ตอนที่ 390 หรูอวี้กลับมา
ดูเหมือนแม่เฒ่าซูจะได้รับบาดเจ็บ เห็นได้จากการที่นางทรมานถังเฉียนหนักขึ้น
เมื่อมีเสียงประกาศของขันทีดังมาจากนอกตำหนัก ถังเฉียนกำลังคุกเข่าอยู่ที่ตั่งรับการโบยตี เพราะทำให้แจกันที่วางบนศีรษะขณะฝึกเดินตกแตก
ไม้เรียวถูกฟาดใส่ร่างนางครั้งแล้วครั้งเล่า ยังคงเจ็บระบม แต่ถังเฉียนกลับชินชาแล้ว ไม่รู้ว่าถูกโบยตีกี่ครั้งแล้ว นางรู้เพียงว่าแผ่นหลังด้านชาแล้ว เหลืองเพียงความรู้สึกแสบร้อนเท่านั้น
ที่จริงนางสามารถเดินถือถาด วางแจกันบนหัว มีหนังสือตั้งบนบ่าและเท้าย่ำเม็ดทรายได้แล้ว
แต่ถึงจะทำได้ดีแค่ไหน พอแม่เฒ่าซูขยิบตา ก็จะมีนางกำนัลแกล้งชนนางล้มลง จากนั้นก็จะถูกด่าถูกตี
ดูเหมือนแม่เฒ่าซูจะไม่พอใจวิธีง่ายๆ เหล่านี้แล้ว นางหยิบกล่องไม้ข้างตัวมา นางมองผ่านเส้นผมที่เปียก เห็นเข็มเงินที่ซี่เล็กน่ากลัวสะท้อนแสงแดดแวววับ
โชคดีที่สุดท้ายเข็มเงินเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้บนร่างถังเฉียน
ขันทีที่นำราชโองการมาเดินเข้ามาในตำหนัก นางกำนัลข้างตัวถังเฉียนรีบดึงเสื้อนางลง นางรีบคุกเข่าลง ฟังราชโองการยืดยาวซึ่งไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไร นางเพียงมองเห็นอย่างเลือนรางว่าแม่เฒ่าซูกับนางกำนัลทั้งสี่คุกเข่าลงพูดอ้อนวอน จากนั้นก็ถูกทหารราชองครักษ์ลากตัวออกไปโดยไม่ใส่ใจที่พวกนางร้องไห้ฟูมฟาย
สายตาถังเฉียนเลือนรางขึ้นทุกที ร่างอ่อนยวบลง ก่อนที่เบื้องหน้าสายตาจะดับวูบลง ก็มีใบหน้าที่คุ้นเคยมาประคองนางไว้
“พระสนม!”
“ถังเฉียนลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง ในฝันนางมองเห็นดวงตาที่ใสสะอาดคู่หนึ่ง เป็นดวงตาสีเลือดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนาง ดูเหมือนจะร้องเรียกนาง
“ถังเฉียน…”
“พระสนม ในที่สุดพระสนมก็ฟื้นแล้ว!”
