ตอนที่ 378 ถอดออกจากพระสนม
เมื่อถังเฉียนฟื้นขึ้น เห็นมุ้งที่สวยและเตียงสลักลวดลายที่คุ้นเคย แต่กลับเกิดความรู้แปลกหน้าอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าที่นอนบนเตียงนานเช่นนี้ไม่ใช่ตัวนาง นางไม่ควรอยู่ที่นี่
ดูเหมือนนางจะฝัน เป็นฝันที่ยาวนานมาก สิ่งเดียวที่นางจำได้ก็คือกระพรวนเงินสีแดงบนหน้าผาก ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ทำให้พอนึกถึงจะทำให้นางรู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง
“ฟื้นแล้วหรือ”
ถังเฉียนมองไปทางหัวเตียง เห็นฉู่จิ่งเหยาประทับนั่งที่นั่น ฉลองพระองค์ไม่เรียบร้อย ดวงพระเนตรแดงก่ำ ทอดพระเนตรมองนางด้วยสายพระเนตรที่รู้สึกผิดและขมขื่น แล้วตรัสถามนาง
“เจ้า นึกอะไรออกบ้างหรือไม่”
ถังเฉียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วสั่นศีรษะช้าๆ ทูลเสียงเบาว่า
“นึกอะไรไม่ออกเลยเพคะ รู้สึกเพียงว่าฝันยาวมาก เป็นความฝันที่แสนเศร้าเพคะ”
นางเห็นฉู่จิ่งเหยาถอนพระทัยอย่างผ่อนคลาย แม้แต่น้ำเสียงก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
“ก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรต้องเศร้า เวลานี้เจ้าเป็นสนมเฉียนของเจิ้น ทั่วหล้าไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้า เวลานี้ไม่มี วันหน้าก็จะไม่มี”
ถังเฉียนพยักหน้า แล้วได้ยินฉู่จิ่งเหยาตรัสอีก
“ก่อนหน้านี้อารมณ์เจ้าไม่มั่นคง หวังหู่ฟาดเจ้าจนสลบ ส่วนแมลงสีทองตัวนั้น ไม่ต้องยุ่งด้วย ตอนนี้เจ้าฟื้นแล้ว พักผ่อนต่อดีกว่า”
ถังเฉียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วทูลเบาๆ ว่า
“แล้ว…อันไท่เฟยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ฉู่จิ่งเหยาทรงผงะเล็กน้อย แล้วตรัสปลอบว่า
“ไม่เป็นไร หมอหลวงตรวจรักษานางแล้ว เพียงแต่ต่อจากนี้ต้องควบคุมแมลงตัวนั้นให้เข้มงวดขึ้น”
ถังเฉียนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วมองส่งฉู่จิ่งเหยาเสด็จออกไป สัญชาตญาณบอกนางว่าอันไท่เฟยคงเสียโฉมแล้ว
เมื่อถังเฉียนหายดีแล้ว ยังใช้ชีวิตในวังเช่นเดิม แต่ดูเหมือนมีบางอย่างต่างออกไป
อย่างเช่นไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่นางได้ยินนางกำนัลแอบเรียกนางลับหลังว่านางปีศาจ รวมทั้งทุกคนเมื่อมองเห็นนางล้วนแอบก้าวถอยหลังสองสามก้าว เวลาที่นางพูดอะไรต่างคล้อยตามด้วยความหวาดกลัว
แต่ไม่ใช่ทุกคน ฉู่จิ่งเหยากลับขยันเสด็จมาหานางบ่อยขึ้น บางครั้งยังทรงนำฎีกามาตรวจอ่านที่นี่ ดูเหมือนจะกลัวว่าชื่อเสียงที่นางคอยยั่วยวนนั้นยังไม่ดังพอ
ทั้งยังมีราชองครักษ์หวังหู่ เวลาที่เขามองตน นางจะเกิดความรู้สึกหลอน เขาน่าจะรู้อดีตของตนาง แต่สำหรับเรื่องเหล่านี้ถังเฉียนกลับรู้สึกพอใจ อย่างไรเสียเมื่อทุกคนคอยหลบอยู่ห่างๆ นาง ย่อมดีกว่าที่เช้ายันค่ำต้องคอยระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย
แต่ที่นางไม่รู้ก็คือชื่อนางปีศาจไม่ได้เผยแพร่แค่ในวังหลวง ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนรู้แล้วว่าพระสนมเฉียนในฝ่ายในเป็นนางปีศาจ ไม่เพียงล่อลวงฮ่องเต้ ใครก็ตามที่ทำให้นางไม่พอใจจะถูกแมลงตัวหนึ่งกัดกิน
