จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 48 หลงเอ้อใช้อำนาจสั่งสอนยัยเด็กใสซื่อแต่ซ่อนร้าย
“แม่นางหยุน ช่วงสองสามวันมานี้ข้าทำตามที่เจ้ากำชับทุกอย่าง รับประทานยาตรงตามเวลาทุกวัน รู้สึกว่าใบหน้าของข้ามิได้คันเยี่ยงเมื่อก่อนแล้ว” ซูชิงโยวเอ่ย
“ยาที่ข้าให้เจ้าไปคือยาลดการอักเสบ และค่อย ๆ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบและฆ่าเชื้อจนหายดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับเจ้าได้เปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ใหม่ทั้งหมดภายในห้อง จึงมิมีเชื้อโรคหลงเหลืออีก เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ” หยุนถิงกล่าวพลางก็ล้วงกระเป๋าหยิบขวดยาออกมา
“เช่นนั้นใบหน้าของลูกสาวข้า จะสามารถหายเป็นปกติได้ใช่หรือไม่? ” ซูโหวเย่ถามอย่าง
“ได้แน่นอน แต่อาจจะยังต้องใช้เวลา”
“เยี่ยมจริง ๆ ดีมากเลย” ซูโหวเย่รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง
“อีกประเดี๋ยวข้าจะใช้เข็มเงินทิ่มตุ่มหนองบนใบหน้าให้เจ้า เพื่อบีบให้น้ำหนองข้างในไหลออกมา อาจจะเจ็บสักหน่อย แต่มีเพียงแค่วิธีเท่านั้นจึงจะสามารถกำจัดเชื้อโรคบนใบหน้าให้ออกจนหมดสิ้นได้” หยุนถิงกล่าว
“ข้ามิกลัวเจ็บหรอก เจ้าลงมือเถอะ ขอเพียงแค่สามารถรักษาใบหน้าข้าได้ มิว่าอันใดข้าก็มิกลัว” ซูชิงโยวสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“ได้” หยุนถิงหยิบเข็มเงินออกมา แล้วใช้สำลีฆ่าเชื้อเช็ดโดยรอบ จากนั้นจึงช่วยนางเจาะตุ่มหนอง
“อ้า!” ซูชิงโยวส่งเสียงหวีดร้อง
แผลบนผิวหนังเน่าพุพองแล้ว เพียงแค่จิ้มเบา ๆ ก็เจ็บแทบจะขาดใจ
ซูโหวเย่ได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกหายใจมิทั่วท้องทันที “แม่นางหยุน เจ้ารักษาได้จริง ๆ ใช่หรือไม่ เหตุใดลูกสาวข้าถึงได้เจ็บปวดเยี่ยงนี้เล่า เมื่อครู่มิใช่บอกว่าเจ็บเพียงนิดเดียวหรอกหรือ?”
หยุนถิงขมวดคิ้ว “หลงเอ้อ ช่วยเชิญโหวเย่ออกไปข้างนอกก่อน เขาอยู่ในนี้ก็กีดขวางข้าเปล่า ๆ ”
“ทราบ” หลงเอ้อแสดงท่าทางเชิญให้เขาออกไป
ซูโหวเย่มิยอมออกไป “ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะมิปริปากพูด”
“ท่านพ่อออกไปก่อนเถิด หรือว่าท่านมิอยากให้ใบหน้าข้าหายดีใช่หรือไม่?” ซูชิงโยวถามย้อน
“เช่นนั้นก็ได้ พ่อจะไปรออยู่ด้านนอกประตู หากมีเรื่องอันใดจำเป็นละก็พ่อจะให้คนไปจัดการ” ซูโหวเย่กล่าวจบจึงเดินออกไปอย่างกังวลใจ
“หลงเอ้อ เฝ้าหน้าประตูไว้ มิว่าใครก็มิอนุญาตให้เข้ามาเป็นอันขาด” หยุนถิงกำชับ
“ทราบ”
หลงเอ้อจึงเดินตามออกไป แล้วปิดประตูยืนเฝ้าราวกับเจ้าที่ก็มิปาน
หลังจากนั้นเสียงหวีดร้องที่ออกมาจากภายในห้องจึงทำให้ซูโหวเย่ที่ยืนฟังอยู่นั้นรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก “เเม่นางหยุนจะเบามือลงสักหน่อยมิได้เชียวหรือ นั่นมันลูกสาวข้าเชียวนะ หรือว่าข้าจะเข้าไปดูอีกสักหน่อย?”