นางกำนัลนางหนึ่งโผเข้ามา ความทรงจำที่ขมขื่นโผเข้ามาตรงหน้า ถังเฉียนหลบเข้าไปในเตียงอย่างไม่รู้ตัว ดึงผ้าห่มขึ้นจะมุดเข้าไปซ่อน
“พระสนม พระสนม ข้าหรูอวี้ ท่านจำข้าไม่ได้หรือ”
ถังเฉียนจึงตั้งใจมองดูนางกำนัลตรงหน้า “หรูอวี้? หรูอวี้ เจ้ากลับมาได้อย่างไร”
หรูอวี้ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว ยิ้มแล้วบอกว่า
“พระสนม ฝ่าพระบาททรงรู้แล้วว่าท่านถูกรังแก ให้บ่าวกลับมารับใช้ท่านโดยเฉพาะ”
ถังเฉียนมองซ้ายมองขวา พบว่าเหล่านางกำนัลก่อนหน้านี้ไปกันหมดแล้ว นางขมวดคิ้วทันที แล้วถาม
“หรูอวี้ แล้วคนอื่นล่ะ เจ้ากลับมาคนเดียวหรือ”
หรูอวี้ผงะเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างรวดเร็ว นางตอบว่า
“คนอื่นๆ ต่างสมัครใจออกไปจากวัง พวกสาวใช้ที่อยู่กับอันไท่เฟยต่างทุกข์ยาก ฝ่าพระบาททรงสงสาร จึงทรงอนุญาตให้คนที่สมัครใจออกไปจากวังได้”
“เป็นเช่นนี้”ถังเฉียนมองดูหรูอวี้ แล้วถาม“ถ้าเช่นนั้นเจ้าล่ะ เหตุใดจึงไม่ออกไป นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก วันหน้าถ้าจะออกจากวังคงไม่ง่ายแล้ว วันๆ ต้องอยู่แต่ในกรงนี่…”
“พระสนมอย่าพูดเช่นี้!”หรูอวี้พูดแทรกนาง แล้วพูดอีกว่า“บ่าวย่อมทำใจทิ้งพระสนมไปไม่ได้ อีกอย่างบ่าวอยู่ข้างนอกไม่มีญาติ ออกไปแล้วจะทำอะไรได้”
หรูอวี้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พูดจริงบ้างเท็จบ้าง ถังเฉียนนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วยิ้มออก
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าคอยดูแลข้าต่อไปแล้ว”
หรูอวี้ยิ้ม
“บ่าวดีใจจนพูดไม่ออก ในวังยังมีเจ้านายแบบพระสนมอยู่”
นางยกชามข้าวต้มแดงจากด้านข้าง ใช้ช้อนตักยื่นไปที่ปากถังเฉียน
“พระสนมกินข้วต้มก่อน แล้วค่อยลุกขึ้น”
ถังเฉียนได้กลิ่นข้าวต้มหอมกรุ่น เมื่อกี้รู้สึกท้องว่าง เจ็บแน่นเล็กน้อย นางอ้าปากกิน แล้วถามว่า
“ข้านอนไปนานแค่ไหน”
ตอนที่ 391 สถานภาพ
หรูอวี้ถือชามกระเบื้องลายบัวสามเถา ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“พระสนม ท่านนอนหลับไปสามวันแล้ว เป็นหวังหู่ที่ส่งท่านกลับมา”
“หวังหู่?” ทันใดนั้นถังเฉียนก็นึกถึงใบหน้าหนึ่งที่นางคุ้นเคย “ราชองครักษ์ครั้งก่อนใช่หรือไม่”
หรูอวี้แปลกใจ แล้วพูดว่า
“เป็นราชองครักษ์ที่ฝ่าพระบาททรงพระราชทานมาให้ ทำหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของพระสนม”
ถังเฉียนพยักหน้า
“เจ้าไปเรียกเขามา เรื่องครั้งนี้ ข้าอยากขอบใจเขาด้วยตัวเอง”
ที่จริงนางอยากตามตัวหวังหู่มาพูดคุยนานแล้ว แต่หาโอกาสไม่ได้ ครั้งนี้กลับเป็นโอกาสเหมาะ จะได้สอบถามปัญหาที่รบกวนใจนางให้กระจ่าง
เมื่อหวังหู่เดินเข้ามา พออยู่ห่างจากถังเฉียนสิบกว่าก้าวก็คุกเข่าลง แล้วกราบคารวะอย่างมีแบบแผน
ถังเฉียนนั่งอยู่บนที่สูง ยิ้มแล้วพูดว่า
“ครั้งนี้ต้องขอบใจที่เจ้าส่งข้ากลับมา เจ้าอยากได้อะไร ถ้าข้ามี ขอให้บอกมาได้เลย”
หวังหู่ยืนอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าพูดเสียงเบาว่า
