ตอนที่ 633 คุณหนูใหญ่
ไป๋เสี่ยวเฟิงเองก็อึดอัดใจจนแทบแย่แล้ว เขากล่าวกับหลิวซื่อว่า “ท่านแม่ พวกเราจะอยู่ในเรือนนี้ไปทั้งชีวิตหรือ ข้ายังอยากมีตำแหน่งและชื่อเสียง ท่านหาสำนักศึกษาให้ข้าเข้าเรียนสิ!”
ไป๋ต้าเป่าก็เอ่ยเช่นกัน “ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าหญิงสาวในเมืองหลวงต่างก็งดงามสดใสกันทุกคน อายุข้าไม่น้อยแล้ว ท่านต้องเป็นแม่สื่อให้ข้านะขอรับ!”
หลิวซื่อมองตาขวางใส่เหล่าบุตรชาย กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าดูสิ ข้าดูเหมือนมีความสามารถทำทุกอย่างให้พวกเจ้าหรือไร ตอนนี้ข้าไม่มีเงิน อีกทั้งไม่คุ้นเคยที่ทาง แล้วจะทำเรื่องเหล่านั้นได้เช่นไร”
“ท่านทำไม่ได้ ไป๋เจินจูก็ทำไม่ได้เช่นกันหรือไร ตอนนี้นางเป็นถึงบุตรีของจวนชางหยวนโหวที่สูงส่ง ต้องการอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ท่านไปหานางก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ” เสี่ยวเฟิงเสนอ
“จริงด้วย ข้าจะไปเจินจูก็สิ้นเรื่องแล้ว” หลิวซื่อเหมือนเห็นทางสว่างข้างหน้าโดยพลัน นางหยัดกายลุกขึ้นปั่นฝุ่นบนเสื้อผ้าทิ้ง “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“ท่านแม่ ข้าจะไปกับท่านด้วย” ไป๋ต้าเป่ามีสีหน้าตื่นเต้น เขาโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นเลยว่าจวนโหวเป็นเช่นไร มันจะต้องยิ่งใหญ่อลังการเป็นแน่
ไป๋เสี่ยวเฟิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “ข้าไม่ไปนะ มีอะไรน่าดูกัน ก็แค่ใหญ่กว่าบ้านของพวกเราเท่านั้น”
เจ้าใหญ่ก็อยากไปเช่นกัน ทว่าเขารู้สึกปอดแหกอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็เป็นจวนโหว ไม่ใช่หมู่บ้านหวงถัวแต่อย่างใด
สุดท้ายมีเพียงหลิวซื่อและไป๋ต้าเป่าที่ไปจวนชางหยวนโหวด้วยกัน
ยามหนุ่มที่หน้าประตูจวนเห็นการแต่งกายของพวกเขา ก็พลันทำสีหน้าเหยียดหยัน “พวกเจ้ามาหาใคร”
หลิวซื่อไม่อยากให้ยามผู้นี้ดูถูก จึงกระแอมเสียงหนึ่ง เชิดหน้ากล่าวว่า “ข้ามาหาคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้า”
“เจ้าเป็นใคร มาหาคุณหนูใหญ่มีเรื่องใด” ยามหนุ่มถาม
“ข้าเป็นแม่ของนาง จะมาหานางต้องมีธุระอะไรด้วยหรือไร เจ้ายุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ” หลิวซื่อเอ่ยเสียงแข็ง
ทุกคนในจวนโหวแห่งนี้ต่างก็รู้ว่าชางหยวนโหวตามหาคุณหนูใหญ่กลับมาจากบ้านนอก คุณหนูใหญ่อยู่รอดปลอดภัย เติบใหญ่มาได้ถึงเพียงนี้ ย่อมมีคนเก็บนางมาเลี้ยงแน่นอน จะมีแม่สักคนอยู่ข้างนอกจวนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
บนใบหน้าของยามหนุ่มประดับด้วยรอยยิ้มโดยพลัน ทว่าความดูถูกในแววตายังคงไม่จางหายไปแม้สักกระผีก “ที่แท้ก็เป็นแม่เลี้ยงของคุณหนูใหญ่นี่เอง ท่านรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปแจ้งข้างในเดี๋ยวนี้”
“ต้องไปแจ้งด้วยหรือ ข้ายังเข้าไปไม่ได้หรือนี่” หลิวซื่อรีบถาม
ยามตอบทันที “หากนายท่านไม่อนุญาต ข้าก็ไม่กล้าปล่อยท่านเข้าไปเช่นกัน ท่านรออยู่ตรงนี้สักครูเถอะ ข้าจะไปแจ้งให้”
ประตูจวนปิดลงอีกครั้ง ครั้นเห็นประตูสีแดงปิดสนิท หลิวซื่อก็บ่นอุบ “จะพบหน้ากันต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้เลยหรือ เช่นนั้นต่อไปไม่ต้องรออยู่ที่หน้าประตูทุกวันหรือไร”
ลมหนาวข้างหนอกพัดหวีดหวิว บัดนี้นางสวมเสื้อผ้ายามที่ออกมาจากหมู่บ้านหวงถัว เป็นเพียงผ้าฝ้ายบางๆ เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นรูขาดอีกหลายรู ทำเอาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเลยทีเดียว
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามได้ ประตูจวนก็ปิดออก ยามหนุ่มออกมาจากข้างใน กล่าวกับทั้งสองคนว่า “เชิญทั้งสองท่าน”
เมื่อทั้งสองคนเข้าประตูไปแล้ว พวกเขาก็พลันตะลึงตาค้างเพราะสง่าราศีของจวนโหว คำว่าหรูหราและมีบารมี ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงเคยได้ยินเท่านั้น แต่กลับไม่เคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้จะได้โอกาสได้เห็นที่พักอาศัยเช่นนี้จริง
ไม่เพียงแค่เห็นเท่านั้น ยังได้เข้าไปอีกต่างหาก
ยามหนุ่มนำทางพวกเขา หนทางยาวไกลทีเดียว ต้องผ่านโถงหน้า เดินบนทางเดินคดเคี้ยวหลายตลบ ทางเดินนี้มีทางเข้าออกมากมาย แต่ละจุดล้วนเชื่อมกับสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป หากไม่มียามนำทาง พวกเขาอยากหาเส้นทางที่ถูกต้อง เกรงว่าคงต้องเสียเวลาหลายชั่วยามทีเดียว มิน่าเล่าถึงต้องรออยู่ข้างนอกประตูถึงครึ่งชั่วยาม เพราะที่นี่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้นี่เอง
เมื่อไปถึงเรือนหลานแล้ว ยามก็หยุดฝีเท้า ก่อนจะมีสาวใช้คนหนึ่งก้าวขึ้นมาต้อนรับ “คุณหนูใหญ่เชิญฮูหยินเข้าไปเจ้าค่ะ”
ไป๋ต้าเป่าชะงัก “ไม่เชิญข้าหรือ”
สาวใช้ผู้นั้นส่ายหน้า “คุณหนูใหญ่บอกว่าชายหญิงแตกต่างกัน คุณชายไป๋โปรดรอข้างนอกเถิดเจ้าค่ะ”
……….
ตอนที่ 634 คนต้องพึ่งอาภรณ์ ส่วนพระต้องพึ่งจีวร
หลิวซื่อรีบพูดว่า “เจินจูพูดถูกต้องแล้ว หญิงชายแตกต่างกัน พวกเจ้าพบหน้ากันเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าพูดกับเจินจูครู่เดียวก็ออกมาแล้ว”
ไป๋ต้าเป่าทำได้เพียงตอบตกลง แล้วมองมารดาเดินเข้าไปในเรือน เขารู้สึกเบื่อหน่ายนัก อีกทั้งตรงนี้หนาวทีเดียว เมื่อครู่เพิ่งจะเดินให้ร่างกายได้อบอุ่นขึ้นมา ตอนนี้ยืนอยู่เฉยๆ แล้วจึงรู้สึกหนาวยิ่งกว่าเดิม
เขามองไปรอบๆ เห็นสวนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลสวยงามมาก อีกทั้งยืนอยู่ตรงนี้หน้าเบื่อนัก จึงถือโอกาสไปเดินเล่นในสวนเสียเลย เผื่อว่าจะอบอุ่นร่างกายได้ด้วย
ทันทีหลิวซื่อเข้าไปในเรือน นางเห็นไป๋เจินจูอยู่ในชุดสีสวยสด ประดับปิ่นเต็มศีรษะ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจริงๆ ท่าทางราวกับเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ไปแล้ว
นางยิ้มว่า “จริงๆ เลยนะ คนต้องพึ่งอาภรณ์ ส่วนพระก็ต้องพึ่งจีวร เจ้าแต่งองค์ทรงเครื่องขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งจริงๆ เลยนะ”
ไป๋เจินจูมุ่นคิ้วมองนาง ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ในเรือนนี้มีคนอยู่มากมาย ยังกล้าพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้อีก จะบอกว่าเมื่อก่อนคนไม่ใช่คุณหนูเช่นนั้นสิ?