“นายหญิงบอกไว้ว่ามิว่าใครก็มิอนุญาตให้เข้าไป” หลงเอ้อสีหน้าเอาจริงเอาจัง ยืนขวางตรงหน้าเขา
ซูโหวเย่หน้างิ่วคิ้วขมวด ถึงจะโกรธแต่ก็มิกล้าแสดงออกมา เพราะเบื้องหน้าคือองครักษ์เงามังกร ฝีมือเป็นรองจากหลงอ้อ ต่อให้เพิ่มความกล้าหาญให้เขาอีกสักร้อยเท่าเขาก็มิกล้าเหิมเกริมกับหลงเอ้อ
“เอาเถอะ เช่นนั้นข้าจะรอแล้วกัน”
ด้านนอกตำหนัก มีคนเข้ามาสองคนโดยคนแรกคือลูกสาวคนรองของตระกูลซูนามว่าซูซินโหรว และหญิงรับใช้เดินตามหลังนางมา
“ท่านพ่อ เหตุใดจึงยืนอยู่ตรงนอกประตูเล่า ได้ยินมาว่าวันนี้แม่นางหยุนจะมารักษาใบหน้าให้กับพี่หญิงใหญ่ ทุกคนเป็นเยี่ยงไรบ้างรักษาเสร็จแล้วหรือไม่?” ซูซินโหรวถามด้วยความเป็นห่วง
“จะรวดเร็วขนาดนั้นได้เยี่ยงไรเล่า ตอนนี้แม่นางหยุนกำลังช่วยพี่สาวเจ้าเจาะตุ่มหนอง” ซูโหวเย่ตอบ
“คงจะเจ็บมากน่าดู ท่านพ่อข้าขอเข้าไปดูได้หรือไม่ ตั้งแต่เด็กจนโตพี่หญิงใหญ่หาได้เคยต้องทนทุกข์ทรมานไม่ ความเจ็บปวดขนาดนั้นนางจะทนได้เยี่ยงไรกัน?” ซูซินโหรวมีความสัมพันธ์รักใคร่อย่างเหนียวแน่นระหว่างพี่น้อง จึงอยากจะเข้าไปดู
แต่กลับโดนหลงเอ้อที่ยืนอยู่หน้าประตูสกัดกั้นเอาไว้ “แม่นางซูรออยู่ตรงนี้เถิด”
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาห้ามข้ามิให้ข้าเข้าไปดูพี่หญิงใหญ่ นางเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลซูเชียวนะ หาเกิดเหตุพลาดพลั้งอันใดขึ้นกับนางละก็ท่านพ่อข้าคงจะไม่ไว้ชีวิตเจ้าเป็นแน่” ซูซินโหรวจ้องเขม็งด้วยความโกรธ
“โหรวเอ๋อร์อย่าเสียมารยาทสิ คนผู้นี้เป็นหลงเอ้อขององครักษ์เงามังกร เขาเป็นคนที่แม่นางหยุนสั่งให้เฝ้าประตูเอาไว้ มิอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน” ซูโหวเย่อธิบาย
ซูซินโหรวเป็นเพียงแค่เด็กสาวเท่านั้นจึงมิเคยได้ยินชื่อขององครักษ์เงามังกร และคิดว่าเป็นเพียงแค่องครักษ์ทั่ว ๆ ไป
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงยอมให้นางอยู่ในห้องตามลำพังกับพี่หญิงใหญ่เล่า ก่อนหน้านี้มิเคยได้ยินกิตติศัพท์ฝีมือการรักษาของแม่นางหยุนมาก่อน เคยแต่ได้ยินเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ ของนาง ถ้านางอยู่ในห้องแล้วเกิดทำร้ายพี่หญิงใหญ่เล่า ข้าก็มีพี่สาวอยู่เพียงคนเดียว ท่านพ่อได้โปรดช่วยท่านพี่หญิงใหญ่ด้วยเถิด” ซูซินโหรวกล่าวอย่างกังวลใจ