“มหาเสนาบดีซู เจ้าทำสิ่งใด”
ฉู่จิ่งเหยาทรงประทับอยู่ในท้องพระโรง ทอดพระเนตรมหาเสนาบดีซูซึ่งคุกเข่าอยู่กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ในที่สุดจึงตรัสถาม
มหาเสนาบดีซูอายุมากแล้ว เวลาที่ยืดตัวขึ้นร่างจะสั่นเล็กน้อย แต่แผ่นหลังยังเหยียดตรง
“ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมขอให้ทรงลงโทษประหารนางปีศาจ อย่าทรงถูกล่อลวง จะเป็นภัยต่อบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่จิ่งเหยาขมวดพระขนงด้วยความรำคาญ แล้วตรัสว่า
“เจิ้นบอกแล้วว่านางคือสนมเฉียนของเจิ้น ไม่ใช่นางปีศาจอะไร เหตุใดเจิ้นเองจะไม่รู้ ที่จริงอำมาตย์ซูว่างมากจนอยากยุ่งเรื่องฝ่ายในของเจิ้น ถ้าไม่มีอะไรทำ เจิ้นที่นี่มีงานหลายเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการ”
มหาเสนาบดีซูยืดตัวตรง แล้วหันไปมองข้างหลัง ขุนนางจำนวนมากพากันคุกข่าลงพร้อมกัน ต่างถือฎีกาในมือ ทูลพร้อมกันว่า
“ฝ่าพระบาทโปรดทรงไตร่ตรองให้ดีพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้เป็นเพราะนางปีศาจทำให้ทรงทำผิดพลาด จะเสื่อมเสียถึงพระบารมีพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่จิ่งเหยาทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ทอดพระเนตรมหาเสนาบดีซูที่มองตรงมายังพระองค์ ทรงกำพระหัตถ์แน่น แล้วตบโต๊ะอย่างแรง ตรัสด้วยความกริ้วว่า
“หุบปาก! หรือเจิ้นโฉดเขลาถึงขั้นที่ดูไม่ออกแล้วว่านางสนมในฝ่ายใน ใครดีใครเลวใช่หรือไม่ เจิ้นไม่มีอิสระที่จะเลือกนางสนมเลยหรือ”
ตอนที่ 379 คุก
“ฝ่าพระบาทโปรดทรงไตร่ตรองด้วย อย่าทำลายอนาคตของบ้านเมือง ทำให้เสื่อมเสียพระบารมีพ่ะย่ะค่ะ!” มหาเสนาบดีซูดูเยือกเย็น น้ำเสียงหนักแน่นไม่ใส่ใจพระราชดำรัสของฮ่องเต้
ฉู่จิ่งเหยาทรงลุกพรวดขึ้นยืน ก้มพระวรกายทอดพระเนตรลงไป เหล่าคนที่เรียกว่าขุนนางของพระองค์คุกเข่าอยู่กับพื้นเป็นพรืด คล้อยตามมหาเสนาบดีซูที่เป็นผู้นำ ต่างกล่าวโทษถังเฉียนของพระองค์
เหลวไหล เหลวไหล!
ถังเฉียนของพระองค์มีความสามารถชุบคนตายให้ฟื้นได้ จิตใจนางขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ไม่มีความเกี่ยวพันกับนางปีศาจแม้แต่น้อย!
แต่ฉู่จิ่งเหยาทอดพระเนตรมองมหาเสนาบดีซูอย่างไม่พอพระทัย ทรงขึ้นครองราชย์ไม่นาน ยังไม่สามารถจัดการคนผู้นี้ได้ แต่ที่น่าหัวเราะคือก่อนหน้านี้พระองค์ทรงให้สัญญากับนางว่าไม่มีใครทำร้ายนางได้ แต่บัดนี้คนที่จะทำร้ายนางกลับเป็นพระองค์เอง
พระหัตถ์ที่กำแน่นคลายออกแล้วกำใหม่ ทำกลับไปกลับมา แต่ในที่สุดก็คลายพระหัตถ์ออก แล้วประทับนั่งลงไปใหม่
“เจิ้นวู่วามไปเอง ที่อำมาตย์ซูพูดนั้นมีเหตุผล เช่นนั้นทำตามที่อำมาตย์ซูทูล”
พระองค์ตรัสจบก็ประทับนั่งลงบนบัลลังก์ราวกับหมดเรี่ยวแรง จากนั้นจึงโบกพระหัตถ์
ขันทีฟู่กงกงซึ่งอยู่ข้างๆ ประกาศเสียงดัง เสียลากยาวแหลมแสบแก้วหูราวกับเสียงเป็ด
“มีเรื่องก็กราบทูล ไม่มีก็เลิกประชุม!”
