“ไอหยา ตาฉี เหตุใดท่านยังนั่งดื่มชาอยู่ที่นี่ ไปๆๆ ไปดูใต้เท้าเจี่ยงพิจารณาคดีกัน”
“การพิจารณาคดีของใต้เท้าเจี่ยงมีอันใดแปลกไปงั้นหรือ ไม่ใช่ว่าพิจารณาคดีอยู่ทุกวันหรอกหรือ”
“วันนี้ไม่เหมือนกันเพราะว่าเป็นการพิจารณาคดีของจวิ้นอ๋องน่ะสิ! เรื่องการฟ้องร้องจวิ้นอ๋องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ในชีวิตนี้จะพบเจอได้ ท่านอยากไปชมหรือไม่”
“เริ่มพิจารณาคดีกันแล้วหรือ! ไปๆๆ ไปดูกันเร็ว!”
ในเมืองตงหนิงมีการสนทนาที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งแห่ง เมื่อรู้ว่าเจี่ยงเหวินเฟิงจะพิจารณาคดีของฉีตงจวิ้นอ๋อง ผู้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จึงรีบเดินทางไปล้อมดู แล้วพวกเขาก็เห็นจ่างสื่อจากจวนจวิ้นอ๋อง
จุ้ๆๆ แม้แต่จวิ้นอ๋องเขายังกล้าพิจารณาคดีด้วย เจี่ยงชิงเทียงช่างเที่ยงธรรม ไม่มีความลำเอียงสมคำร่ำลือจริงๆ
…………
หากเทียบกับที่ว่าการที่กำลังคึกคักแล้วจวนตระกูลหมิงนั้นเงียบสงบกว่านัก คนที่ถูกส่งมาที่นี่นอกจากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแล้วก็มีเพียงแค่เสมียนสองนาย
พวกเขาขอยืมห้องห้องหนึ่งจากนายท่านสองเพื่อสอบถามเกี่ยวกับคดีกับรายชื่อเด็กรับใช้
“ชื่อแซ่อะไร”
“ข้าน้อยเจียวซื่อขอรับ”
“อายุเท่าใด”
“สี่สิบเจ็ดขอรับ”
“เจ้าเป็นคนทำสวนงั้นหรือ”
“ใช่ขอรับใต้เท้า” เจียวซื่อถูฝ่ามือด้วยความไม่สบายใจ
“สิบปีก่อนเจ้ามาซ่อมแซมสวนอวี๋ฟางใช่หรือไม่”
“ขอรับ ข้าน้อยมีหน้าที่จัดแต่งต้นไม้”
“ต้นหลิวต้นนั้น เจ้าจำได้หรือไม่”
เจียวซื่อรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น “ต้นนั้นข้าน้อยเป็นคนปลูกเองขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกระดูกฝังอยู่ใต้ต้นหลิว”
เจียวซื่อคุกเข่าดัง ‘ตุบ’ “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้ด้วยขอรับ! ตอนที่ข้าน้อยลงมือปลูก ตรงนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลย!”
“ข้ายังไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้า!” เจ้าหน้าที่ตะโกน “เจ้าลองคิดดูอีกที ว่าตอนนั้นมีอันใดแปลกไปหรือไม่!”
“ข้าน้อย…ข้าน้อยจำไม่ได้ขอรับ!”
“หากเจ้าไม่นึกมันก็จำไม่ได้หรอก เจ้านึกดูดีๆ!”
“คือ…”
หลังจากสอบถามมาทั้งวันก่อนที่ทั้งสามคนจะขอตัวกลับไป นายท่านสองกล่าวเชื้อเชิญ “ใต้เท้าทั้งสาม ทางเราได้เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว แวะทานเสียก่อนค่อยออกไปดีหรือไม่”
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งสารภาพออกมา “วันนี้เรามีธุระ เกรงว่าจะรบกวนนายท่านสองเอาเป็นวันหลังแล้วกันขอรับ”
“เอ่อ..มีธุระก็ต้องทานอาหารก่อนมิใช่หรือ! กับข้าวก็ทำเสร็จแล้ว ใต้เท้าทั้งสามจะไม่ไว้หน้าข้าเลยหรือ”
“คือ…”
นายท่านสองยิ้ม “ใต้เท้าทั้งสามวิ่งเต้นเพื่อชื่อเสียงของตระกูลหมิงของข้า ตัวข้าไม่มีอันใดจะตอบแทน แค่เชิญทานข้าวสักมื้อคงไม่เกินไปใช่หรือไม่ขอรับ”
พอพูดถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนก็ครุ่นคิด และสุดท้ายจึงตอบตกลง “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณนายท่านสองมาก”
……….
คำสารภาพเหล่านี้ถูกส่งเข้ามาในสวนอวี๋ฟางในยามกลางคืน
ในห้องหลิวจิ่ง หยางชูนั่งเหยียดขาตรง และถามตัวฝู “ได้ยินมาว่าพวกเจ้าทำผลไม้แช่อิ่มได้อร่อยมาก เหตุใดจึงไม่นำมาเลี้ยงต้อนรับแขกเล่า”
ตัวฝูหันไปมองหมิงเวย หมิงเวยพลิกดูคำสารภาพพลางโบกมือส่งๆ
ตัวฝูจึงไปนำผลไม้แช่อิ่มมาให้พวกเขา
หยางชูถอนหายใจ “สาวใช้คนนี้ของท่านช่างซื่อสัตย์เสียจริง แค่นำผลไม้แช่อิ่มมายังต้องขออนุญาตท่าน”
“แม้จะเป็นแค่ผลไม้แช่อิ่ม แต่ก็มีเจ้าของ” แล้วหมิงเวยก็วางคำสารภาพแล้วหยิบชาขึ้นจิบ
“ท่านเองก็ไม่เห็นอันใดใช่หรือไม่” หยางชูเชิดคางขึ้น “สิบปีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจริงๆ”
หมิงเวยไม่สนใจเขานางจิบชาแล้วทานผลไม้แช่อิ่มอย่างช้าๆ จากนั้นก็พูดว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งที่ข้ามองข้ามไป”
“ใครรึ”
“แม่นมถง” หยางชูชะงัก
“หากนับเวลาดูแล้วช่วงที่เกิงซานมาที่ตงหนิง ท่านแม่ได้เดินทางกลับมาที่นี่แล้ว สาวใช้ในปีนั้นต่างออกเรือนไปหมด เด็กรับใช้ชายก็มีการโยกย้าย แต่แม่นมถงอยู่กับท่านแม่มาโดยตลอด หากถามว่าผู้ใดรู้เรื่องราวเมื่อสิบปีก่อนได้ชัดเจนมากที่สุดก็คงเป็นนาง”
หยางชูสะบัดพัด “ถ้าเช่นนั้นมัวรออันใดอยู่เล่าก็เรียกนางมาถามเลยสิ”
หมิงเวยลุกขึ้น “ร่างกายแม่นมถงไม่ค่อยดีข้าจะไปถามเอง” นางหยุดยืนอยู่ชั่วขณะ “ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่”
หยางชูมองออกไปด้านนอกแล้วยกมือแตะคาง “มีข้าถูกพบเห็นเข้าจะไม่ถูกจับได้อีกครั้งหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านกลัวงั้นหรือ”
พอถูกนางยิ้มแบบนั้นใส่ หยางชูแค่นหัวเราะ “ข้าไม่กลัวอันใดทั้งนั้น ข้ายังต้องกลัวอันใดอีก! ไปกัน!”
………
หลายวันมานี้ซู่เจี๋ยกับปิงซินต่างผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนแม่นมถง หากถามว่าผู้ใดสะเทือนใจมากที่สุดเมื่อฮูหยินสามเสียชีวิต แน่นอนว่าต้องเป็นแม่นมถง
นางเป็นสาวใช้จากตระกูลเก่าแก่ เลี้ยงดูฮูหยินสามจนเติบใหญ่ ติดตามนางยามออกเรือนกับตระกูลหมิง เรื่องราวตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเรื่องในภายหลังที่สุดทนจะรับได้ นางเห็นมาหมดแล้ว
อย่างที่หมิงเวยกล่าวมานางเป็นสาวใช้แล้วก็เป็นแม่บุญธรรมด้วย
พอฮูหยินสามเสียชีวิต แม่นมถงก็ล้มป่วยไม่ถึงกับเป็นโรคร้าย แต่ก็อาการไม่ดีขึ้น อาหว่านบอกว่านี่เป็นอาการตรอมใจมีเพียงนางเท่านั้นที่จะบรรเทาตนเองได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้ดื่มยามากเพียงใดก็ไม่มีทางหาย
เหล่าเด็กสาวกังวลว่านางจะไม่สามารถผ่านมันไปได้ พวกนางจึงแบ่งงานกัน โดยซู่เจี๋ยและปิงซินจะผลัดกันดูแลแม่นมทั้งกลางวันและกลางคืน
ผู้ที่ดูแลแม่นมถงวันนี้ก็คือซู่เจี๋ย เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วแม่นมถงดื่มยาเสร็จก็หลับไป ซู่เจี๋ยจึงคิดที่จะทำความสะอาดสักหน่อยจากนั้นก็ค่อยไปพักผ่อน
“ก้อกๆ!” มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกเบาๆ
“ผู้ใดน่ะ”
“ข้าเอง” หมิงเวยลดเสียงลง “ซู่เจี๋ย เจ้าเปิดประตูหน่อย”
พอซู่เจี๋ยเปิดประตูนางก็ถูกใครบางคนใช้มือปิดปากทันที นางตกใจ เกือบคิดว่าเป็นคนไม่ดีที่สวมรอยเป็นคุณหนู แต่โชคดีที่เห็นหมิงเวยในเวลาต่อมา
ยังไม่ทันได้โล่งใจนางก็เห็นคนอีกคนที่เบียดประตูเข้ามา
บุรุษ!
ซู่เจี๋ยอยากจะกรีดร้อง แต่ปากของนางก็ถูกปิดเอาไว้อยู่
“เจ้าอย่ากลัว” หมิงเวยบอกเสียงนุ่ม “เขาไม่ใช่คนไม่ดี”
ซู่เจี๋ยก็ยังไม่สบายใจ นางมองหยางชูบุรุษที่ปรากฏตัวในสวนอวี๋ฟางผู้นี้
บุรุษที่ปรากฏตัวในเวลากลางดึกมักไม่ใช่คนดีนัก!
“เขาเป็นคุณชายจากจวนที่ข้ารับใช้อยู่เอง!” อาหว่านที่เป็นคนปิดปากนางหมดความอดทน “หากเจ้าไม่ร้อง ข้าจึงจะปล่อยเจ้า”
ยังไม่ทันที่ซู่เจี๋ยจะแสดงท่าทีอะไร หมิงเวยก็หัวเราะขึ้นมาก่อน “ท่านพูดเช่นนั้น ยิ่งทำให้คนตกใจเสียมากกว่าอีก” คุณชายหยางมีชื่อเสียงด้านใดผู้คนส่วนมากก็รับรู้กันดี
อาหว่าน “….”
“อย่างไรก็ตามเขาเป็นแขกของข้า” หมิงเวยปลอบ “พวกเรามาพบแม่นม”
ซู่เจี๋ยที่ถูกปล่อยตัวออกมาในที่สุดก็กลืนน้ำลายแล้วก้าวถอยหลัง “แม่นมเพิ่งหลับไปเจ้าค่ะ”
พอนางพูดจบเสียงของแม่นมก็ดังมาจากด้านใน “ซู่เจี๋ย คุณหนูมางั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะแม่นม” ซู่เจี๋ยรีบเข้าไปในห้อง
“แม่นม” หมิงเวยเดินตามเข้าไป “ข้าทำให้ท่านตื่นหรือไม่”
แม่นมถงลุกขึ้นนั่งโดยมีซู่เจี๋ยคอยคลุมเสื้อตัวนอกให้นางส่ายหน้า “ยังไม่หลับเจ้าค่ะ! คุณหนูมาหากลางดึกเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้ม “ข้ามีเรื่องอยากถามแม่นมน่ะ”
“เกี่ยวกับการตายของฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยเงียบสักพักแล้วพยักหน้า “ก็เกี่ยวอยู่”
แม่นมถงสั่ง “ซู่เจี๋ย เจ้าช่วยจุดไฟหน่อย”
หมิงเวยรู้สึกซับซ้อน นางรู้ว่าแม่นมถงคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด การตายของฮูหยินสาม ในหนึ่งวันหากไม่พูดกับใคร นางก็จะนึกถึงวันนั้นเสมอ อาจเป็นไปได้ว่าต้องให้คนชั่วเหล่านั้นได้รับการลงโทษ อาการป่วยของนางถึงจะดีขึ้น
“แม่นม ข้าอยากถามอะไรหน่อย…”
“คุณหนูถามมาได้เลยเจ้าค่ะ” แม่นมถงตอบอย่างชัดเจน “บ่าวรู้ว่าคุณหนูกำลังจะทำอันใด หากมีเรื่องใดที่บ่าวสามารถทำได้ ขอเพียงแค่คุณหนูเอ่ยปาก บ่าวจะทำให้ถึงที่สุดเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วหมิงเวยยิ้มก็บางๆ “เอาล่ะ แม่นมวางใจเถอะ ข้าเองก็จะทำให้ดีที่สุดเช่นกัน”
………………………………..