เดิมทีซูโหวเย่วางใจในฝีมือการรักษาของหยุนถิงอยู่บ้างแต่เมื่อได้ยินลูกสาวคนรองเอ่ยเช่นนั้นจึงเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจเสียแล้ว อยากจะเข้าไปแต่ก็มิกล้าต่อต้านหลงเอ้อ เขาจึงทำได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่กับที่อย่างร้อนใจ
หยุนถิงที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงบทสนทนาจากข้างนอกได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“แม่นางซู น้องสาวของเจ้านี่ดูภายนอกใสซื่อแต่ก็ร้ายมิใช่ย่อยเชียวนะ” หยุนถิงแบะปาก
ดูใสซื่อแต่ซ่อนร้ายงั้นหรือ?” ซูชิงโยวถามนางอย่างมิเข้าใจเท่าใดนัก
“ใช่สิ ดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยเจ้า คอยคิดแทนให้เจ้า รู้ทั้งรู้ว่าช่วงเวลานี้มิควรอนุญาตให้ใครเข้ามานางก็ยังจะรบเร้าพ่อเจ้าอีก หากเร่งรีบเข้ามาตอนนี้ข้าก็มิอยากให้กระทบต่อการรักษาใบหน้าเจ้า” หยุนถิงกล่าวตรงไปตรงมา
ซูชิงโยวก็มิใช่คนโง่ แต่ก่อนคิดว่าซูซินโหรวเป็นห่วงตน แต่เมื่อได้ยินหยุนถิงกล่าวเช่นนี้จึงแจ้งใจในทันที
“เสียดายที่แต่ก่อนคิดว่านางดีต่อข้า หากว่าเป็นความรักระหว่างพี่น้องจริง ขอเพียงให้ยืนรออยู่ตรงด้านนอกประตูจะมิได้เชียวหรือ?” สีหน้าซูซินโหรวดูมิสู้ดีนัก
“ขอเพียงแค่ภายในใจเจ้ารู้ไว้ก็เป็นพอ”
“ขอบใจแม่นางหยุน หากวันนี้มิได้เจ้าเตือนสติไว้ ข้าก็คงจะโง่ต่อไป เจ้าบอกว่าคนที่วางยาพิษข้า อาจจะเป็นนางงั้นหรือ?” ซูชิงโยวกระซิบ
ก่อนหน้านี้นางแอบสืบมาโดยตลอดและสงสัยทุกคนในตำหนักว่าอาจจะเป็นศัตรู แต่กลับหาตัวคนวางยามิได้เสียที ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะประมาทไปอีกหนึ่งคน
“จะเป็นนางหรือไม่นั้นข้าก็มิอาจยืนยันได้ เพียงแต่ว่านางหาใช่คนที่ดูใสซื่อและเรียบง่ายดังที่เห็นจากภายนอก ต่อไปเจ้าก็ระวังสักหน่อยแล้วกัน ถึงอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวเจ้า” เมื่อหยุนถิงจัดการทำแผลตุ่มหนองบนใบหน้าของนางเสร็จแล้ว จึงช่วยทายาฆ่าเชื้อให้
เพียงแค่ยาสัมผัสกับแผล ซูชิงโยวก็กรีดร้องออกมาอย่างทนมิได้
ซูซินโหรวที่ยืนฟังอยู่ข้างนอกก็แสดงสีหน้ากังวลใจ “ท่านพ่อ พี่หญิงใหญ่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ ท่านเร่งเข้าไปดูเถิด ถ้าเกิดว่าแม่นางหยุนทำอันตรายต่อท่านพี่เล่า?”