ที่ตำหนักเย่ว์หวา
ถังเฉียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีภาพวาดกางอยู่บนโต๊ะ เป็นภาพผู้ชายที่หล่อเหลา แต่ใบหน้าไม่มีดวงตา จมูกและปาก เสื้อผ้าก็ไม่ชัด แต่บนหน้าผาก วาดกระพรวนห้อยพู่สีแดงอย่างงดงาม
นางยื่นมือไปลูบคลำภาพวาดอย่างเหม่อลอย
ถังเฉียนกำลังใจลอย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนมาประกาศราชโองการที่นอกตำหนัก จากนั้นทหารราชองครักษ์หน่วยหนึ่งบุกเข้ามาในตำหนัก
หรูอี้ยังไม่ทันมาถึงตัวถังเฉียน นางถูกทหารคนหนึ่งผลักออกไปอย่างแรง จากนั้นคนที่เป็นหัวหน้าเดินมาตรงหน้าถังเฉียน
สายตาคนผู้นี้มุ่งร้าย มองสำรวจนางจากหัวจดเท้า ท่าทางเขาแปลกๆ เหมือนยิ้มแต่ก็ไม่เชิง แล้วพูดกับนางว่า
“พระสนม ก่อนหน้านี้ท่านก่อเรื่องขึ้นในตำหนักแห่งนี้ ขอให้ท่านตามข้าไปด้วย”
นางปัดมือที่ทหารคนนั้นยื่นมา แล้วหันหลังค่อยๆ พับภาพวาดอย่างเรียบร้อย เก็บใส่อกเสื้อ
ดูเหมือนนางจะไม่เห็นสายตาที่ดูแคลนของทหารผู้นั้น แล้วพูดน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ไป ไม่ต้องคุมตัว ข้าไม่หนีหรอก”
ถังเฉียนถูกทหารราชองครักษ์หน่วยนั้นห้อมล้อมพาออกไปนอกตำหนัก ก่อนออกไปจากตำหนัก นางมองข้ามช่องไหล่และหัว มองเห็นหรูอี้ถูกขวางไว้ด้านข้าง หรูอี้พูดอยู่ห่างๆ กับนางสองคำ
ดูรูปปากแล้วน่าจะเป็นคำว่า “ฝ่าพระบาท”
ทหารกลุ่มนั้นคุมตัวถังเฉียนไปยังสำนักราชนิกุลอย่างเอิกเกริก ขณะที่นางถูกผลักเข้าไปในห้องขัง หัวหน้าทหารราชองครักษ์เดินมาตรงหน้านาง ยิ้มแล้วพูดว่า
“พระสนม รู้ไหมว่าห้องขังนี้ทำด้วยสิ่งใด เหล็กเก้าพิสดาร! ฝ่าพระบาททรงรู้ว่าแมลงของพระสนมร้ายกาจมาก มีฤทธิ์เดชกัดขาดได้แม้กระทั่งกระดูก ห้องขังนี่ทำขึ้นตามขนาดตัวท่านเลย!”
ถังเฉียนยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าทหารราชองครักษ์ แล้วพูดว่า
“ข้าไม่รู้ว่าเสี่ยวจินกัดลูกกรงเหล็กขาดได้หรือไม่ แต่ข้ารู้ว่ามันบินออกไปฆ่าใครก็ได้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”
ทหารคนนั้นสีหน้าตกใจทันที จากนั้นก็พาลูกน้องออกไป ถังเฉียนได้ยินเขาพูดว่า
“พระสนมเป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆ ดูซิว่าผ่านไปไม่กี่วัน พระสนมยังจะกร้าวร้าวเช่นนี้อีกหรือไม่”
นางไม่ใส่ใจ หันหลังกลับไป หามุมหนึ่งนั่งลง นางยังได้ยินเสียงพูดพล่ามอย่างไม่ยอมรามือดังแว่วมา
“เชอะ นางปีศาจอะไร ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง อยู่ที่สำนักราชนิกุล ทนลำบากได้ไม่กี่วัน ต้องร้องหาแม่แน่นอน”
นางไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ นางนึกถึงที่หรูอี้พูดกับนาง เป็นคำว่า “ฝ่าพระบาท” หรือไม่
สองคำนั้น หมายถึงอะไรกันแน่