“พระสนมเกรงใจเกินไปแล้ว หวังหู่เป็นคนที่ฝ่าพระบาททรงส่งมาอารักขาพระสนม มาดูแลความปลอดภัยของพระสนม ก่อนหน้านี้ท่านถูกทรมานในตำหนัก ผู้น้อยไม่ได้พบเห็น ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ขอรับ”
ถังเฉียนไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องมองหวังหู่ไม่วางตา มองสำรวจเขาจากบนลงล่าง
หวังหู่ถึงกับขนลุกซู่ เงยหน้าขึ้นมองถังเฉียน แล้วรีบก้มหน้าลง
“พระสนม ท่านยังมีเรื่องอะไรจะพูดอีก ถ้าไม่มี ผู้น้อยขอลากลับได้หรือไม่”
คราวนี้ถังเฉียนจึงเอ่ยถาม
“ยังมีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า…องครักษ์หวัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนที่ข้าจะเข้าวัง ข้ามีสถานภาพเช่นไร”
อากาศสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด หวังหู่ซึ่งก้มหน้าอยู่นิ่งเงียบ นิ่งเฉยราวกับรูปปั้นศิลา
ผ่านไปครู่หนึ่งอากาศจึงเริ่มไหลเวียนอีกครั้ง ถังเฉียนได้ยินหวังหูพูดเบาๆ ว่า
“พระสนม ฐานะของท่าน ฝ่าพระบาทตรัสให้ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ ผู้น้อยเป็นเพียงทหารองครักษ์ จะรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร พระสนมอย่ามัวแต่คิดเรื่องนี้ สู้ไปขอบพระทัยฝ่าพระบาทจะดีกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าพระบาททรงมีพระบัญชา เกรงว่าป้าซูยังคงอยู่ในตำหนัก ถ้าพระสนมไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผู้น้อยขอลาไปก่อน”
กลับสู่ความเงียบที่น่าอึดอัดอีกครั้ง หวังหู่ได้ยินนางพูดแล้ว จากหมอผีน้อยที่ไม่รู้ฐานะ บัดนี้กลายเป็นพระสนมเฉียนที่มีฐานะสูงส่ง
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
หลังจากหวังหู่ไปแล้ว ถังเฉียนหลบจากนางกำนัลทั้งหมด นั่งอยู่กลางตำหนักตามลำพังอย่างเนิ่นนาน
นางคิดอะไรมากมาย เรื่องทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นกับนางในระยะนี้ เมื่อรวมเรื่องราวมากมายเข้าด้วยกัน ทำให้นางแน่ใจเรื่องหนึ่ง ฐานะของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างที่ฉู่จิ่งเหยาตรัสบอก
แต่ก็อย่างที่หวังหู่พูด ฐานะของตนเอง ฝ่าพระบาททรงกำหนดแล้ว ต่อให้มีคนรู้ แล้วจะทำอะไรได้ คนเดียวที่นางสามารถถามหาความจริงได้ คงจะมีก็มีเพียงฝ่าพระบาทเท่านั้น
ถังเฉียนใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ ตามเสียงกึกๆ ที่ดังขึ้น สมองที่สับสนวุ่นวายก็ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น
นางมีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจ ตนเองเป็นใคร คนที่ปรากฏในความฝันเสมอเป็นใคร ยังอีก…จริงๆ แล้วฉู่จิ่งเหยาถือว่าตัวนางเป็นอะไรกันแน่
ด้านหนึ่งปล่อยให้นางซึ่งเป็นสนมที่เพิ่งแต่งตั้งถูกข่มเหง อีกด้านหนึ่งคอยมาช่วยและดูแลอย่างอบอุ่น
เสี่ยวจินบินออกมาจากชายแขนเสื้อ บินหึ่งๆ วนไปมาตรงหน้านาง ถังเฉียนจ้องมองมันอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา