สีหน้าของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
จนท้ายสุด เขาเก็บพลังน่าสะพรึงขวัญกลับไป พยักหน้าบอกว่า “ดี ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ นั่นเพราะต้องการให้เจ้าสืบทอดวิชาของข้าต่อไป ดังนั้นก็ไม่อยากผิดใจกับเจ้าเช่นกัน…ข้ารับปากเจ้า”
เขาหันหน้ามามองพวกหลี่มู่ เอ่ยว่า “พวกเจ้าไปเถอะ”
หลี่มู่ทำท่าจะพูดอะไร ก็เห็นหวางซืออวี่ที่อยู่อีกด้านกำลังมองตนเอง ใบหน้าฉายแวววิงวอนขอให้พวกเขารีบออกไป หลี่มู่อดใจอ่อนไม่ได้ คำพูดเหล่านั้นจึงไม่ได้กล่าวออกไป
ทว่า เขาไม่ยอมออกไปเช่นนี้จริงๆ แน่
เพราะว่าตัวตนของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงนั้นมีปัญหาแน่นอน
มอบหวางซืออวี่ให้กับคนเช่นนี้ เขาจะวางใจลงได้อย่างไร?
ปัญหาเรื่องการฝึกฝนจะช้าจะเร็วก็แก้ไขได้ ต่อให้ภายหลังกลับไปดาวโลก ขอให้ซินแสเฒ่าช่วยก็ยังได้ แต่หากติดตามจักรพรรดิเซียนกวงหมิงที่เหมือนมารร้ายผู้นี้ ใครจะรู้ว่าเขาคิดรับศิษย์จริงหรือไม่ หรือมีเป้าหมายอื่นอยู่อีก
เพียงแต่ยังไม่ทันที่หลี่มู่จะพูดอะไร คนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มคน ก่อนประสานมือคารวะจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเล็กน้อย “ผู้อาวุโส ท่านจะปล่อยคนเหล่านี้ไปไม่ได้ ที่มาที่ไปของพวกเขาน่ากังขา”
เขาเป็นชายวัยกลางคนสูงราวห้าฉื่อกว่าคนหนึ่ง ใบหน้าขาวสะอาด สวมชุดคลุมยาวผ้าไหมฉู่[1] ศีรษะสวมครอบมวยผมทอง หน้าตาธรรมดาทว่าน่าเกรงขาม ดวงตาทั้งสองมีพลังที่สงบใจคนได้
ด้านหลังเขามีชายชุดดำสิบกว่าคนตามมา ทั้งหมดสวมเกราะดำชุดดำ ปิดบังใบหน้ามิดชิดจนมองไม่เห็นหน้าคาตา ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับแปลกประหลาด ราวกับไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์ กระทั่งคลื่นพลังชีวิตยังเบาบางมากนัก
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงรู้สึกขัดใจ มองยังคนผู้นี้แล้วแค่นเสียงหยัน พลังจากอานุภาพกดดันปะทุออกมาทันที เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าเป็นใครกัน คิดจะมาผสมโรงด้วยหรือ? เหอะๆ ดูท่าพันปีที่ข้าไม่ออกมา เหล่าแมลงบนโลกนี้จะคิดว่าข้าพูดด้วยได้แล้วสินะ…”
ใครเลยจะรู้ ชายวัยกลางคนสวมครอบมวยผมทองที่มองแล้วพลังไม่น่าจะแข็งแกร่งนักกลับยิ้มบางๆ คลื่นพลังบนภูเขาที่ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิสว่างวูบหนึ่ง ก่อนเข้าต้านทานพลานุภาพกดดันของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเอาไว้ และทำให้มันสลายไป “ผู้อาวุโสอย่าเข้าใจผิดไป ข้าน้อยไม่ได้คิดจะเปลี่ยนความคิดปณิธานของผู้อาวุโส เพียงแค่ไม่อยากให้ท่านถูกคนพวกนี้หลอกลวง”
สีหน้าท่าทีของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใคร?” เขามองชายกลางคนสวมครอบมวยผมทองผู้นี้
พลังที่ต้านทานอานุภาพกดดันของตนได้โดยไม่เปลี่ยนท่าทีเมื่อครู่ ทำเอาจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเริ่มสงสัยว่าได้เห็นวิธีการของสหายเก่าคนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกหวาดเกรงเล็กน้อย
ชายกลางคนสวมครอบมวยผมทองคารวะด้วยสีหน้าเคารพ จากนั้นจึงกล่าว “ผู้น้อยเป็นเพียงชนพื้นเมืองคนหนึ่งบนดาวดวงนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้โชคดี ได้รับความกรุณาจากเจ้านายช่วยเปลี่ยนร่างกายให้ จึงได้แทนที่ตัวตนใหม่ ตอนเจ้านายออกจากที่นี่ไปเมื่อครั้งนั้น เคยให้ผู้น้อยคอยตรวจตราแผ่นดินใหญ่ ป้องกันการลงมาเยือนอีกครั้งของผู้ผิดบาปจากสุสานดารา”
“เจ้านายของเจ้าเป็นใครกัน? รู้เรื่องผู้ผิดบาปได้อย่างไร?” สีหน้าของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
คำพูดของชายวัยกลางคนสวมครอบมวยผมทำให้เขาสะเทือนใจบ้างแล้ว และคิดถึงเรื่องในอดีตบางเรื่อง
“นายของข้าออกจากที่นี่ไปนานมากแล้ว เพียงแต่เหลือสัญลักษณ์ไว้ให้อย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสน่าจะรู้จัก” ชายกลางคนสวมครอบมวยผมทองพูดพลางล้วงเขี้ยวสัตว์สีขาวขนาดราวหัวแม่มือจากช่องมิติเก็บของออกมาประคองไว้บนฝ่ามือ
เขี้ยวสัตว์ชิ้นนี้มีขนาดราวนิ้วกลางของผู้ใหญ่ โค้งงอเล็กน้อย แวววาวราวหิมะ เกลี้ยงเกลาดั่งหยก เปล่งแสงประหลาดระยิบระยับ ด้านในแฝงคลื่นพลังเลือนรางบางอย่าง คนปกติจะไม่รู้สึกถึงเลย
ทว่าจักรพรรดิเซียนหมิงกวงสัมผัสข้อมูลมากมายจากด้านในได้ทันที
เมื่อครู่ที่ชายกลางคนต้านทานอานุภาพกดดันของตนเองได้ ก็เพราะอาศัยเขี้ยวสัตว์สีขาวชิ้นนี้ และจักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็จำที่มาของเขี้ยวสัตว์นี้ได้แล้ว
แววตาที่เขามองชายวัยกลางคนสวมครอบมวยผมทองเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในพริบตา เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นข้ารับใช้ของสหายเก่านี่เอง ผู้ผิดบาปที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่ มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเด็กน้อยพวกนี้จะเป็นผู้ผิดบาปที่มาจากสุสานดารา?” เขาชี้ไปยังกลุ่มของหลี่มู่
ชายวัยกลางคนสวมครอบมวยผมทองพยักหน้า ตอบว่า “ที่ผู้อาวุโสคาดเดานั้นถูกต้องแล้ว แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นผู้ผิดบาป มีเพียงเด็กหนุ่มชื่อว่าหลี่มู่ที่เป็นผู้หลบหนีออกมาได้ น่าจะเป็นผู้ผิดบาปที่มาจากทางเส้นนั้นเมื่อตอนนั้น ยามนั้นผู้อาวุโสก็เคยถือกระบี่ไล่สังหารผู้ผิดบาปไปตามดวงดารากว่าพันหมื่น ธำรงคุณธรรม เห็นคนเลวเฉกเช่นศัตรู เกลียดชังเหล่าผู้ผิดบาปเป็นที่สุด คำที่ท่านเคยพูดไว้ว่า ‘ยอมสังหารผิดยังดีเสียกว่าปล่อยไป’ ดังไปทั่วดาราสมุทร ปลิดชีพผู้ผิดบาปรวมถึงชนรุ่นหลังไปนับสิบล้าน ในอดีตต้องติดอยู่ในสถานที่นี้ก็เพราะปราบปรามผู้ผิดบาป วันนี้ออกจากปิดด่าน ออกจากกรงขัง แล้วจะปล่อยผู้ผิดบาปตรงหน้าไปได้อย่างไร”