“ออกไปกันก่อนเถอะ ข้ากับท่านแม่มีเรื่องต้องคุยกัน” ไป๋เจินจูโบกมือไล่พวกสาวใช้
พวกสาวใช้เห็นการแต่งกายของหลิวซื่อแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้เรื่องราว ตั้งแต่คนผู้นี้เข้ามาในเรือน ดวงตาของนางก็จ้องเครื่องประดับบนศีรษะของคุณหนูตาไม่กะพริบ
ครั้นประตูเรือนปิดลง หลิวซื่อก็เร่งรุดไปถึงเบื้องหน้าของไป๋เจินจูทันใด นางยื่นมือไปดึงปิ่นปักผมทองบนศีรษะของหญิงสาวมาชิ้นหนึ่ง ถือมันไว้ในมือ “หนักทีเดียว เจ้าปักมันไว้บนผมมากมายเช่นนี้ เหนื่อยแย่เลยกระมัง!”
หลิวซื่อกำปิ่นปักผมไว้ในมือ ในเมื่ออยู่ในมือนางแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลให้ต้องคืนอยู่แล้ว
แววตาของไป๋เจินจูมีแต่ความเกลียดชัง “ท่านชอบก็เอาไปเถอะ วันนี้มาหาข้ามีธุระอะไร”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น หลิวซื่อก็เข้าไปนั่งลงใกล้ๆ ไป๋เจินจู ยิ้มกริ่มว่า “เจินจู ตอนนี้แม้ครอบครัวของข้าจะมีกินมีดื่มแล้ว แต่พวกข้าไม่มีเงินติดตัวเลยสักทองแดงเดียว จะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกกระมัง เสี่ยวเฟิงยังต้องเรียนหนังสือ ต้าเป่ายังต้องแต่งภรรยา เวลาที่พวกข้าต้องออกไปข้างนอก นั่นย่อมต้องใช้เงินอยู่แล้ว”
พูดไปพูดมา ประเด็นอยู่ที่การขอเงินสินะ
ไป๋เจินจูไม่อยากสนใจนาง แต่ก็จำต้องสนใจ เมื่อไรที่ได้มองใบหน้าโลภมากนี้ นางมักจะรู้สึกทรมานใจ หากพ่อแม่ของนางอยู่ที่นี่ จะต้องไม่ร้องขออะไรนางเช่นนี้แน่ อย่างไรเสียนางก็เพิ่งเข้ามาอยู่ที่จวนแห่งนี้ เท้ายังไม่ทันยืนมั่นคงเลย ก็จะให้นางไปขอเงินเผยชิงหานแล้วหรือนี่ หากใครได้ยินเข้าจะมองคุณหนูใหญ่เช่นนางอย่างไร
“เป็นอะไรไป ไม่พูดจาหมายความว่าอย่างไร” หลิวซื่อทำหน้าบึ้ง
หญิงสาวลอบถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดหีบเครื่องประดับหนึ่ง แล้วหยิบเงินตำลึงสองก้อนออกมา ก้อนหนึ่งหนักสิบตำลึง วันนี้เพิ่งมีคนนำเงินเหล่านี้มาให้นาง บอกให้นางใช้ตามใจชอบได้
นางส่งเงินสิบตำลึงให้หลิวซื่อ “เอาไปสิ”
หลิวซื่อรับเงินมา แต่สีหน้ายังคงไม่พอใจ “เท่านี้เองหรือ ไป๋เจินจู เจ้าต้องคิดให้ดี ที่นี่คือเมืองหลวง ทุกอย่างแพงไปเสียหมด เงินเท่านี้จะพอทำอะไรได้ จะพอซื้อกระดาษและพู่กันหรือไม่เล่า”
“ข้ารู้ว่าเงินเท่านี้คงไม่พอ แต่ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในจวนนี้ ข้าเองก็มีอยู่เท่านี้เช่นกัน ท่านคิดว่านายท่านเห็นข้าเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขาหรืออย่างไร” ไป๋เจินจูถาม
หลิวซื่อชี้ไปยังเสื้อผ้าและเครื่องประดับศีรษะของนาง ตะคอกว่า “ทุกอย่างบนตัวของเจ้าตอนนี้ มองอย่างไรก็มีค่าหลายร้อยตำลึงแล้วกระมัง ยังบอกว่าเขาไม่เห็นเจ้าเป็นบุตรสาวแท้ๆ อีกหรือ หากเขาไม่เห็นเจ้าเป็นบุตรสาวในไส้ จะให้เงินทองเจ้ามากมายเพียงนี้หรือไร”
ไป๋เจินจูจับแขนของอีกฝ่ายไว้ “ท่านพูดเบาๆ หน่อย อย่าให้คนอื่นได้ยิน” ข้างนอกนั่นมีสาวใช้รออยู่ไม่น้อยเลย