หลงเอ้อที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มิอาจทนดูได้อีกต่อไปแล้ว จึงง้างดาบที่อยู่ในมือจ่อตรงบนคอของซูซินโหรวทันที
“หากเจ้ายังกล้ากล่าววาจาใส่ร้ายนายหญิงของพวกเราอีก ข้าจะกุดหัวเจ้าให้ร่วงหล่นพื้นเสียตอนนี้”
ดูเรียบง่ายแต่ป่าเถื่อน เยือกเย็นแต่ใช้อำนาจ
ซูซินโหรวจึงตกสั่นขวัญหายในทันที ใบหน้าซีดเผือด หวาดกลัวจนหันไปมองขอความช่วยเหลือจากบิดาของตน
“หลงเอ้อได้โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด นางเป็นเด็กสาวที่มุทะลุไปสักหน่อยเป็นเพราะข้าอบรมสั่งสอนมิดี ข้าจะให้นางออกไปจากตรงนี้ทันที แล้วมิอนุญาตให้นางเข้ามารบกวนอีกเป็นอันขาด” ซูโหวเย่เร่งขอโทษขอโพย
“คิดจะหนีไปอย่าง ง่าย ๆ งั้นหรือ นายหญิงของข้าถือว่าเป็นดวงใจของซื่อจื่อ และเป็นที่เคารพนับถือกันในจวนซื่อจื่อ แต่จู่ ๆ กลับมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเคลือบแคลงในตัวนาง เจ้าถือดีมาจากไหนถึงได้กล้าเยี่ยงนี้ ขอเพียงแค่นายหญิงเอ่ยมาประโยคเดียว ตระกูลซูของพวกเจ้าก็ราบเป็นหน้ากลอง ครั้งนี้คิดจะหนีหรือ ช้าไปเสียแล้ว” หลงเอ้อกล่าวอย่างมิพอใจ
ซูซินโหรวหวาดกลัวจนคุกเข่าเสียงฟุบลงไปกับพื้น สั่นเทาไปทั่วร่าง ขณะที่เพิ่งจะร้องขอชีวิตนั้น สายตาอันจดจำความแค้นของหลงเอ้อก็จ้องตรงมา นางจึงมิกล้าเอ่ยอีกแม้แต่คำเดียว
ซุโหวเย่เองก็ตกใจกลัวจนเกือบจะคุกเข่าลงไปกับพื้น โชคดีพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านข้างประคองเขาไว้ “โหวเย่ ระวัง”
ซูโหวเย่กลัวจนอกสั่นขวัญแขวน เดิมทีเพียงต้องการอยากให้แม่นางหยุนช่วยรักษาใบหน้าของลูกสาวตน ใครจะไปคาดคิดมาก่อนว่าจะลงเอยเช่นนี้ได้ และตนก็มิได้หาเรื่องใส่ตัวใช่หรือไม่
ซูโหวเย่จ้องเขม็งซูซินโหรวที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยความโกรธ ก่อนที่จะตบนางถึงสองตีจนหน้าหัน ทันใดนั้นก็ปรากฏเป็นรอยนิ้วมือทั้งสิบอย่างบวมแดงอยู่บนใบหน้าซูซินโหรว เจ็บปวดจนชาไปทั่วใบหน้า แต่นางหาได้สำนึกผิดไม่
“ท่านพ่อ คาดมิถึงเลยว่าท่านจะตบข้าได้ลงคอ?”
“ข้าต้องตบสั่งสอนเจ้า และต้องโทษตัวข้าเองที่ตามใจเจ้าจนเคยตัว และทำให้เจ้ากลายเป็นคนมิรู้จักมารยาทถึงเพียงนี้ แม่นางหยุนหาใช่คนที่เจ้าต้องสงสัยเคลือบแคลงใจไม่ เจ้าทำให้ตระกูลซูของพวกเราต้องอับอาย ถ้าหากว่าใต้เท้าหลงเอ้อต้องการทำลายตระกูลของเราให้ราบเป็นหน้ากลองจริง ๆ ละก็ เช่นนั้นตราบาปก็จะติดตัวเจ้าไปตลอดกาล” ซูโหวเย่ดุด้วยความโกรธ
“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนักในความผิดแล้วจริง ๆ ต่อแต่นี้ไปข้าจะมิกล้าทำอีกแล้ว ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด” ซูซินโหรวเร่งขอให้บิดายกโทษตน
“เจ้ามาขอให้ข้ายกโทษให้แล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน เจ้าต้องไปขอความเมตตากับใต้เท้าหลงเอ้อสิ”