คำพูดนี้ คนอื่นที่ได้ฟังล้วนมึนงง
ทว่าในใจหลี่มู่กลับมีคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าถาโถมเข้าใส่
ผู้ผิดบาปจากสุสานดารา หมายถึงชาวโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตำราบางส่วนของผู้ฝึกตนนอกพิภพเคยพูดถึงคำว่า ‘สุสานดารา’ ซึ่งชี้เฉพาะถึงระบบสุริยะ ส่วนผู้ผิดบาปก็หมายถึงชาวโลก เรื่องนี้รัชทายาทต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้า
จักรพรรดิเซียนกวงหมิงคนนี้เคยตามสังหารผู้ผิดบาปรวมถึงชนรุ่นหลังไปมากกว่าสิบล้าน?
หรือก็คือ ชาวโลกที่ตายด้วยน้ำมือเขา…ไม่สิ พูดให้ถูกต้องคือเหล่าปราชญ์เมธีบนดาวโลกยุคโบราณที่เดินทางออกจากดาวมีจำนวนมากขนาดนี้เชียวหรือ? สิบล้านน่าจะเป็นแค่จำนวนคร่าวๆ แต่หากนับรวมชนรุ่นหลังของเหล่านักปราชญ์จากดาวโลกละก็ น่ากลัวว่าจำนวนที่แท้จริงจะยิ่งมากกว่าจำนวนคร่าวๆ นี้ไปอีก
ตอนนี้เอง สายตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงมองที่ตัวหลี่มู่อีกครั้ง เย็นเยียบดั่งธารน้ำแข็งจากเก้าโลกันตร์ จากนั้นกล่าวว่า “เด็กน้อย เจ้าเป็นผู้ผิดบาปที่มาจากกรงขังนั่นจริงหรือ?”
หวางซืออวี่ที่อยู่อีกด้าน ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ชายวัยกลางคนสวมครอบมวยผมทองพูดมาทั้งหมด แต่ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล พอจะแยกแยะอะไร ก็ถูกหลี่มู่ใช้สายตาห้ามปรามเอาไว้
“ถูกต้อง” หลี่มู่ไม่เลือกใช้คำโกหกคลี่คลายวิกฤตนี้
เพราะคำโกหกก็เล่นแง่อะไรไม่ได้
เขายืนตัวตรง ประหนึ่งยอดเขาโดดเดี่ยวที่ค้ำสวรรค์เอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ามาจากดาวโลก ข้าเป็นชาวโลก แต่ว่าข้าไม่ใช่ผู้ผิดบาป”
สีหน้าของจักรพรรดิเซียนมีจิตสังหารปะทุในฉับพลัน หัวเราะขึ้นมาก่อนบอก “ดี ดีมาก ดีมากนัก มิน่าเล่า ตอนเห็นเจ้าครั้งแรกถึงได้รู้สึกว่าบนร่างกายเจ้ามีกลิ่นอายที่ทำให้ข้าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน มักจะอดไม่ไหวมีความคิดสังหารเจ้าอยู่ตลอด ที่แท้ก็เพราะในกายเจ้ามีเลือดสกปรกของผู้ผิดบาปไหลเวียนอยู่นี่เอง เช่นนั้นก็ไม่ผิดแล้ว สวรรค์ยังมีตา วันนี้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการ จะใช้เลือดสกปรกของผู้ผิดบาปอย่างเจ้ามาสังเวยก็แล้วกัน”
