ตอนที่ 543 ครอบครัวคนขี้เกียจ (4)
หญิงชราเงยหน้ามองนางครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “จะกินอะไรก็ต้องกินตอนร้อนๆ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ” ตอนที่เจ้ารองต้มข้าว กลิ่นหอมโชยมาถึงห้องของนาง แม้แต่นางเองก็ได้กลิ่น แล้วสองคนนี้จะไม่ได้กลิ่นได้อย่างไร ใครใช้ให้พวกเข้าตื่นช้าเล่า ไม่ได้กินโจ๊กสักหยดแล้วจะโทษใครได้
หลิวซื่อยังคงร้อนใจ “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านพูดเช่นนี้แล้วยังจะได้ประโยชน์อะไรกัน ท่านช่วยข้าคิดหาหนทางดีกว่า วันนี้ทั้งวันพวกข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย หวังจะกินมื้อนี้นี่แหละ”
ทว่าหญิงชรายังไม่ได้พูดอะไร ไป๋ต้าเป่าและไป๋เสี่ยวเฟิงก็เข้ามาในห้องของนางบ้าง ไป๋เสี่ยวเฟิงมองหลิวซื่ออย่างไม่พอใจ ขึ้นเสียงว่า “ท่านแม่ นี่มันยามใดแล้ว ฟ้าก็มืดแล้วเช่นกัน ไยยังไม่ได้กินข้าวเสียที”
ไป๋ต้าเป่าก็กล่าวว่า “ใช่ ข้าหิวมาตลอดทั้งวันแล้ว แต่ไม่เห็นพวกท่านเรียกข้ากินข้าวสักที ป่านนี้แล้วยังไม่ได้ทำอาหารอีกหรือ”
หากไม่ใช่เพราะขดตัวอยู่ในผ้าห่มช่างแสนสบาย เขาก็คงออกมาเร่งเรื่องข้าวเร็วกว่านี้ เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วย
บัดนี้มีเสียงดังสองสามสายดังมาจากข้างนอก ไป๋ต้าเป่ามองออกไปเห็นไป๋ฟู่กุ้ยกำลังยกถ้วยสองใบออกมาจากห้องของไป๋เจินจู หลังจากวางถ้วยที่ห้องครัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็หมุนกายกลับห้องของตนเองไป
ไป๋ต้าเป่ากล่าวกับหลิวซื่อว่า “ท่านแม่ เหตุใดถึงดูเหมือนฟู่กุ้ยกินข้าวแล้วเล่า”
หลิวซื่อทำหน้าบึ้ง “อารองของเจ้าไม่ได้ทำอาหารให้พวกเรา”
“เพราะเหตุใดกัน ไม่ใช่ว่าหลายวันมานี้ท่านอารองทำอาหารให้พวกเราหรือ ไยวันนี้ไม่ทำแล้วเล่า” ไป๋ต้าเป่าไม่เข้าใจ
หลิวซื่อส่ายหน้า “ไม่รู้สิ พวกเจ้าไปถามเองเถอะ!”
“จะต้องเป็นเพราะท่านแม่ไปหาเรื่องอาสะใภ้รองแน่ๆ ท่านแม่นี่จริงๆ เลย ตอนนี้พวกเราทั้งบ้านล้วนหวังพึ่งอารอง ท่านจะไปหาเรื่องอาสะใภ้รองให้ได้เรื่องอะไรกัน ทนสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ” ไป๋เสี่ยวเฟิงกล่าวบ้าง
หลิวซื่อโมโหแล้ว “ข้าไม่ได้หาเรื่องนาง วันนี้ข้าไม่ได้หาเรื่องนางจริงๆ ข้าไม่ได้ออกจากห้องของตนเองเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้พบนางเลยด้วย มีแต่พูดจากับนางผ่านประตูกั้นอยู่ไม่กี่คำ แล้วข้าจะผิดใจกับนางได้อย่างไร”
“พวกเจ้าพูดอะไรกัน” หญิงชราถาม
คราวนี้หลิวซื่อถึงนึกเรื่องงานเย็บปักขึ้นได้ นางรีบออกไปดู แต่กลับพบว่าผ้าปักลายหายไปแล้ว
นางปรี่ไปในห้องของจางซื่อ เข้าไปถึงแล้วก็ยื่นมือให้จางซื่อทันที “ผ้าปักลายนั่นเล่า ไม่ใช่บอกว่าจะให้เงินข้าหนึ่งเฉียนหรือ”
จางซื่อยกผ้าปักลายในมือที่ใกล้จะทำเสร็จแล้วขึ้น กล่าวว่า “ข้าให้ผ้าผืนนี้กับเจ้าไปตั้งแต่เช้า บอกไว้แล้วว่าพรุ่งนี้ข้าต้องนำไปส่ง แล้วเจ้าปักมันหรือไม่ นอกจากนอนทั้งวันแล้ว เจ้าได้ออกมาจากผ้าห่มบ้างหรือไม่ หากไม่ใช่เพราะข้านึกเรื่องนี้ขึ้นได้และออกไปดูสักหน่อยของสิ่งนี้คงจะถูกปล่อยทิ้งไว้จนถึงพรุ่งนี้กระมัง”
