ตอนที่ 547 ที่มาของพู่หยก (2)
ฮ่องเต้ตรัสกับพ่อบ้านซุนว่า “กลับไปนำพู่หยกมาเดี๋ยวนี้”
พ่อบ้านซุนรับบัญชาแล้วถอยหลังไป รีบออกจากวังไปอย่างเร่งรีบ
ส่วนชางซูหังยังคงคุกเข่าอยู่ในตำหนัก ดูเหมือนฮ่องเต้จะลืมเขาไปแล้ว
ฮ่องเต้ตรัสกับขันทีข้างกาย “วันนี้ตงฟางมู่ก็มาด้วยใช่หรือไม่”
ขันทีพยักหน้า “ทูลฝ่าบาท ไม่ได้มาพ่ะย่ะค่ะ ทว่าไหว้วานให้คนมาส่งของขวัญให้แล้ว ตอนนี้เขาน่าจะเข้าเมืองหลวงแล้ว เพราะเขาจะมาเยี่ยมเยียนคุณหนูหว่านในเวลานี้ทุกปีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดถึงคุณหนูหว่าน ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจเสียงหนึ่ง ตรัสถามอีกว่า “ส่งหมอหลวงไปดูอาการเป็นประจำอยู่ใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ส่งหมอหลวงไปตรวจดูทุกๆ สองสามวันพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีทูล
“ตงฟางหว่านเอ๋อร์ป่วยเป็นอะไรกันแน่ หลายปีขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังรักษาไม่หายสักที” ฮ่องเต้ถาม
ฝ่ายขันทีส่ายหน้า “ได้ยินหมอหลวงบอกว่า โรคของคุณหนูหว่านเกิดขึ้นเพราะสูญเสียบุตรีไปเมื่อหลายปีก่อน นางเศร้าโศกมายาวนาน ทำลายสุขภาพและร่างกาย รักษามานานก็ไม่เห็นหายเสียที เห็นทีว่าจะมีแต่แย่ลงพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของฮ่องเต้พันกันยุ่งเหยิง ยิ่งกำพู่หยกในมือแน่นขึ้น
การหมั้นหมายของเยี่ยนเอ๋อร์และเด็กคนนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กยังไม่คลอดออกมา แต่ใครจะรู้ว่านางเพิ่งเกิดมาได้ไม่เท่าไรก็หมดลมหายใจ ตงฟางมู่บอกว่าฝังพู่หยกชิ้นนี้ไปพร้อมกับตัวเด็กแล้ว
ทว่าพู่หยกที่รู้แน่ชัดแล้วว่าฝังไปพร้อมกับตัวเด็ก เหตุใดถึงมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้
ฮ่องเต้ชำเลืองมองไปทางชางซูหังที่หน้าซีดเผือด ตรัสเสียงขรึมว่า “ข้าเดาว่าเจ้าไม่รู้เส้นสนกลใน จึงจะไว้ชีวิตเจ้าไปก่อน แต่เจ้าฟังข้าไว้ให้ดี ไปสืบที่มาของพู่หยกชิ้นนี้มาให้ข้าภายในสิบวัน ห้ามให้คนที่พัวพันกับมันเล็ดรอดไปสักคนเดียว ต้องรายงานข้าทั้งหมด เข้าใจหรือไม่”
ครั้นชางซูหังรู้ว่าตนรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้แล้ว เขาก็พลันคลายใจ รีบโขกศีรษะ “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นเขาก็พลันนึกได้ สืบได้แล้วควรทำเช่นไรต่อเล่า
เขาลอบเงยหน้ามองฮ่องเต้ เห็นพระองค์ก็มองเขาอยู่เช่นกัน จึงรีบเก็บซ่อนสายตา เอ่ยถามเสียงสั่น “ฝ่าบาท หลังจากกระหม่อมสืบจนชัดแจ้งแล้ว ควรจะจัดการกับคนที่เกี่ยวข้องอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเพียงแค่สืบมา สิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาก็อย่าได้พูด ส่วนเรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะจัดการเอง” ฮ่องเต้ตรัส
ขันทีสองคนพาชางซูหังออกไปแล้ว จากนั้นฮ่องเต้ก็เอ่ยกับขันทีเฒ่าว่า “เจ้าส่งคนไปเชิญตงฟางมู่ บอกว่าข้ามีเรื่องอยากพบเขา ส่วนเรื่องเกี่ยวกับพู่หยกนี้ เจ้าอย่าเพิ่งกระโตกกระตากไปล่ะ”
…
จวนชางหยวนโหว