พวกของหลี่มู่พบตัวเขาก่อน ซ้ำยังเพราะเลือดชามนั้นของหมิงเยวี่ยเขาจึงฟื้นพลังกลับมาได้บางส่วน และสามารถสยบพวกผู้ฝึกตนจากนอกพิภพที่ตามมาได้ ควรรู้ไว้ว่าในตอนแรกพลังของเขาอ่อนแอเหลือประมาณ เพียงแค่คนหนึ่งคนใดในกลุ่มเป่าสีดีดร้องก็โจมตีสังหารเขาลงได้ และเพราะในช่วงเวลาอันยาวนาน เขาใช้แหล่งกำเนิดพลังชีวิตแทบจะหมดสิ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ตอนพวกหลี่มู่เพิ่งมาถึง เขาจึงจงใจซ่อนตัวอยู่ในกระท่อม แอบลอบสังเกตอยู่พักหนึ่งจึงค่อยปรากฏตัว แสร้งทำเป็นสุภาพอ่อนโยนและเป็นมิตร อยู่ในท่าทีสง่าสบายๆ นั่นก็เพราะกลัวว่าพวกหลี่มู่จะคิดร้าย ต่อมาเขาใช้เลือดของหมิงเยวี่ยปรับลมปราณ จงใจสร้างคลื่นพลังฟ้าดินที่น่าตกตะลึงทำให้เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพหวาดกลัวแต่เนิ่นๆ จากนั้นค่อยเข้าควบคุมสถานการณ์หลังจากที่คนเหล่านี้มาถึงแล้ว ต่อให้เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพมาพร้อมความคิดที่ไม่ค่อยเป็นมิตร ก็ต้องทำลายความคิดเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้ พวกหลี่มู่จึงถือได้ว่าเป็นผู้มีบุญคุณที่แท้จริงของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง
เขารู้ว่าในเรื่องนี้มีเหตุและผล และก็ยอมรับน้ำใจนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงอดกลั้นความคิดสังหารที่มีต่อหลี่มู่ไม่ได้ ต่อมาจึงยืมมือของสำนักค่ายกลสวรรค์มาโจมตีหลี่มู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าเขามองปาหี่ของพวกสำนักค่ายกลสวรรค์ไม่ออกแต่อย่างใด
เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพมองหลี่มู่ ในใจล้วนตกตะลึง
ตำนานเกี่ยวกับผู้ผิดบาปแห่งสุสานดารา พวกเขาก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน
ว่ากันว่าในสุสานดาราฝังความชั่วร้าย ความน่าสะพรึงกลัว ความมืดมิด และกลิ่นคาวเลือดเอาไว้ โดยเฉพาะดาวดวงหนึ่งในนั้นที่ถูกเรียกว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายในจักรวาล สิ่งมีชีวิตที่มาจากที่นั่นเป็นดั่งภูตผีปีศาจ ในร่างกายมีเลือดแห่งความผิดบาปชั่วร้ายไหลเวียน ล้วนนำมหันตภัยครั้งใหญ่มาสู่ทั้งดาราสมุทรได้
หลายปีผ่านไป เหล่าผู้ผิดบาปแทบจะถูกคนจากทั่วดาราจักรถอนรากถอนโคน ไล่ล่าสังหารจนหมดสิ้น คนมากมายลืมเรื่องเหล่านี้แล้ว ลืมเรื่องของผู้ผิดบาปไป พื้นที่สุสานดาราก็กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ไม่มีใครเข้าไปรนหาที่ตาย
ทว่า หลี่มู่คนนี้กลับเป็นผู้ผิดบาปที่ปีนออกมาจากสุสานดาราเสียได้?
สายตานับไม่ถ้วนตกอยู่บนร่างของหลี่มู่
สีหน้าหลี่มู่สงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
“ใครเลือดสกปรก ใครเลือดสะอาด ไม่ได้ใช้ปากกำหนด” หลี่มู่ยืดตัวตรง จากนั้นหันไปพูดกับชายวัยกลางคนสวมครอบมวยผมทอง “เจ้าเป็นใคร ทำไมจึงรู้ว่าข้ามาจากดาวโลก?”
เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้ แต่อีกฝ่ายกลับบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาได้เลย ซ้ำยังยืนยันหนักแน่น นี่เป็นสิ่งที่ทำให้หลี่มู่คิดไม่ตก
นอกจากหวางซืออวี่ คนที่รู้ว่าเขามาจากดาวโลกยังมีอีกสองคน คนที่หนึ่งคือรัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงที่ตอนนี้อยู่ในสภาพวิญญาณไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือชวีอ๋องจักรพรรดิแห่งฉู่ใต้ผู้ลึกลับ คนที่เคยส่งทูตมายังเมืองขาวพิสุทธิ์ และพูดถึงตัวตนที่แท้จริงของหลี่มู่
ชายกลางคนสวมครอบมวยผมทองยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าเจียงชิงหรวนหรือชวีอ๋องจักรพรรดิแห่งฉู่ใต้ หลี่มู่ วันนี้เจ้าไม่มีทางให้เดินต่อแล้ว สู้ยอมรับโทษตายด้วยตัวเองดีกว่า อาจจะสามารถลบล้างเลือดบาปบนตัวเจ้าได้”
เป็นชวีอ๋องอย่างที่คิดจริงๆ
หลี่มู่ไม่ได้ตอบรับอะไร แต่ย้อนถามอย่างอยากรู้อยากเห็นยิ่ง “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้ามาจากดาวโลก? ใครบอกเจ้ากัน”
ชายวัยกลางคนเจียงชิงหรวนยิ้มตอบ “แน่นอนว่าเป็นตัวเจ้าเองที่บอกข้า เหอะๆ กลอนสาวงาม และยังมีบทกวีหลายบทในภายหลังอีก ทั้งหมดมาจากดาวโลก หากแค่บทเดียวยังเป็นไปได้ว่าบังเอิญ แต่เมื่อหลายบทเข้าก็ไม่ใช่แล้ว มีเพียงชาวโลกจึงจะรู้จักบทกวีเหล่านี้ คำอธิบายเพียงข้อเดียวก็คือ เจ้ามาจากดาวโลก เจ้านี่นะ เอิกเกริกเสียจริงๆ บทกวีเยี่ยมการยุทธ์ยอด ชื่อเลื่องลือใต้ฟ้า นี่แหละที่เผยตัวตนของเจ้าออกมา”
“อืม?” หลี่มู่พลันคิดอะไรขึ้นได้ กล่าวว่า “เจ้า…ก็มาจากดาวโลกหรือ?” มีเพียงชาวโลกอย่างเช่นหวางซืออวี่ถึงจะเดาประวัติที่แท้จริงของหลี่มู่ได้จากบทกลอนเหล่านั้น
ชวีอ๋องสีหน้านิ่งสงบ มีรอยยิ้มบางไม่สะทกสะท้านบนใบหน้า แต่รอยยิ้มบางเช่นนี้ทำให้หลี่มู่อยากจะซัดเข้าไปจังๆ เสียหมัดหนึ่ง
เขาฟังแล้วพยักหน้า ตอบกลับว่า “เจ้าเดาไว้ไม่ผิด ข้าในอดีตก็มาจากพื้นที่สกปรกแห่งนั้น ทว่าเจ้านายเปลี่ยนเลือดชำระไขกระดูกให้ข้า ชะล้างความผิดบาปไปแล้ว ยามนี้ข้าไม่ได้เป็นผู้ผิดบาปจากดาวโลกอีกต่อไป แต่เป็นข้ารับใช้ของนายท่าน”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” สายตาของหลี่มู่คาดคั้น
ชวี่อ๋องพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าน่าจะเคยพบอวี๋ฮว่าหลง เขาเป็นศิษย์น้องคนเล็กของข้า บอกเช่นนี้ เจ้าคงเข้าใจแล้วสินะ”
……………………………………….
[1] ผ้าไหมฉู่ เป็นสิ่งทอในยุคจ้านกั๋ว จะใช้ผ้าไหมสองสีขึ้นไปในการถักทอลวดลาย