หลิวซื่อมุ่นคิ้ว สีหน้าไม่พอใจ “ข้าไม่สน เจ้าบอกว่าจะให้เงินข้าหนึ่งเฉียน บอกแล้วว่าจะให้ข้าปักลายผ้าผืนนี้ ตอนนี้เจ้าทำไปเสียแล้ว เงินก็ต้องเป็นของข้า”
จ้างซื่อแค่นหัวเราะ “เจ้าช่างหน้าด้านเสียจริง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ข้าจางซูเหมยเป็นเด็กในบ้านหรือข้ารับใช้ของเจ้าหรือ เหตุใดเงินที่ข้าหามาได้ต้องยกให้เจ้าด้วย เจ้าคงฝันกลางวันยังไม่ตื่นกระมัง ยังไม่ตื่นก็นอนต่อไปเถอะ”
วาจาเหล่านี้ทำให้หลิวซื่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะในสายตาของนางแล้ว นางเป็นสะใภ้ใหญ่ จางซูเหมยจะทำงานเก่งเพียงใดก็ไม่ได้อาวุโสไปมากกว่านาง เพราะเช่นนั้นก็ต้องเชื่อฟังนางซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ แต่น่าโมโหที่จางซูเหมยไม่เพียงไม่ฟังนาง ยังสั่งสอนนางทุกสิ่งทุกอย่าง ลองคิดดูสิ หากไม่ใช่เพราะจางซื่อผู้นี้ยุยง เจ้ารองจะแยกบ้านกับพวกนางได้หรือ ชีวิตของพวกนางจะกลายเป็นเช่นนี้ได้หรือ
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโมโห หลิวซื่อกำลังจะบันดาลโทสะ ทว่าไม่รู้ไป๋เสี่ยวเฟิงโผล่มาจากที่ไหน เขาจับมือผู้เป็นมารดา ก่อนจะขยิบตาให้นางครั้งหนึ่ง
หลิวซื่อไม่คิดว่าบุตรชายจะทำเช่นนี้ จึงแหวเสียงแหลม “เจ้ามาทำอะไร รีบออกไปเสีย”
……….
ตอนที่ 544 ครอบครัวคนขี้เกียจ (5)
ไป๋เสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “ท่านแม่ พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรพูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ จำเป็นจะต้องทำหน้าบึ้งตึงกันเช่นนี้ด้วยหรือไร” เขากล่าวพลางขยิบตา
หลิวซื่อไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ในเมื่อบุตรชายพูดชายพูดเช่นนี้ เขาย่อมมีเหตุผลของเขาเป็นแน่ จึงกล่าวต่อความว่า “ใครบอกว่าไม่ใช่กัน ข้าก็คิดเช่นนี้อยู่แล้ว”
“ในเมื่อพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวมีเรื่องลำบาก ก็ต้องจับมือกันเข้าไว้ไม่ใช่หรือ” ไป๋เสี่ยวเฟิงกล่าว
จางซื่อไม่ได้พูดอะไร เพียงก้มหน้าเย็บปักต่อไป
หลิวซื่อกล่าวต่อจากยบุตรชายว่า “แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเหตุผลใดให้ทอดทิ้งกัน”
ไป๋เสี่ยวเฟิงเห็นผู้เป็นมารดาจับจุดได้แล้ว เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก “ดังนั้นพวกเราหารือกับอาสะใภ้หน่อยเถอะ ว่าจะขอยืมข้าวมาใช้กินช่วงฤดูหนาวได้หรือไม่ อาสะใภ้เป็นคนใจกว้าง จะต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราแน่นอน ต่อไปเมื่อข้าได้เป็นขุนนางแล้ว ข้าต้องตอบแทนอาสะใภ้เป็นอันดับแรกแน่”
วุ่นวายอยู่ตั้งนาน สุดท้ายการยืมข้าวต่างหากถึงเป็นประเด็นสำคัญ
จางซื่อก้มหน้าทำงานต่อไป ไม่เงยหน้ามองสองแม่ลูกเลยสักนิด ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “พวกข้าก็ไม่มีเสบียงอาหารแล้วเช่นกัน พรุ่งนี้จะกินอะไรยังเป็นปัญหาของพวกข้าอยู่เลย และไม่รู้เช่นกันว่าพรุ่งนี้ส่งงานปักลายแล้วจะได้เงินเลยหรือไม่ ทีแรกตกลงกันไว้ว่าสิ้นเดือนถึงจะคิดบัญชีได้ วันนี้ก็ยังห่างจากสิ้นเดือนอีกตั้งสิบวัน”
นางแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ไป๋เสี่ยวเฟิงจะเป็นขุนนางเนี่ยนะ? คนที่แม้แต่การสอบระดับตำบลยังเข้าร่วมไม่ได้ ยังหวังว่าจะได้เป็นขุนนางอีกหรือนี่ บรรดาข้าราชการในวังขาดคนเช่นเขาหรือไร
อีกอย่าง คนอย่างเจ้าใหญ่ หลิวกว้าหัว และหญิงชราจะสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักบุญคุณ รวมถึงตอบแทนบุญคุณได้หรือ ไม่แก้แค้นเอาคืนด้วยความโกรธเคืองก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ไม่ว่าต่อไปเขาจะได้เป็นขุนนางหรือไม่ นางก็ไม่หวังทั้งสิ้น แม้กระทั่งหวังไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของไป๋เสี่ยวเฟิงแข็งค้าง อาสะใภ้รองดูท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อ ทำให้เขาอยากจะทุบโต๊ะระบายอารมณ์เสียจริงๆ สตรีโง่ผู้นี้กล้าเมินเขาหรือนี่ ต่อไปเขาจะได้เป็นขุนนางเชียวนะ
เขาอยากทำหน้าบึ้ง ทว่าท้องยังคงหิวอยู่ แม้ในหมู่บ้านหวงถัวจะยังมีญาติสกุลไป๋คนอื่น แต่ก็ล้วนผิดใจกันไปจนสิ้น ไม่มีใครให้พวกเขายืมข้าว ความหวังเดียวในตอนนี้จึงมีเพียงบ้านรองแล้ว
เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิ้มต่อไป “อาสะใภ้รอง ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะให้พวกข้ายืมเสบียงอาหาร ท่านคงทนเห็นพวกข้าทั้งบ้านหิวตายไม่ได้กระมัง”
จางซื่อหยุดงานในมือ ในที่สุดนางก็เงยหน้ามองไป๋เสี่ยวเฟิงตรงๆ “คนในหมู่บ้านมีมากมาย คนบนโลกนี้ที่ยากจนข้นแค้นยิ่งกว่าพวกเราก็มีถมเถไป เหตุใดคนอื่นไม่หิวตาย กลับมีแต่ครอบครัวของพวกเจ้าที่หิวเล่า”
เสี่ยวเฟิงไม่พูดอะไรต่อ จางซื่อจึงพูดต่ออีก “เสี่ยวเฟิง เจ้าเองก็เป็นคนที่เรียนหนังสือมา อาหารมาจากน้ำพักน้ำแรง ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร อาสะใภ้อย่างข้าคงไม่ต้องอธิบายให้เจ้าฟังใช่หรือไม่ หวังให้ผู้อื่นจุนเจือ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ยืนยาว ท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้าก็ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ดี”
หลิวซื่อคร้านจะฟังนางกล่าววาจาไร้สาระ พลันเอ่ยขึ้นเสียงว่า “เจ้าพูดมาตรงๆ เลยดีกว่า ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมให้ยิมเสบียงอาหาร”
จางซื่อส่ายหน้า “จะอย่างไรข้าก็ให้ยืมไม่ได้ ครอบครัวพวกข้าก็ต้องพึ่งพาการเย็บปักของข้า แค่เลี้ยงพวกข้ากันเองยังยากเลย หากมีพวกเจ้าเข้ามาร่วมด้วย ข้ายิ่งเลี้ยงไม่ไหว”
นางหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แต่หากเจ้าพยายามสักหน่อย ข้าช่วยเจ้ารับงานเย็บปักจากซู่เอ๋อได้ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็จะหาเงินได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วถึงจะซื้อข้าวได้หรือไร ยังต้องขู่เข็ญให้ผู้อื่นช่วยเหลือตนเองเช่นนี้หรือ”
หลิวซื่อมองมือที่พุพองของจางซื่อ ในใจรู้สึกลังเลอยู่บ้าง หากนางทำงานเย็บปักเช่นนี้เหมือนกับจางซื่อ มือของนางจะต้องพุพองเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่