ตงฟางมู่นั่งอยู่เบื้องหน้าเตียงของสตรี มองหมอหลวงตรวจร่างกายนาง ขณะเดียวกันก็รีบถามว่า “ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
หมอหลวงส่ายหน้า “เป็นดังเก่าขอรับ แย่ลงเรื่อยๆ ท่านตงฟาง ท่านต้องเตรียมใจไว้บ้างแล้วนะขอรับ”
“เตรียมใจ? เตรียมอะไร ให้ข้าเตรียมอะไรรึ คนคนหนึ่งนอนอยู่ตรงนี้ เจ้าเป็นหมอ ไม่ใช่ว่าควรรักษานางให้หายหรือไร” ตงฟางมู่โมโห
เขาอ่อนไหวกับเรื่องของนางอย่างมาก แต่ที่มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดใจ
หมอหลวงถอนใจเสียงหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หลังจากเขียนใบสั่งยาแล้วก็จากไป
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ที่อยู่บนเตียงพิงหัวเตียงอย่างอ่อนล้า พลางยิ้มขื่นให้ตงฟางมู่ “ท่านพ่อ ท่านกำลังทำอะไร ที่ข้าป่วยก็ไม่ใช่ความผิดของหมอหลวง ท่านจะไปกล่าวโทษเขาได้อย่างไรกัน”
โทสะของตงฟางมู่ยังไม่หายไป “ไม่โทษเขาแล้วจะโทษใครได้ เจ้าป่วยมาตั้งนานเท่าไรแล้ว เขาเป็นมือดีแห่งสำนักหมอหลวง แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง บอกเพียงว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นฉับพลันในปีนั้น แต่ข้าว่าเขาไร้ความสามารถมากกว่า”
“ท่านพ่อ ไม่พูดเรื่องนี้แล้วเจ้าค่ะ ท่านก็ใจเย็นๆ หน่อยเถอะ เรื่องผ่านไปนานแล้ว โมโหขึ้นมาแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน”
ตงฟางมู่รู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เห็นบุตรีมีสภาพเช่นนี้แล้ว เขาจะไม่โมโหได้อย่างไร แต่คนที่เขาโมโหคือตัวเขาเองต่างหาก เหตุใดตนถึงทำได้เพียงมองบุตรีป่วยไข้อยู่เช่นนี้ ทว่าทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
……….
ตอนที่ 548 ที่มาของพู่หยก (3)
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าวางใจเถอะ พ่อจะต้องตามหาหมอเทวดามารักษาเจ้าให้ได้ พ่อจะไม่ให้เจ้าเป็นอะไรโดยเด็ดขาด เจ้าเชื่อพ่อนะ” เขามีบุตรีเพียงคนเดียว จึงรักและเอ็นดูนางราวกับแก้วตาดวงใจ ทว่าหว่านเอ๋อร์ผู้สดใสร่าเริง ไร้ความกังวลเปลี่ยนไปตั้งแต่แต่งเข้าจวนชางหยวนโหวแห่งนี้
หลายปีมานี้เขารู้สึกเสียใจมาโดยตลอด ที่บุตรสาวแต่งเข้าจวนชางหยวนโหวแห่งนี้ ปีนั้นเขาสนิทสนมกับเผยเซิงคัง บุรุษผู้นี้เป็นคนดีมาก เพื่อให้บุตรชายได้แต่งงานก่อนตนเองตาย และหวังอาศัยความสัมพันธ์อันดีของตนกับฮ่องเต้ รักษาความรุ่งเรืองของจวนชางหยวนโหวต่อไป ในเวลานั้นเขาก็คิดเช่นกันว่าบุตรชายของเผยเซิงคังต้องเป็นคนที่ไม่เลวแน่ๆ
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโดยพลการ ให้หวานเอ๋อร์แต่งเข้าสกุลเผย หากรู้แต่แรกว่าเผยชิงหานจะเป็นคนเช่นนี้ เขาไม่มีทางให้บุตรีแต่งให้เขาแน่นอน
ถึงแม้ในใจจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงถามออกไป “เผยชิงหยวนผู้นั้น ช่วงนี้เขาดีกับเจ้าหรือไม่”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ยิ้มจางเพื่อปกปิดความเสียใจในแววตา “อะไรเรียกว่าดีหรือไม่ดีกันเล่า เขาเป็นสามีของข้านะเจ้าคะ”
ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ ตงฟางมู่ก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้า เผยชิงหานรับอนุหลายคนหลังจากนางป่วยได้ไม่ถึงสามเดือน บัดนี้จวนชางหยวนโหวถึงจะมีหว่านเอ๋อร์เป็นภรรยาเอก แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพียงอนุที่ต่ำต้อย เหล่าข้ารับใช้เหล่านั้นไม่เห็นนางเป็นภรรยาเอกของจวนด้วยซ้ำไป ตัวเขาเข้ามาในจวนตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่มีการยกชามาให้แม้สักจอก
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าพูดความจริงกับพ่อเถอะ ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่ หากเจ้าอยากจะไป พ่อจะพาเจ้าไปวันนี้เลย”
เขาถามนางเช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ทว่าหว่านเอ๋อร์ล้วนปฏิเสธเขาทุกครั้งไป นางบอกว่านางเหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ทั้งยังเป็นภรรยาเอกของจวนชางหยวนโหว หากนางกลับบ้านพ่อไปเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นการทำลายเกียรติของเขา
ทว่าครั้งนี้ตงฟางหว่านเอ๋อร์กลับใจอ่อนอยู่บ้าง นางรู้ว่าชีวิตคนไม่ยืนยาว และนางไม่อยากทิ้งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตตนเองไว้ที่เรือนหลังนี้ นางอยากออกไปดูว่าโลกภายนอกเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แทนบุตรีที่ยังไม่ทันได้เรียกนางว่าท่านแม่แม้สักครั้ง
“ท่านพ่อ หากข้าไปกับท่าน คนข้างนอกจะต่อว่าข้าเช่นไร” แม้นางจะใจอ่อน แต่ก็ยังคงลังเลใจ
ตงฟางมู่โบกมือ “ไม่ต้องไปสนใจว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันเสียหน่อย เจ้าใช้ชีวิตของเจ้าก็พอ พวกเขาอยากพูดก็ให้พูดไป พวกเราไม่ได้ต้องเสียเนื้อสักชิ้นเพราะเหตุนี้”
เมื่อเห็นบุตรสาวยังคงลังเล เขาจึงกล่าวอีกว่า “หว่านเอ๋อร์ พ่ออายุมากแล้ว ผ่านประสบการณ์อะไรมามากมาย นี่เป็นเพียงการรับเจ้ากลับบ้านไปรักษาอาการป่วย หรือหากเจ้าต้องการแยกทางกับเขา พ่อก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน”
คำว่าแยกทางสองคำนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาด ระเบิดเสียงดังอื้ออึงอยู่ข้างหูของนาง นางเคยคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ยามที่เผยชิงหานยกย่องอนุผู้นั้นต่อหน้านาง และยามที่เขาพลอดรักกับสตรีสารเลวผู้นั้นต่อหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า แยกทางสองคำนี้ปรากฏอยู่ในห้วงสมองของนางนับครั้งไม่ถ้วน
แต่เพราะนางไม่พอใจ ไม่ชอบใจที่สตรีผู้นั้นได้รับความรัก ถึงได้ฝืนทนมานานถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่าน แต่ข้าไม่อยากแยกทางกับเขา ถึงแม้ข้าจะไปแล้ว ข้าก็จะครองตำแหน่งภรรยาเอกของที่นี่ ไม่ให้นางแพศยาผู้นั้นได้สมใจปรารถนา”
ตงฟางมู่รู้สึกปีตินัก ในที่สุดบุตรีของเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
“ดีๆๆ ข้าจะไปจัดเตรียมทุกอย่าง พวกเราไปกันวันนี้เลยเถอะ” ตงฟางมู่ให้บุตรสาวนอนลงก่อน เขาห่มผ้าให้นางด้วย ขณะกำลังจะไปพูดเรื่องนี้กับเผยชิงหาน สาวใช้คนหนึ่งก็รีบร้อนเข้ามา สีหน้าลนลานร้อนใจทีเดียว ราวกับว่ามีใครไล่ตามมาอย่างไรอย่างนั้น