจมดินไปเลย”
ฉู่ชวิ๋นไม่พูดอะไร เขาปฏิเสธในสิ่งที่อ๋าวฮวงพูดออกมาไม่ได้อีกแล้ว
“ถ้าเป็นแบบนั้น ผมกับคุณก็ไม่ต่างจากปลาคาร์ฟในบ่อนี้เลยน่ะสิ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
อ๋าวฮวงยิ้มด้วยความขมขื่น พูดว่า “ไหนเจ้าลองบอกมาสิ เราไม่ต่างจากพวกมันยังไง?”
“แบบนี้ก็คือ พวกเราเป็นเหมือนวัวหรือแกะที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้ในฟาร์มปศุสัตว์ ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางหลุดจากการควบคุมของคนเลี้ยงได้เด็ดขาด?” ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเป็นประกายเย็นชา หน้าอกของเขาพองขึ้นแล้วยุบลงตลอดเวลาด้วยความโกรธแค้น
“ถึงจะเป็นการเปรียบเปรยแบบโง่ ๆ แต่ก็หมายความตามนั้นนั่นแหละ” อ๋าวฮวงตอบ
“เท่ากับว่าทั้งชีวิตของผม จะถูกพันธนาการแห่งท้องฟ้าควบคุมเอาไว้” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
ทว่า จักรพรรดิอ๋าวฮวงกลับส่ายศีรษะ “ก็ไม่เชิง ข้าสงสัยว่าเจ้าอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมือนคนอื่น”
“สถานการณ์อะไร?”
“สวรรค์เบื้องบนจับตาดูเจ้าอยู่ก็จริง แต่ไม่ใช่ในโลกนี้ พวกเขาคอยเฝ้ามองเจ้าที่เคยอยู่ในดินแดนเซียน แล้วทำไมพวกเขาถึงเลิกจับตามองเจ้าน่ะเหรอ นั่นก็เป็นเพราะว่า เจ้าเลือกที่จะทำลายวรยุทธ์ตัวเอง เพื่อเดินทางกลับมาสู่โลกมนุษย์ยังไงล่ะ”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแวววาวขณะที่พูดว่า “ตอนแรก พวกเขาก็ตั้งใจจะใช้พันธนาการแห่งท้องฟ้ากับผมสินะ แต่เพราะผมต้องเดินทางกลับมาสู่โลกมนุษย์ ผมก็เลยชิงทำลายวรยุทธ์ของตัวเองเสียก่อน”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น” อ๋าวฮวงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เบื้องบนต้องการใช้พันธนาการแห่งท้องฟ้ากับผู้มีพลังขั้นนิรันดร์ทุกคน โดยเฉพาะเจ้าที่สามารถ ฝึกฝนจนถึงขั้นนิรันดร์ได้ในเวลาแค่ 3,000 ปี ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับพวกเขาแน่นอน แต่จังหวะที่พวกเขาจะนำพันธนาการแห่งท้องฟ้ามาใส่ในร่างของเจ้า เจ้าดันทำลายพลังของตัวเองทิ้งไปซะก่อน พันธนาการแห่งท้องฟ้าจึงหาร่องรอยของเจ้าไม่เจอ แต่เมื่อเจ้าได้มาเจอกับข้า พันธนาการแห่งท้องฟ้าถึงได้หาเจ้าเจออีกครั้ง”